ปณัยเดินเข้ามาในห้องพักบนชั้นลอยที่ผับของเขา วันนี้กว่าเขาจะเคลียร์งานเสร็จมาถึงก็ตรงกับเวลาที่เจ้านางขึ้นร้องเพลงพอดี เขาไม่รีรอนั่งลงบนโซฟาที่ประจำซึ่งมองเห็นเธอบนเวทีได้ชัด ระหว่างนั้นปณัยชำเลืองมองแขนตัวเองข้างที่ถูกเย็บแผลได้เกือบห้าวันแล้ว แต่แพทย์ยังให้สวมสลิงอยู่เพราะไม่อยากให้เคลื่อนไหวมากนัก ชายหนุ่มรำคาญอยากจะถอด แต่ก็นึกถึงเสียงใสๆ ของสาวน้อยตอนคุยกันเมื่อเช้า
‘อย่าแอบถอดนะคุณณัย เดี๋ยวแผลแยก คราวนี้จากใส่อาทิตย์เดียวต้องใส่อีกเดือนเลย’
‘ขู่ผมเหรอเจ้านาง’ เขาหรี่ตา
เจ้านางยังคงสั่งอย่างกับเป็นนางพยาบาล ‘ไม่ได้ขู่ค่ะ เรื่องจริง หรือคุณไม่อยากใช้แขนเร็วๆ’
ได้ยินประโยคนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะแหย่เธอ ‘อยากสิ ผมอยากใช้แขนผมทำให้คุณมีความสุขจะตายเจ้านาง’
ปณัยจำสีหน้างุนงงกับดวงตาหวานที่มองเขากลับมาอย่างไม่เข้าใจได้ ปณัยได้แต่อมยิ้ม เขาจบบทสนทนาด้วยการหอมขมับเธอและได้ค้อนจากหญิงสาวเป็นการตอบแทน
ชายหนุ่มยังคงยิ้มขณะที่สายตาจับจ้องร่างอรชรอ้อนแอ้นที่กำลังถือไมค์ร้องเพลงอยู่บนเวที กลิ่นแชมพูหอมละมุนของเธอยังติดปลายจมูก เขาส่ายหัวนิดๆ พูดกับตัวเองในใจ
‘เด็กน้อยเอ๋ย...วันหนึ่งผมจะทำให้คุณรู้ว่ามือกับแขนของผมทำให้คุณมีความสุขได้ยังไง’
“นายรับน้ำผลไม้นะครับ” วรัทถามเบาๆ
เขาขมวดคิ้ว “ดื่มเบียร์ได้หรือยังล่ะ ถ้าได้เอาเบียร์ดีกว่าเบื่อน้ำส้ม กินมาทุกวันแล้ว”
วรัทมีสีหน้าลังเล
“เอาน่า ป่านนี้แผลติดกันแล้ว” เขาหาข้ออ้าง
จริงๆ เพราะเจ้านางห้ามเขาดื่ม ด้วยเหตุผลว่าแอลกอฮอล์คือของแสลงเดี๋ยวแผลหายช้า เขาเลยต้องเชื่อเธอดื่มน้ำส้มมาตลอด เห็นแก้วน้ำส้มทีไรก็เวทนาแกมสมเพชตัวเอง นายปณัยผู้ไม่เคยร้างห่างของมึนเมา ต้องนั่งจิบน้ำส้มในผับ!
“เดี๋ยวเจ้านางรู้จะเป็นห่วงนะครับนาย”
เขาเหล่มองคนสนิท ไอ้วินก็ช่างรู้ทันจริงๆ เอ่ยชื่อเธอขึ้นมา เขาส่ายหัวอีกครั้ง บอกอย่างเสียมิได้ “งั้นเอาน้ำแร่มาแทนแล้วกัน”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น การ์ดที่ยืนใกล้ประตูพานักสืบที่เขาสั่งงานไปหลายวันก่อนเข้ามา ปณัยฟังรายงานอย่างตั้งใจ แม้ว่าสายตาจะอยู่ที่เจ้านางตลอด
“ผมหามาได้สามรายที่ถือว่าเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ในช่วงนั้นครับ”
ปณัยรู้ว่านักสืบวางเอกสารให้บนโต๊ะ แต่เขายังไม่หันมาทันที ชายหนุ่มอยากใช้เวลาอีกสักนิดเสพความเดียงสาอันบริสุทธิ์และความงามของเจ้าหล่อนอีกหน่อยก่อน เสื้อเชิ้ตขาวแขนสั้นรัดรูปเอวลอย อกเสื้อเปิดช่องตรงเนินทรวงพอดิบพอดี กระโปรงบานแต่สั้นเผยต้นขาขาว แม้เธอจะสวมขาสั้นกันโป๊ข้างในแล้วก็ตาม แต่เมื่ออยู่บนเวทีคนด้านล่างมองขึ้นมาก็เห็นได้อยู่ดี เขารู้สึกหงุดหงิดแต่ทำอะไรไม่ได้ ยอมละสายตามาดูกระดาษสามสี่แผ่นตรงหน้าแทน
สายตาคมกริบของเขาไล่อ่านข้อมูลที่สายสืบหามา สองรายชื่อในนั้นไม่น่าสนใจ หากอีกคน...
เขาเรียกหาแล็ปท็อปของตัวเอง วรัทรีบหยิบมาเปิดวางให้บนโต๊ะกระจกตรงหน้า
ปณัยเซิร์ชหาข้อมูลเพิ่มเติมจากชื่อหนึ่งที่เขาสนใจเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้อะไรมากไปกว่าที่สายสืบของเขาหามา ปณัยเงยหน้าขึ้นจากจอ
“ผมสนใจชื่อนี้ นายบัลลพ ข้อมูลมีแค่นี้จริงๆ เหรอ”
ชายวัยสามสิบกลางๆ ผิวคร้ามแดดร่างสันทัดยืนสำรวม ค้อมศีรษะตอบ “ครับนาย คนนี้ เอ่อ...”
ปณัยสบตาคนที่อ้ำอึ้งอยู่นั่นเอง แล้วอดไม่ได้โพล่งออกมา “ลุงผม คนที่มันฆ่าพ่อกับแม่ผมแล้วลอยนวลไปไง!” เขาพูดด้วยอารมณ์เดือดพล่าน ทำไมเขาจะจำชื่อเสียงเรียงนามปีศาจตนนี้ไม่ได้!
“ขะ...ครับนาย ข้อมูลส่วนใหญ่มีแต่เรื่องนั้น และก็เบาะแสสุดท้ายที่ว่าหลบหนีออกนอกประเทศ” นักสืบตอบอย่างเกร็งๆ
ปณัยวางเอกสารทั้งหมดลง มือกำหมัดแน่น ดวงตาแข็งกร้าว ขบกรามแน่นด้วยความเคืองแค้นที่ผุดขึ้นมาในอกอย่างกับน้ำล้นกา หากเมื่อเสียงเพลงหวานจากเธอดังขึ้น ทำให้เขาหันกลับไปมอง เรือนร่างสมอิสตรีผุดผาดกับใบหน้าได้รูปที่ต้องใจเขาทำให้ความคุกรุ่นในอารมณ์พอจะสงบลงได้
เขาหันกลับมาสบตาผู้ที่สืบข้อมูลให้อีกครั้ง
“ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าไอ้ลุงห่านี่มันเปิดกู้นอกระบบด้วย เลวจริงๆ” เขาอดสบถออกมาไม่ได้เมื่อคิดถึงญาติที่เขาไม่นับเป็นญาติอีกต่อไปแล้ว
ปณัยชี้ไปที่เอกสาร “สองชื่อที่เหลือผมไม่ติดใจ ไปหาข้อมูลไอ้บัลลพมาเพิ่ม ทำยังไงก็ได้ให้มันได้รายละเอียดมากกว่านี้ ต้องใช้อะไรบอกมา งบไม่อั้น หรือต้องการให้ผมยกหูหาใครก็ว่ามาเลย”
สายสืบค้อมศีรษะอีกครั้ง “ได้ครับนาย ผมขอเวลาอีกสักอาทิตย์ แล้วผมจะแจ้งกับวรัทว่าต้องการให้นายช่วยยังไง”
“ตามนั้น ถ้าได้เร็วกว่านั้นยิ่งดี” เขากำชับ
นักสืบรับคำมั่นเหมาะก่อนออกจากห้องไป สายตาของปณัยกลับไปอยู่ที่เจ้านางอีกครั้ง แต่แล้วกลับต้องผุดลุกขึ้นเดินไปยืนชิดติดกับกระจกบานใหญ่
วรัทเดินตามมาเพราะรู้สึกผิดสังเกตในท่าทีของนาย
“เฮ้ย! อะไรวะ!” ปณัยทุบมือไปบนกระจกแล้วผลุนผลันเดินออกจากห้อง
----------
เจ้านางกำลังร้องเพลงสุดท้าย เธอสังเกตมาสักพักใหญ่แล้วว่าชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่โต๊ะด้านหน้ามองจ้องมาเกือบจะตลอดชั่วโมงที่เธออยู่บนเวที แม้จะพยายามไม่สนแต่ก็รู้ว่ามีสายตาของแขกคนนี้พุ่งตรงมายังกับกล้องคอยตามถ่าย หากเธอไม่คาดคิดว่าจู่ๆ เขาจะลุกเดินตรงมาที่ขอบเวทีแล้วกวักมือเรียก เจ้านางลังเล แต่แขกส่งเสียงดัง
“น้อง พี่ขอเพลงนี้” เขายื่นแผ่นกระดาษทิชชูโบกไปมา
ด้วยความที่เป็นช่วงดนตรีโซโลพอดี เจ้านางจึงก้มลงไปรับ เท่านั้นแขกคนนั้นก็จับมือเธอไว้หมับ!
“ปล่อยค่ะ” เจ้านางเสียงแข็ง แต่ด้วยแรงของอีกฝ่ายทำให้รู้ได้ว่าไม่มีทางยอมปล่อยง่ายๆ แน่ เธอจึงกระชากมือออก แต่ชายคนนั้นกลับดึงแรงขึ้นจนเจ้านางเซเข้าหาอย่างช่วยไม่ได้
“ปล่อยนะ!” เธอร้อง แขกจับแก้มเธอคลึงเล่นอย่างจงใจ เจ้านางปัดออกทันทีอย่างรังเกียจ มันเลยสบโอกาสนั้นฉุดเธอเข้าไปอยู่ในวงแขนอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ว้าย!” เธอพยายามดิ้นให้หลุด
การ์ดของผับที่ยืนอยู่ไม่ไกลรีบเข้ามาชาร์จตัวแขกคนนั้นออกไป เจ้านางเสียหลักนั่งแผละลงกับพื้นเวที แขกคนอื่นๆ โดยเฉพาะโต๊ะด้านหน้าเห็นเหตุการณ์ส่งเสียงตกใจ ไฟบนเวทีดับลง พี่มือกีตาร์รีบวางเครื่องดนตรีเข้ามาประคองเธอ แล้วเจ้านางก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะคอกดังลั่นหน้าเวทีด้านล่าง
“มึง! ทำอะไรนักร้อง!” ปณัยยืนจังก้า มองแขกคนนั้นที่ยังฮึดฮัดแม้โดนการ์ดร่างยักษ์รวบตัวไว้แล้วก็ตาม
“อะไรวะ กูแค่ขอเพลง ทำไม ขอไม่ได้เหรอ”
“มึงทำอะไรเธอ” ปณัยยังคงเสียงดังใส่ ใบหน้าเขาแดงจัด
“ก็แตะนิดแตะหน่อย หวงจังนักร้องร้านนี้”
“ผับกูไม่ใช่ที่อย่างว่า นักร้องเขาทำหน้าที่ของเขา อย่ามาแสดงกิริยาหยาบคายไม่ให้เกียรติที่นี่”
“อ้อ ปณัยไฮโซ แหม...กร่างอย่างนี้ไปชกใครแขนหักมายังไม่ทันหายยังจะมาหาเรื่องลูกค้าอีก” แขกท่าทางเมาแถมกวนน่าดู
“เพราะมึงยุ่งกับผู้หญิงของกูไง เห็นอย่างนี้กูก็ชกได้เว้ย”
ปณัยปราดเข้าไปเหวี่ยงหมัดใส่
“ว้าย! คุณณัยอย่า!” เจ้านางร้องห้ามแต่ไม่ทัน
ลูกค้าหน้าหัน ท่าทางสร่างเมาขึ้นมาเลยทีเดียว ปณัยยังคงยืนจ้องด้วยสีหน้าถมึงทึง ชี้หน้า
“จะออกไปดีๆ หรือให้การ์ดกูโยนออกไป”
“ไอ้ไฮโซเอานักร้องเป็นเมียด้วยเหรอ ถุย”
“มึง เอาอีกหมัดใช่ไหม” ปณัยง้างหมัดเต็มที่ พุ่งตัวเข้าหา
“คุณณัย อย่าค่ะ” เจ้านางตะโกนห้าม แต่ปณัยไม่ฟัง หมัดที่สองซัดเข้าหน้าแขกคนนั้นเต็มๆ แล้วเขาก็หันไปสั่งการ์ดเสียงเข้ม
“เอามันออกไปเคลียร์ให้เรียบร้อย”
การ์ดร่างยักษ์สองคนจัดการลากแขกคนนั้นออกไป ปณัยเดินตรงเข้ามาหาเธอ
“เจ้านางลงมา! เปลี่ยนเสื้อผ้า ผมจะพาคุณกลับเลย!”