หลังชนะศึกที่เมสซานาเป็นเวลาร่วมเดือน กองทัพโรมก็ตัดสินใจเคลื่อนทัพมุ่งสู่ทางใต้ของเกาะซิซิลี
การเดินทางของทัพใหญ่ใช้เวลาหลายราตรีกว่าจะถึงจุดหมาย เมื่อท่านแม่ทัพเลือกชัยภูมิเหมาะสมสำหรับตั้งค่ายได้ ทหารราบโรมันหลายพันนายก็เริ่มก่อสร้างค่ายเป็นรูปสี่เหลี่ยม ใช้ไม้ซุงทำกำแพงล้อมรอบมั่นคง ด้านในคือกระโจมที่พักจัดผังอย่างเป็นระเบียบ โดยกระโจมท่านแม่ทัพต้องอยู่กึ่งกลางค่ายเสมอ
ส่วนสำคัญของค่ายคือหอสังเกตการณ์ซึ่งมีเวรยามสอดส่องการเคลื่อนไหวของข้าศึกตลอดเวลา ประตูเข้าออกสร้างขนาดใหญ่เพื่อเอื้อต่อการเคลื่อนที่ของกองทัพให้การรุกรบเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว รอบค่ายขุดคูกว้างและลึกประมาณสองเมตรไว้ป้องกันการรุกรานของข้าศึก
ณ กระโจมใหญ่ของแม่ทัพแห่งโรมที่ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นสิ่งแรก ขุนพลทั้งหลายถูกเรียกประชุมทันทีเพื่อเตรียมกลศึก ในการยาตราทัพลงใต้ครั้งนี้ จุดมุ่งหมายก็เพื่อปิดล้อมเมืองไซราคิวส์นั่นเอง
ฟาธามกำลังยืนอธิบายแผนการรบ มือพลางชี้ไปตามตำแหน่งต่างๆ บนแผนที่หนังสัตว์ขนาดใหญ่ที่แขวนไว้กลางกระโจม
“ทุกท่านคงเห็นได้ว่า ก่อนที่เราจะถึงไซราคิวส์ต้องเดินทางผ่านหลายเมืองเลยทีเดียว สองเมืองแรกคือ เคนโทริปา (Kentoripa) และฮาดรานอน (Hadranon) อยู่รอบๆ ภูเขาเอตนา (Mountain Etna) และตอนนี้ตำแหน่งค่ายใหม่ของเราอยู่ใกล้ฮาดรานอนมากที่สุด”
“เจ้าคิดว่าเราควรจะตีสองเมืองนี้ด้วยดีหรือไม่” ท่านแม่ทัพถาม
“ข้าเห็นควรต้องยึดสองเมืองนี้ขอรับ” ฟาธามค้อมศีรษะตอบ แล้วลากนิ้วไปตามแนวเกาะ
“เพราะหากเรายึดเมืองตามฝั่งตะวันออกของเกาะนี้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าสองเมืองที่กล่าวไปแล้ว ยังมีคาทาเนีย (Catania) และเอนนา (Enna) จะช่วยเพิ่มความมั่นคงให้ทัพเราเป็นอย่างมาก มิต้องกังวลกับข้าศึกที่จะบุกมาด้านขวาของเกาะนี้เลย กองทัพเราจะมีสมาธิมุ่งทำการศึกไปข้างหน้า เพื่อปะทะคาร์เธจทางตะวันตกต่อไปขอรับ”
“ดีมาก ข้าเห็นด้วยกับแผนของท่านฟาธาม” แม่ทัพคลอดิอุสยิ้มกริ่มแล้วหันมาถามเชลาลุส
“เจ้าว่าอย่างไร ทหารที่มาจะพร้อมรบได้เร็วแค่ไหน”
“กำลังพลของเราพร้อมออกรบทุกเมื่อขอรับ แต่หากท่านให้เวลา ข้าขอเพียงวันเดียวในการซักซ้อมรอบสุดท้าย” เขาตอบแข็งขัน
“ดี” ท่านแม่ทัพเชิดหน้าขึ้นก่อนประกาศกร้าว “เช่นนั้นไม่เกินสองราตรี กองทัพโรมอันเกรียงไกร จักต้องพร้อมทำศึกเพื่อชัยชนะเท่านั้น!”
----------
แม้อาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไปหลายชั่วโมง แต่ที่เรือนโภชนาแม่บ้านต่างยังง่วนกับการเก็บล้าง จัดวางข้าวของที่เพิ่งย้ายมาให้เป็นที่เป็นทางเพื่อพร้อมสำหรับการทำครัวโดยเร็วที่สุด
ขณะที่ระรันตากำลังยกหม้อกับกระทะใบเขื่องไปเก็บ เชลาลุสก็เดินตรงเข้ามา เขาไม่สนใจสายตาเหล่าแม่บ้านในเรือนที่ค้อมศีรษะให้ความเคารพและซุบซิบไปในคราวเดียวกันเมื่อทหารผู้นำกองพันเดินเข้ามาถึงในโรงครัว
“ให้ข้าช่วยเจ้าดีกว่า” เขาเอ่ย มือก็ดึงเครื่องครัวทั้งหลายในมือนางไปถือเสียเองเลย
เมื่อวางของเรียบร้อย เขาก็มองไปรอบๆ “เจ้ายังเหลืองานอีกมากหรือ นี่ก็ค่ำมืดแล้วนา”
นานันเดินเข้ามาพอดีแล้วรีบตอบแทน “ไม่มากแล้วเจ้าค่ะ หากท่านมีธุระกับแม่นางก็เชิญเถิด ที่เหลือพวกข้าจัดกันเองได้ไม่นานก็เสร็จ”
“ขอบใจนานัน” เขายิ้มแล้วตวัดสายตาคมกล้ามองระรันตา
“มากับข้าหน่อยเถิด ข้าอยากคุยกับเจ้า” เขาพูดเบาๆ ให้ได้ยินเพียงสองคน
ระรันตายังยืนลังเลใจเมื่อเห็นว่ามีงานค้างอยู่ แต่เชลาลุสคว้าจับมือนางจูงออกไปทันใด
“ท่าน!”
หญิงสาวได้แต่เดินตามเร็วๆ ขยับมือให้หลุดจากการเกาะกุมก็มิอาจทำได้เมื่อเขายิ่งกระชับแน่น หญิงสาวเห็นสายตาแม่บ้านลอบมองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยิ่งนานันยิ้มแก้มแทบปริ ทว่าก่อนพ้นเรือนนางสบตาเข้ากับชาบี แววริษยามาดร้ายอย่างที่สุดพุ่งตรงมา
เชลาลุสพานางเดินมายังหลังค่ายไม่ห่างจากเรือนโภชนานัก ทว่าปลอดผู้คนและเป็นส่วนตัวยิ่ง เขาโอบเอวนางแล้วกระหวัดตัวไปกอดแนบแน่นทันที
“ข้าคิดถึงเจ้า” ริมฝีปากทหารหนุ่มอยู่ชิดแก้มนวลเนียน
“ท่าน” นางร้องอย่างตระหนก ยกมือขึ้นยันอกกว้างนั้นไว้
เชลาลุสไม่ยอมปล่อยมือ ยังขโมยจุมพิตแก้มนางดังฟอด เสียงเอ่ยเป็นเด็กๆ “ข้าไม่พบเจ้าตั้งหลายราตรี เจ้าไม่คิดถึงข้าบ้างเชียวหรือ”
“ท่าน...เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” นางอึกอัก
เขาปัดปอยผมที่เป็นลอนธรรมชาติให้พ้นดวงหน้ากระจ่าง มองด้วยดวงตาโหยหา “ใครจะเห็นข้าไม่สนใจแล้ว ระรันตาเจ้าอยู่ในความฝันของข้าทุกค่ำคืนรู้ตัวไหม”
หญิงสาวก้มหน้ามิกล้าสบตามากด้วยเสน่หาคู่นั้น มิกล้าเอ่ยว่าคิดถึงเขาเพียงใดเช่นกัน
“เจ้าไม่มอง ไม่ตอบข้าเช่นนี้ แสดงว่าข้าเพ้อพกไปคนเดียวหรือ” เขาคลายกอด หากจับมือไว้หลวมๆ นางยอมสบตาแต่ยังมิกล้าเอ่ย
“หรือเจ้าอึดอัดใจที่ข้าเข้ามาวุ่นวายกับเจ้า”
ใบหน้าคมคายกับแววตาตัดพ้อทำระรันตาใจหาย “มิใช่ท่าน อย่าได้เข้าใจผิด”
เชลาลุสเลิกคิ้วโก่งงามขึ้นเพียงนิด ดวงตากลับมากรุ้มกริ่ม “เช่นนั้นอย่างไรล่ะ บอกกับข้าให้ได้รู้บ้าง”
“ข้า...เอ่อ”
“หืม” เขาทำเสียงในลำคอ ช้อนตามองมา มือโอบแก้มสาวแล้วไล้เล่นผิวเนียนนุ่มเบาๆ
“ข้า...ข้าเป็นหญิง มิควรเอ่ยสิ่งใด”
ทหารหนุ่มยิ้มกว้าง “เจ้าน่ารักอย่างนี้ไงเล่า เจ้าไม่กล้าพูดก็ไม่เป็นไร แค่เจ้าไม่รังเกียจข้าก็พอ ที่เหลือข้าจักจัดการเอง”
“ท...ท่านหมายความเยี่ยงไร” นางมองอย่างหวั่นๆ คลางใจว่าเขาหมายสิ่งใด
“โธ่ คนดี” เชลาลุสโอบเอวนางรั้งร่างให้แนบชิดกันอีกครั้ง
“ข้าก็จะขอดูแลเจ้าอย่างไรเล่า” เขายิ้มเจ้าเล่ห์
“แต่เวลานี้ข้าก็อยู่ในความดูแลคุ้มครองของท่านอยู่แล้วนี่” นางเอ่ย
เชลาลุสหรี่ตา กดหน้าลงให้ริมฝีปากอยู่บนแก้มงาม “เจ้าไม่เข้าใจจริงๆ หรือ ข้าต้องการเป็นเจ้าของเจ้าแต่เพียงผู้เดียวอย่างไรล่ะ”
นางหน้าร้อนวูบวาบ หากเอ่ยค้าน “แต่...ท่านต้องทำศึก”
เชลาลุสคลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาเปี่ยมแวววับวาม “ศึกรบข้าไม่หวั่น แต่ศึกรักนี่สิจะทำข้าเสียสมาธินักเพราะในใจมัวแต่ถวิลหาเจ้า ข้าจักทำเช่นไรดี”
“ท่านกล่าวไปเรื่อยเปื่อย” นางเมินหน้าด้วยประหม่าในคำพูดของเขานัก
เชลาลุสยิ่งกระชับเอวคอดของนางให้เบียดชิดกันอีก “เรื่อยเปื่อยที่ไหน เรื่องจริงต่างหาก เจ้ามิรู้ดอกว่าข้าต้องทนทรมานอดกลั้นเพียงใด”
เขาก้มลงจุมพิตริมฝีปากนางแผ่วเบาก่อนจะให้ความหนักแน่นและลึกล้ำจนนางต้องถอยหนี เชลาลุสยอมถอนริมฝีปากง่ายดายคราวนี้ หากยังคงมองจ้องไม่กะพริบตา
“ข้าจะอดใจไว้ เสร็จสิ้นการศึกครั้งนี้ข้าจะไม่รออีกต่อไป”
นางเบิกตาโต “ท...ท่านหมายความเช่นไร”
เขาแตะคางนางแล้วยิ้มอย่างมีเล่ห์ “เจ้ารู้หรอกน่า”
“ท่านเชลาลุสท่านคิดจะทำอะไร ข้า...ข้าเป็นเพียงแค่ชาวบ้านคนหนึ่งเท่านั้น และยังไม่ใช่คนโรมด้วย ท่านคิดให้ดีเถิด...”
เชลาลุสหยุดคำพูดของนางด้วยจุมพิต ส่งลิ้นรุกไล่รัวเร็วจนระรันตาต้องรีบโอบลำคอแกร่งไว้ก่อนจะเข่าอ่อนทรุดลง เขาทำตัวเป็นก้านไม้ขีดจุดไฟแล้วโยนลงในกองฟางอย่างนาง ทำให้ร้อนซ่านไปทั่วทั้งกายาแล้วก็ละออกไป
ร่างสูงสง่ายืนตรงหน้าหลังไหล่เหยียดตรง สีหน้าของเขาจริงจัง “หากข้าคิดจะทำอะไรต่อเจ้า นั่นเป็นเพราะหัวใจของข้ามันปรารถนา เป็นเพราะหัวใจของข้าที่จักมอบให้กับเจ้าเพียงผู้เดียว ระรันตา”
หญิงสาวตื้นตันและอิ่มเต็มในคำพูดแลการแสดงออกของเขานัก ชีวิตที่เดียวดายไร้ญาติมิตรได้มีความอบอุ่นขึ้นมาบ้างก็จากเขาคนนี้ นายทหารหน้าดุท่วงท่าองอาจ หากทุกครั้งที่อยู่เคียงใกล้กลับมีแต่ความอ่อนโยน ละมุนละไมมอบให้
“ข้าขอบคุณท่านเหลือเกิน ท่านเชลาลุส”
เขาจับมือนางไปกุม เนิ่นนาน ส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลด้วยแววตา ช้านาน นานจนเห็นเมฆาเคลื่อนผ่านฟ้าเขาจึงเอื้อนเอ่ย
“เราจะตั้งค่ายตรงนี้อีกหลายเดือน เพื่อทำศึกกับเมืองต่างๆ รอบบริเวณ” เขาถอนใจ นัยน์ตาแฝงความกังวลชัด “อีกไม่กี่ราตรี ข้าต้องคุมทัพออกศึกแล้ว”
ระรันตามองใบหน้าคร้ามนั้น “กองทัพโรมยิ่งใหญ่และเกรียงไกรนัก กำลังรบของท่านมีประสิทธิภาพเหนือกองทัพใดๆ ข้าเชื่อว่าท่านจักต้องได้รับชัยชนะเป็นแน่แท้”
“ขอบใจมากระรันตา ขอบใจที่ชื่นชมกองทัพของเรา แต่สิ่งที่ข้ากังวล มิใช่การศึกอย่างเดียวดอกนะ”
เขาบีบมือนางไว้มั่น อีกมือไล้หน้าผากมน “ข้าเป็นห่วงเจ้าต่างหาก ข้ามิรู้ว่าศึกนี้จะใช้เวลานานเท่าใด ข้าอยากให้เจ้ารักษาตัวให้ดี”
ระรันตายิ้ม “ข้าอยู่ในค่ายแห่งกองกำลังโรมัน มิควรมีภยันตรายใดๆ ท่านจงทำศึกอย่าได้มีความกังวลใจเลย”
เชลาลุสดึงตัวนางแนบชิดอีกคราแล้วบรรจงจุมพิตอย่างแผ่วเบา
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **