เชลาลุสพาระรันตามายังด้านหน้าค่าย ประตูสูงก่อสร้างด้วยอิฐอย่างแน่นหนาด้านบนเป็นป้อมปราการ มีทหารเวรยามทั้งบนและล่าง
“เจ้าเห็นธงผืนนั้นไหม”
นางมองตามปลายมือเขาที่ชี้ไปยังบนสุดของป้อมปราการ เห็นธงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดงมีรูปพญาอินทรีย์สีทองตรงกลาง ขลิบทองรอบผืน ห้อยในแนวยาว พลิ้วสะบัดตามแรงลม
“นั่นคือธงอควิลา (Aquila) หรือธงอินทรีย์ ธงประจำกองทัพแห่งโรม เป็นสัญลักษณ์แห่งองค์จูปิเตอร์” เสียงเชลาลุสหนักแน่นเมื่อพูดถึงธงประจำกองทัพ
หญิงสาวมองใบหน้าคมเข้ม เห็นสายตาแห่งความภาคภูมิ “ธงนี้น่าจะมีความสำคัญกับเหล่าทหารมากสิเจ้าคะ”
“ถูกต้อง พวกเรามีความเชื่อว่า ธงอินทรีย์มีพลังอำนาจสูง เป็นขวัญกำลังใจของทหารในแต่ละกองพล ทหารต้องทำหน้าที่ปกป้องธงอินทรีย์จนสุดความสามารถ มิให้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือศัตรูเป็นเด็ดขาด หากสูญหายจำเป็นต้องตามกลับมาให้ได้ แม้นว่าต้องก่อสงครามเพื่อชิงธงกลับมาก็ตาม เพราะหากขาดธงไปกองพลนั้นจะถูกยุบกอง”
เมื่อถึงป้อมหน้าค่าย เชลาลุสลงจากหลังม้า พลทหารที่ประจำอยู่บริเวณนั้นทำความเคารพ รีบมารับม้าไปผูกไว้ ระรันตากำลังจะก้าวลงจากหลังเจ้าแอทิส เขาก็สาวเท้าเข้ามาใกล้พลางยื่นมือให้
“ข้าลงเองได้” ระรันตาเอ่ย แต่แขนแกร่งก็รวบเข้าที่เอวของนางอุ้มลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว นางได้แต่ยืนตัวแข็ง แต่เชลาลุสกลับเดินนำไปอย่างไม่รู้สึกอะไร
ในป้อมกว้างกว่าที่เห็นภายนอก อากาศค่อนข้างเย็นและชื้น เชลาลุสให้นางนั่งเก้าอี้ไม้ตัวเล็กๆ ส่วนตัวเขาปีนขึ้นไปด้านบน ได้ยินเสียงทุ้มห้าวคุยกับเวรยามดังลอดลงมา
“มีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่”
นางฟังเสียงตอบไม่ถนัด แล้วเสียงเขาก็ดังอีกครั้ง “จัดเวรยามให้ดี อย่าให้คลาดสายตาเป็นเด็ดขาด มีอะไรไม่ชอบมาพากลให้ม้าเร็วรายงานข้าได้ตลอดเวลา”
เสียงฝีเท้าเดินตามแนวประตูค่ายด้านบน เขาคงตรวจตราความเรียบร้อยต่างๆ หายไปพักใหญ่กว่าเชลาลุสจะปีนกลับลงมาแล้วนั่งเก้าอี้ข้างกัน หันไปสั่งพลทหารเวรตรงนั้นออกไปเฝ้าด้านนอกเพื่อความเป็นส่วนตัว
“เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ” เขาทัก
นางเห็นแววเหนื่อยล้าปรากฏชัดบนใบหน้าเขาเมื่ออยู่ชิดใกล้ อดเปรยไม่ได้ “ท่านดูอิดโรยนัก ท่านควรจะพักผ่อน”
เชลาลุสยิ้มกว้างอย่างไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก “ขอบใจที่เป็นห่วงข้า แต่ตอนออกรบ ข้าอดหลับอดนอนมากกว่านี้อีก ข้าเล่าการจัดกองทัพของเราให้เจ้าฟังก่อน แล้วเราค่อยกลับกัน”
เขาขยับตัวนั่งให้สบายขึ้นแล้วเริ่มอธิบาย
“แต่ละลีเจียนแบ่งย่อยเป็นกองพัน เรียกว่าโคฮอร์ต (Cohort) แต่ละโคฮอร์ตมีทหารสี่ร้อยแปดสิบนาย และยังแบ่งเป็นกองร้อยที่เรียกว่าเซนจูเรียน (Centurion) จะมีทหารไม่เกินแปดสิบนายต่อหนึ่งเซนจูเรียน ส่วนกลุ่มเล็กที่สุดก็เป็นหมู่ทหารราบแปดคน เรียกว่าคอนทูเบอร์เนียม (Contubernium) หนึ่งคอนทูเบอร์เนียมจะพักรวมกันในเต็นท์ได้หนึ่งหลังพอดี มีหัวหน้าหมู่ดีคานุส (Decanus) คอยดูแล”
ระรันตาเบิกตา “ท่านทำให้ข้าทึ่งจริงๆ”
เขายิ้มมุมปาก “ขอบใจที่ชื่นชมพวกเรา เจ้าเห็นหรือยังว่าทำไมเราต้องเน้นระเบียบวินัยที่เข้มงวดและบทลงโทษรุนแรง”
“ปกครองคนหมู่มาก ระเบียบจึงต้องเข้มงวดตามไปด้วย” ระรันตาตอบ สบตาคมกล้าที่มองมา
เชลาลุสชี้ขึ้นไปบนหอคอยสังเกตการณ์ด้านบน “เจ้าคงได้ยินเสียงแตรทุกเช้า เราใช้เสียงแตรจากตรงนี้กำหนดระบบการตื่นนอน กินอาหาร ฝึกตำแหน่งต่างๆ ของเหล่าทหาร”
“ตอนนี้ข้าเริ่มชินกับเสียงแตรแล้ว” นางพูดพลางพยักหน้านิดๆ
เชลาลุสเล่าต่อ “คราวที่เราออกศึกจริง เราก็ใช้สัญญาณแตรเพื่อให้ทหารเข้าประจำตำแหน่งตามหน่วยตนเองอย่างถูกต้อง”
“ข้าไม่สงสัยเลยว่า ทำไมกองทัพโรมันจึงได้มีประสิทธิภาพเยี่ยงนี้”
ดวงตาคมกล้าจับจ้องอยู่ที่นาง เหมือนจะไม่กะพริบด้วยซ้ำ ระรันตาต้องหลบตาไปเองเมื่อความประหม่าผุดพร่างขึ้นมาอีก เขาแตะหลังมือนางเบาๆ
“เรากลับกันเถิด”
ก่อนขึ้นม้านางเอ่ยกับเขา “ขอบคุณท่านมากที่กรุณาพาข้าชมรอบค่าย”
“ข้ายินดี” เขาตอบเสียงเรียบแต่นุ่มนวล ใบหน้าไม่มียิ้มแล้ว แลดูนิ่งเฉยยากจะคาดเดาอารมณ์ หากดวงตาคมกล้ายังคงมองอยู่ที่นาง
“อีกไม่กี่เพลา ข้าต้องคุมทัพออกศึก คงไม่ได้อยู่ในค่ายหลายเดือน”
เขาหลุบตามองมือของนางก่อนเอื้อมมากุม ระรันตาใจสั่นพลิ้วขึ้นมาทันที
“เจ้าอยู่ที่ค่าย จงรักษาตัวให้ดี”
“เจ้าค่ะ” นางตอบอ้อมแอ้มไม่กล้ามองดวงตาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์คู่นั้น
เขาปล่อยมือแล้วดึงสายบังเหียนเจ้าแอทิสรอส่งนางขึ้นหลังของมัน ระรันตากลับยืนอ้ำอึ้ง
“ท่าน...”
“เจ้ามีอะไรจะเอ่ยกับข้าหรือ”
หญิงสาวจำต้องสบนัยน์ตาเปี่ยมเสน่ห์ของเขาที่จ้องมองมา แต่กลับมิกล้าเอ่ยคำ
“...”
เขาก้มใบหน้าคมคายลงมาจนชิดใกล้ “ข้ารอฟังอยู่ พูดกับข้าสิ”
“ขอ...ขอให้ท่านปลอดภัยเจ้าค่ะ”
เชลาลุสจ้องนางนิ่ง แววตาของเขามีพลังตรึงให้มิอาจละจากไป แล้วเขาก็ประทับจุมพิตแผ่วเบาลงบนหน้าผากของนาง
“ขอบใจ ข้าจักต้องปลอดภัยกลับมาหาเจ้าอย่างแน่นอน ระรันตา”
----------
เช้าวันรุ่งขึ้น เชลาลุสรู้สึกตื่นขึ้นอย่างกระปรี้กระเปร่ากว่าวันไหนๆ แม้กลางดึกจะได้รับรายงานจากม้าเร็วว่ามีเหตุต้องสงสัยด้านหน้าค่าย แต่สุดท้ายเป็นเพียงชาวบ้านที่เข้ามาหาของป่าพลัดเข้ามาในเขตเท่านั้น เขาลุกขึ้นวักน้ำในอ่างทองแดงภายในกระโจมล้างหน้า เช็ดมือกับผ้าฝ้ายแล้วก้มมองมือตนเองคิดถึงสัมผัสนุ่มนิ่มของฝ่ามือนางที่ได้เกาะกุม เขาเม้มริมฝีปาก ไพล่นึกไปถึงหน้าผากมนสวยและกลิ่นหอมของผิวกายสาว
ทหารหนุ่มเดินมากลางกระโจมเพื่อสวมเครื่องแบบโพกผ้าคลุมให้เรียบร้อย ถอนหายใจเมื่อภายในกายมันร้อนรุ่มขึ้นมา ยิ่งดวงหน้างามกับนัยน์ตาหวานที่ได้สบใกล้ๆ ตลอดบ่ายเมื่อวานทำเขาหลงอยู่ในภวังค์ เลือดหนุ่มในตัวสูบฉีดแรงจนอึดอัด เขาต้องสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป เห็นทีวันนี้ต้องลงซ้อมรบเรียกเหงื่อหนักๆ ก่อนจะทรมานใจไปมากกว่านี้
แล้วจู่ๆ ทหารรักษาการณ์หน้ากระโจมก็เข้ามารายงานว่ามีผู้ต้องการพบ
“ใครกันมาแต่เช้า” เขาถามห้วน
“แม่นางชาบี ขอรับ”
นักรบหนุ่มตรวจตราชุดที่สวมให้เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกไปหน้ากระโจม ชาบียิ้มกว้างคอยท่ารีบเรียกขานเสียงหวานทันทีที่เห็นหน้าเขา
“ท่านเชลาลุส”
“เจ้ามีธุระอันใดกับข้า” เขาถามเสียงเข้ม
ชาบีมีสีหน้าสำนึกผิด แต่ทำไมเขารู้สึกว่ามันไม่ได้มาจากใจ “ข้าอยากมาขอโทษท่าน ที่วันนั้นทำกิริยาไม่ดีกับแม่นางระรันตา”
ทหารหนุ่มเลิกคิ้ว “คนที่เจ้าควรจะขอโทษมิใช่ข้า เจ้าควรจะไปขอโทษกับนางเอง”
ชาบีมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด แต่ก็รีบปรับให้ดูเป็นปกติ พูดอึกอัก “เอ่อ...แต่ข้า”
“หากเจ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัว ข้ามีนัดกับท่านแม่ทัพแต่เช้า” เขาตัดบท
ชาบีรีบเอ่ย “ข้า ข้ามีเรื่องปรึกษาท่าน คือแม่นางระรันตาเป็นชาวเมืองเมสซานา มิใช่โรมัน การที่นางอยู่ในค่ายเราด้วยฐานะที่ทัดเทียมชาวโรมัน ดูจะไม่เหมาะสมนัก”
เชลาลุสชักสีหน้า ความรู้สึกดีๆ ยามเช้าพลันหายไปสิ้น
“เจ้ามีปัญหาอะไรหรือชาบี ข้ายังมิเห็นว่าจะมีสิ่งใดไม่เหมาะสม หนำซ้ำท่านแม่ทัพก็รับทราบและมิได้ให้มีข้อปฏิบัติพิเศษอะไรต่อนาง”
ชาบีอ้ำอึ้งค้าน “แต่...ท่าน”
“เจ้าควรจะทำใจให้กว้างกว่านี้นะชาบี ไปได้แล้ว!” สุ้มเสียงเชลาลุสหงุดหงิดเกินกว่าจะปกปิด ทหารหนุ่มหมุนตัวกลับเข้ากระโจม หากเสียงชาบีดังขึ้น
“การที่ท่านไปไหนมาไหนกับนางสองต่อสอง จะทำให้คนครหาได้นะเจ้าคะ”
เชลาลุสชะงักฝีเท้าหันขวับมาจ้องหญิงสาว หยันมุมปากขึ้น “ข้ามิเคยสนใจคำครหาใด หากมั่นใจในสิ่งที่ทำลงไป เจ้ากลับไปได้ ข้าหมดคำที่จะพูดกับเจ้าแล้ว”
ผ้าใบกระโจมปิดลง ชาบีถูกทิ้งให้ยืนตรงนั้นเพียงผู้เดียวด้วยมือที่กำแน่นทั้งสองข้าง
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **