ทดลองอ่าน ความเร็ว ความรัก และมายา : ตอนที่ 29

 

 

ตอนที่ 29

 

 

ปณัยไม่ได้พาเธอตรงกลับคอนโดฯ เลย แต่พามายังโรงแรมแห่งหนึ่ง เขาจอดรถด้านหน้าตรงที่จอดสำหรับลูกค้าวีไอพี พนักงานโค้งหน้าโค้งหลังตลอดทางที่เขาเดินผ่าน เจ้านางถึงกับวางตัวไม่ถูกเลยเพราะเขาจูงมือเธอเดินจนตัวติดกัน

เมื่อเหลือเพียงพนักงานคนเดียวเดินนำไปตามทางแคบๆ ที่แสงเริ่มสลัว มีบันไดลงเหมือนทางไปห้องใต้ดิน เจ้านางก็หวั่นวิตก เอ่ยถามเขา

“นี่คุณพานางมาโรงแรมทำไม”

“ทำไมล่ะ ถูกแล้วผมตั้งใจพาคุณมาโรงแรม”

คำตอบเขาทำเจ้านางตาโต ขืนตัวไม่ยอมเดินต่อจนเขาต้องหยุดเดิน “อ้าว เป็นอะไร อยู่ๆ ก็กลายเป็นเด็กดื้อ”

เธอตาขวาง “คุณปณัย พานางกลับเดี๋ยวนี้เลย คุณจะมาทำอะไรที่นี่ จะทำอะไรนาง”

เขาเลิกคิ้ว ริมฝีปากอิ่มได้รูปบิดอย่างยียวน “อะไรของคุณ ผมจะทำอะไรคุณดีล่ะ”

“ก็...” เธอกระดากปากเกินกว่าจะเอ่ย ได้แต่อึกอัก “ก็...จะเปิดห้องทำอย่างว่าใช่ไหม นางไม่ยอมนะ”

เขาหัวเราะ ทำหน้ากรุ้มกริ่ม “ทำไมคิดว่าผมพาคุณมาเพื่อทำอะไรอย่างนั้นที่นี่ เอ...นี่ก็ไม่ใช่ม่านรูดนะ โรงแรมระดับห้าดาวเลยนะเนี่ย”

แล้วเขาก็หรี่ตาลง โน้มตัวมาใกล้จนใบหน้าคมคายแทบชิด “ถ้าผมจะทำอะไรแบบนั้นกับคุณจริงๆ ผมทำที่ห้องนอนผมเลยก็ได้ ไม่มามั่วๆ แถวนี้หรอก”

“คุณปณัย!” เธอเบิกตาโต พอสะบัดแขนหลุดจากเขาได้ก็หันหลังจ้ำอ้าวหนีไปทันที

“เฮ้ย เจ้านาง เจ้านาง” ปณัยเสียงหลงเลยทีเดียว เสียงคัตชูของเขาสะท้อนพื้นหินอ่อนบ่งบอกว่าวิ่งเหยาะๆ ตามหลังมา ให้รู้เสียบ้างเจ้านางเป็นคนเดินเร็วแค่ไหน

แต่ยังไงก็หนีเขาไม่พ้น ปณัยรวบตัวเธอกอดไว้ทันควัน

“ปล่อยนางนะ” เธอพยศ

เขาโน้มใบหน้าคมคายมาคลอเคลียข้างแก้ม “อย่าดิ้น ไม่งั้นผมจูบคุณต่อหน้าสาธารณชนเลยนะ ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าจะไม่ทำอะไรคุณ คุณควรจะมั่นใจในตัวผมบ้างนะเจ้านาง แล้วนี่ผมพามาที่หรูหราขนาดนี้คุณคิดว่าผมจะมาเปิดห้องทำอะไรอย่างว่าได้ยังไง คืนนี้ผมจะฉลองให้คุณต่างหากครับคนสวย”

เมื่อเธอนิ่ง เขาจึงคลายอ้อมแขนออก ยืนมองหน้าเธอแทน “ผมยินดีกับคุณจริงๆ นะเจ้านาง ดีใจมาก มากยิ่งกว่าตอนที่ผมได้แชมป์รถทางเรียบรายการแรกในชีวิตเสียอีก”

เธอเริ่มเย็นลงเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาจริงใจของเขา...แน่นอนแล้วว่าเธอคงคิดมากไปเอง คิดแต่เรื่องอย่างนั้นเนี่ยนะเจ้านาง อายตัวเองขึ้นมาแทนเลยตอนนี้

ปณัยกุมมือเธออีกครั้งอย่างหลวมๆ

“เข้าไปข้างในเถอะ ผมสั่งให้เขาเตรียมไว้อย่างดีเพื่อคุณนะ”

เธอได้เห็นว่าชั้นใต้ดินของโรงแรมแห่งนี้คือผับนั่นเอง เมื่อเดินลึกเข้าไปก็พบห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งขนาดเท่าๆ ห้องร้องคาราโอเกะส่วนตัวกับเพื่อน แล้วบริกรก็เปิดประตูเพียงส่งให้เธอกับเขาเข้าไป

ภายในสลัวรางด้วยแสงสีแดงม่วงของดวงไฟเล็กๆ ที่ซ่อนในซอก หลืบเพดานสะท้อนพรมและผนังห้อง สิ่งแรกที่เธอเห็นคือบอลลูนสีขาวหลายสิบลูกลอยอยู่ และลูกใหญ่ที่สุดที่ปณัยเดินไปดึงปลายริบบิ้นมายื่นให้เธอ เขียนตัวอักษร ‘Congratulations’ สีทองตัวใหญ่

“ยินดีด้วยสาวน้อยของผม” รอยยิ้มของเขาสดใสเหลือเกิน

เธอรับบอลลูนมาถือไว้ รู้สึกเต็มตื้น ปณัยเดินไปหยิบอะไรบางอย่างที่วางหลบมุมอยู่ เขาถือมันไว้ข้างหลังจนก้าวมาหยุดยืนตรงหน้ากัน แล้วเขาก็ยื่นดอกไม้ช่องามให้ 

“สำหรับคุณเจ้านาง ยินดีกับความสำเร็จในวันนี้จริงๆ ครับ”

ช่อดอกไม้สีส้มห่อกระดาษสองชั้น สีน้ำตาลอ่อนด้านใน สีม่วงเทาด้านนอกสวยเหลือเกิน ส่งให้สีสันแปลกตาไปกว่าช่อดอกไม้ทั่วไปที่เธอเคยเห็น

“ขอบคุณค่ะคุณณัย ดอกไม้สวยจริงๆ”

ปณัยยิ้มกว้าง เหลือบมองดอกไม้ที่ตอนนี้อยู่ในมือเธอแล้ว

“รู้ไหม ผมตั้งใจเลือกดอกไม้สีส้ม ตอนแรกว่าจะเอาลิลลี แต่พอเข้าช่อแล้วดอกทิวลิปสวยกว่าเยอะ” เขาประคองแก้มเธอด้วยมือข้างหนึ่ง “สีส้ม คือสีของการแสดงความยินดีให้กับความสำเร็จครับ”

ปณัยโน้มตัวลงฝากจุมพิตแสนหวานบนแก้มนวล แล้วพาเธอนั่งลงบนโซฟากำมะหยี่สีม่วงแดงเข้ากับโทนสีของไฟในห้อง บริกรเข้ามาเสิร์ฟอาหารพร้อมเครื่องดื่มแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว เธอเห็นวรัทคอยเดินไปมาดูความเรียบร้อย เอาดอกไม้ไปวางให้บนโต๊ะ เคลียร์บอลลูนไว้ด้านหนึ่งของห้อง แล้วปณัยก็เรียกเขา

“วิน กลับได้เลยนะ บอกพวกนั้นด้วยไม่ต้องตามแล้ว” เขาสั่ง

“แต่...” วรัททำท่าจะค้าน

“เอาน่า ที่นี่ใกล้คอนโดฯ จะตาย เสร็จแล้วฉันก็ตรงกลับคอนโดฯ เลย ไม่มีอะไรหรอกน่าวิน นายกับการ์ดไปพักเถอะ” ปณัยยืนยัน

เธอแอบเห็นคนสนิทของเขาทำหน้าไม่สบายใจยิ่ง รำพึง “แต่...”

ปณัยตบบ่าวรัท “เอาน่า มีอะไรฉันโทร.เข้าเครื่องนายทันที” 

แล้ววรัทก็ต้องยอมหายออกไปจากห้องในที่สุด ทั้งการ์ดก็ไม่มี ปกติไม่ว่าปณัยอยู่ที่ไหนจะมีการ์ดอยู่ด้วยเสมอ ไม่อยู่ใกล้ๆ ก็ซุ่มที่ไหนสักที่

ระหว่างนั้นเจ้านางเหลือบไปเห็นเครื่องดื่มสองแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยๆ ข้างโซฟา แก้วหนึ่งคล้ายน้ำส้ม อีกแก้วคือเหล้าเพียวกับน้ำแข็งหรือที่เรียกว่า ‘ออนเดอะร็อก’ พร้อมอาหารที่หน้าตาเป็นคำๆ เหมือนค็อกเทล มากกว่าจะเป็นอาหารจานหลัก แครกเกอร์หน้าเนยแข็งกับไข่ปลา สลัดโรลมินิอะไรอย่างนั้น 

“แก้วนี้ของนางใช่ไหมคะ” เธอชี้ไปที่แก้วน้ำส้มมีเปลือกส้มสดฝานบางๆ วางพาดปากแก้ว

เขาพยักหน้า “รู้ใช่ไหมว่าคืออะไร”

“ยังไงคะ” เธอเลิกคิ้ว

“ผมหมายถึงคุณน่าจะรู้ว่ามันไม่ใช่น้ำส้มธรรมดา”

“ก็แล้วทำไมคุณคิดว่านางรู้ล่ะคะ”

เขายิ้มกริ่ม ลองภูมิ “บอกมาก่อนว่ามันคืออะไร”

เธอหยิบเครื่องดื่มนั้นขึ้นมา พินิจมองน้ำส้มคั้นสดกับน้ำแข็งก้อนสี่เหลี่ยมทรงมาตรฐานสามสี่ก้อนในแก้วนั้น แล้วสบตาเขาก่อนตอบ

“สกรูไดรเวอร์ค่ะ”

“นั่น!” น้ำเสียงเขาบ่งบอกว่าพอใจยิ่ง “เห็นไหม ผมมองคุณออก ผมชอบที่คุณเป็นอย่างนี้ด้วยนะเจ้านาง”

“อะไรคะ” เธอถามไปอย่างนั้น จิบเจ้าค็อกเทลสุดเบสิกด้วยน้ำส้มผสมวอดก้า

“ก็คุณไม่ได้ไร้เดียงสาแบบไม่รู้อะไรเลยไง คุณสูบบุหรี่เป็นก็ต้องรู้จักสูตรค็อกเทลบ้างละน่า จริงใช่ไหมล่ะ”

“แค่บางตัวค่ะ ก็ไม่ได้รู้ทั้งหมด นี่รสชาติแปร่งๆ ไปหน่อยนะคะ” เธอมองเครื่องดื่มในมือ

เขาขยับตัวยกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นดื่มบ้าง เลียริมฝีปากแล้วพูดกับเธอ “ผมสั่งให้เขาลดวอดก้าลงครึ่งหนึ่ง กินกับอะไรไปสักหน่อยก่อนอย่าเพิ่งจิบอีก ผมขี้เกียจแบกคุณกลับ”

เธอยกมุมปาก “ไหนว่ารู้จักนางดี นางไม่ได้คออ่อนนะ”

ปณัยพ่นลมหายใจอีกครั้ง “รู้ แต่ก็ไม่ได้คอแข็ง อย่าประมาทเจ้านาง อยู่ข้างนอก อยู่กับผู้ชายต้องรู้ตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองขาดสติเด็ดขาดนะจำไว้”

สีหน้า แววตา และท่าทางห่วงใยที่มันดูจริงจังของเขาทำเธอนิ่งไป เขาทำให้เธอรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นในทรวง ที่ผ่านมาถ้าไม่นับยายก็ไม่ค่อยมีใครเป็นห่วงหรือให้คำเตือนอะไรเธอแบบนี้หรอก เธอมองเขา แม้ลุคแบดบอย ข่าวคราวเรื่องสาวๆ ของเขาที่ฟังดูน่ากลัว แต่ตั้งแต่เธออยู่กับเขามา ไม่สิ ตั้งแต่เขาเป็นผู้ปกครองเธอ เจ้านางก็ไม่เห็นว่าเขาจะควงใครเลยนี่นา เอ...หรือควง แต่เธอไม่เห็นเอง

“เจ้านาง! เจ้านาง!”

“คะ ค่ะคุณณัย” เธอสะดุ้งเมื่อได้ยินเขาเรียก เธอมัวแต่เหม่อลอยไปไกล เจ้าน้ำส้มวอดก้าก็แทบไม่ได้แตะอีก เจ้านางมั่นใจว่าตัวเองยังไม่เมา

“รู้จักเพลงนี้ไหม ผมชอบมาก คุณฟังผมร้องเพลงบ้างแล้วกันนะ”

เขากดเพลงให้ขึ้นบนหน้าจอคาราโอเกะ แล้วหยิบไมค์ขึ้นมา ทว่าเขาไม่ได้ร้องอย่างคนอื่นที่นั่งแล้วอ่านเนื้อตามตัวอักษรที่ขึ้นบนหน้าจอ ปณัยเดินไปยืนหน้าห้องหันหลังให้จอด้วยซ้ำ ตามองเธออย่างตั้งใจ แล้วเขาก็ยกไมโครโฟนขึ้นจดริมฝีปาก ท่วงท่าอย่างนักร้องอาชีพก็ไม่ปาน

“Should’ve stayed, were there signs, I ignored?

Can I help you, not to hurt, anymore?

We saw brilliance, when the world, was asleep

There are things that we can have, but can’t keep

...If they say

Who cares if one more light goes out?

In a sky of a million stars

It flickers, flickers

Who cares when someone’s time runs out?

If a moment is all we are

We’re quicker, quicker

Who cares if one more light goes out?

Well I do...”

เจ้านางยอมรับว่าปณัยร้องเพลงได้ดี ดีกว่าที่เธอคิด วันนั้นที่เขาร้องขณะเล่นเปียโนไปด้วยที่คอนโดฯ ยังไม่ชัดเท่าไร แม้จะรู้สึกได้ว่าเขาร้องเพลงเป็น แต่ค่ำคืนนี้เจ้านางได้เห็นชัดเจนเลยว่าเขานั้นมากกว่าแค่ร้องเป็นด้วยซ้ำ เพราะมีเทคนิคการใช้เสียงพอตัวทีเดียวเชียวล่ะ!

เพลงยังคงดำเนินต่อไปตามจังหวะจะโคน เจ้านางน้ำตารื้น ด้วยทำนองเพลงที่เศร้าเหลือเกิน กับเนื้อหาที่บ่งบอกว่าใครคนหนึ่งจะเห็นคุณค่าของตัวเราเสมอ อย่าได้คิดว่าไม่มีใครสนใจ มันเป็นเพลงช้า หมองหม่น แต่ก็ให้กำลังใจได้ดี เธอไม่รู้ว่าเขาตั้งใจร้องเพลงนี้ในคืนนี้เพราะอะไร เพราะมันคือคืนแห่งความสำเร็จของเธอ หรือเขาชอบเพลงนี้ส่วนตัวก็สุดจะรู้

“Just ‘cause you can’t see it, doesn’t mean it, isn’t there...”

แปลกที่เธอเห็นเขายืนนิ่ง หลับตา ดั่งให้ท่วงทำนองแห่งดนตรีล้อมกายเขาไว้ ดื่มด่ำไปกับบทเพลง

“Who cares if one more light goes out?

Well I do”

เขาร้องท่อนสุดท้ายอีกครั้งพร้อมๆ กับลืมตาขึ้น แม้ห้องจะมืดสลัว และเขายืนอยู่ห่างออกไป แต่เธอก็รู้ได้ว่า ปณัยมีน้ำตา...

เขาวางไมค์เดินกลับมานั่งข้างเธอ ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มราวกับว่ามันคือน้ำเปล่าแก้กระหาย ทีท่าขรึมของเขาทำให้เธอได้แต่มอง เจ้านางสังเกตดวงตาคมคายของเขา เธอมั่นใจว่ามันเรื่อขึ้นและมีน้ำบางๆ ฉาบอยู่

“เพลงนี้เป็นของวงร็อกหนักๆ เลยนะ แต่ทำบัลลาดตัวนี้ออกมาได้สวยงามกินใจมาก น่าเสียดาย...ที่หลังจากเพลงออกมาไม่นาน นักร้องนำก็จบชีวิตตัวเองไปเพราะโรคซึมเศร้า”

“ค่ะ นางชอบเพลงนี้มากเหมือนกัน” เธอจำข่าวนักร้องต่างประเทศคนนั้นได้ ข่าวดังมากในตอนนั้น 

“นั่นละ” เขาเอี้ยวตัวมาหาเธอ “ผมชอบเพลงนี้มาก มากๆ เลย เพลงนี้ออกตอนผมกำลังเป็นหนุ่มใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีที่แคนาดา When I was wild and free.”

เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงไพเราะเหลือเกิน

เธอเบิกตานิดๆ ปกติปณัยไม่เคยพูดถึงชีวิตที่ผ่านมาของเขา แต่เมื่อครู่เหมือนเขากำลังพูดถึงอดีต แต่แล้วเขาก็นิ่งไปอย่างคนจมกับความหลัง

“คุณโตที่นั่นเหรอคะ” เธอถาม ทำลายความเงียบที่เริ่มนำมาซึ่งความอึดอัด

เขากะพริบตาถี่ สบตาเธออีกครั้งก่อนพูดต่อ “ไม่เชิง ผมเกิดแล้วก็โตที่นี่นั่นละ แต่...” เขาเม้มปากแล้วนิ่งไปอีก

“ไม่ต้องเล่าก็ได้นะคะ ขอโทษที่ถาม”

เขาเลื่อนมือหนึ่งมาวางบนต้นขาเธอ ไม่ได้ลูบไล้หรือมีท่าทีอย่างคนต้องการอะไรมากกว่านั้น

“ไม่ต้องขอโทษ ถามได้ ผมอยากให้คุณถาม อยากให้คุณรู้จักผมเจ้านาง ผมแค่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน...” เขาก้มหน้าถอนใจแล้วยกมือข้างนั้นขึ้นปัดผมเธอเล่น ลูบศีรษะเธอกลายๆ “กับ...กลัว...คุณจะไม่อยากรู้ไม่อยากฟัง เห็นว่าคนแก่มานั่งเล่าความหลัง”

เจ้านางหลุดหัวเราะ “คุณยังไม่แก่สักหน่อย”

เขาทำหน้าเขินๆ “ก็ใช่ อายุผมอาจจะหนุ่มอยู่ แต่ผมแก่กว่าคุณสิบปีเลยนะ ผมไม่อยากให้คุณมองว่าผมเป็นตาแก่”

เธออมยิ้ม

“ยิ้มแบบนี้แปลว่าอะไร” ปณัยท่าทางจะคิดมากจริงๆ แฮะ

“เปล่า” คราวนี้เจ้านางมองหน้าเขาจริงจัง “คุณดูดีจะตายคุณณัย หล่อมาก มีแต่คนกรี๊ดคุณ ไปดูในโซเชียลสิ”

เขายิ้มไม่เปิดปาก แต่พาดวงตารีลงไปด้วย สีหน้าพอใจสุดๆ เขาโน้มใบหน้ามาจ้องตากัน “ใครจะกรี๊ดผมไม่สนหรอกตอนนี้ ขอแค่ผู้หญิงที่ชื่อเจ้านางคนนี้คนเดียวกรี๊ดผมก็พอ ตกลงคุณบอกว่าผมหล่อมากใช่ไหม”

“ใครว่า นางบอกว่าในโซเชียล” เจ้านางเฉไฉขยับถอยห่าง แต่ ปณัยโอบหลังเธอดันเข้าหาตัวอย่างว่องไว ก้มใบหน้ามากเสน่ห์นั้นลงมาจนริมฝีปากอิ่มของเขาเกือบจะแตะลงบนริมฝีปากเธอ เสียงพูดท้าทาย

“จริงเหรอ”

เจ้านางรีบเบือนหน้าหนีเมื่อริมฝีปากจวนเจียนสัมผัสกัน เขาถอนใจพรืด

“โอเค...” ปณัยเอานิ้วชี้แตะลงบนปากเธอแล้วแตะปากตัวเองเสียงดังจ๊วบ “จูบอย่างนี้แทนก่อนก็ได้”

เขาว่าแล้วผละออกไป ขยับนั่งในระยะห่างอย่างคนทั่วไปแล้ว เธอค่อยหายใจหายคอคล่องหน่อย แต่ก็อดค้อนเขาไม่ได้

ปณัยไม่สนใจ นั่งพิงหลังไปกับโซฟาดูผ่อนคลายขึ้นแล้วจึงเริ่มเล่า

“ผมไปอยู่แคนาดาน่าจะประมาณตั้งแต่สิบขวบ เรียนจนจบบริหารขั้นสูงจากมหา’ลัยที่นู่นเลย ระหว่างนั้นก็เทรนแข่งรถควบคู่ไปด้วย ผมเริ่มลงแข่งที่นั่นก่อนนะจริงๆ แล้ว แชมป์แรกก็ได้ที่นั่นแต่ได้เป็นทีมไม่ใช่เดี่ยว”

“โอ้โห คุณอยู่เมืองนอกนานขนาดนั้นน่าจะไม่อยากกลับเมืองไทยแล้วนะ”

เขาเชิดคางขึ้นมองเพดานห้อง มองบอลลูนที่ลอยอยู่เป็นกลุ่ม

“ผมเคยคิดนะ คิดเลยละว่าจะไม่กลับเมืองไทย แต่เพราะเพลงนั้นทำให้ผมคิดถึงพ่อกับแม่... มันทำให้ผมนึกถึงคนที่ผมแคร์ คนที่ผมนึกถึงจริงๆ ลึกสุดใจ ผมพยายามลืมพวกท่านเพราะมันเจ็บปวด แต่จริงๆ แล้วเราไม่มีทางลืมคนที่เรารักเราผูกพันได้หรอก”

เขาหันมาสบตาเธอ แม้น้ำเสียงที่เล่าจะราบเรียบ แต่ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความโศก

“เมื่อผมคิดได้อย่างนั้น ผมก็รู้ตัวว่าควรจะแคร์กิจการที่พ่อกับแม่อุตส่าห์สร้างมา ผมไม่ควรปล่อยให้มันจบสิ้นไปเฉยๆ ผมควรจะกลับมาสานต่อสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ปล่อยให้คนชั่วๆ มันลอยนวล”

เขาเว้นวรรคไปพักใหญ่ เจ้านางสัมผัสได้ถึงความเกลียดที่มันมาก กว่านั้น มันมีความชิงชังและโกรธแค้นแทรกอยู่ในประโยคหลังนั้นด้วย

“ผมกลับมารื้อฟื้นกิจการของท่าน ในเวลาหกปีจนมาได้ถึงขนาดนี้ผมก็พอใจแล้วนะ ส่วนเรื่องแข่งรถมันเป็นความชอบของผม ผมเลยทำควบคู่ไปด้วย งานมันเอื้อกันไปในตัวน่ะ”

แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด และเหมือนมีเหตุผลบางอย่างที่ขาดหายไป อย่างเขาเกลียดใคร ใครทำอะไรไว้กับครอบครัวเขา เธอเคยอ่านประวัติของ ปณัยมาแล้ว ชายหนุ่มสูญเสียบิดามารดาจากเหตุฆาตกรรม ท่านทั้งสองถูกยิงขณะขับรถไปต่างจังหวัด จนบัดนี้ตำรวจก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่เขาพูดถึง อย่างไรเธอก็ไม่อยากให้เขาต้องเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่เป็นอดีตอันไม่สวยงาม ก็เหมือนเรื่องของเธอที่เขาก็ปล่อยให้เล่าออกมาเอง

“คุณเก่งนะคะ ณ ตอนนี้คุณถือว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในขณะที่อายุยังน้อย แถมยังพ่วงดีกรีนักแข่งรถมือดีอีกด้วย”

เขายิ้มได้หน่อย ปณัยดูจะเป็นคนเก็บกดความเจ็บปวดไว้ได้เก่ง เขาทำตาแพรวพราวถามเธออีกต่างหาก

“นั่นสิ ใครๆ ก็บอกว่าผมฮอต แล้วคุณชอบผมไหมละครับเจ้านาง”

เธอแก้มร้อนขึ้นมาทันที “ชอบไม่ได้ค่ะ คุณเป็นผู้ปกครองของนางนะ อย่าลืม”

เขายิ้มกริ่ม “ชอบได้ ผมอนุญาต รอเรียนจบแล้วเขยิบสถานะทันที”

“บ้า ใครจะเขยิบอะไรกับคุณ” เธอค้อน

เขาเชยคางเธอขึ้น “คุณรู้หรอกน่าสาวน้อย ผมขอมัดจำไว้ก่อนนะ”

ปณัยประกบปากเธออย่างไม่ให้ตั้งตัว เขาดันริมฝีปากเธอออกในขณะที่เธอกำลังจะค้านแล้วบดจุมพิตให้แนบแน่น กวาดลิ้นให้สัมผัสกันอย่างรวดเร็วพร้อมดูดลมหายใจของเธอจนเจ้านางแทบทรุดในอ้อมแขนเขา ปณัยผละตัวออกด้วยท่าทางตัดใจ คลายแขนที่รัดรึงเธอไว้แล้วขยับห่างไป

เธอเห็นเขาหายใจแรง เม้มปากแน่น หากดวงตาที่มองมาฉายแววอ่อนโยนเหลือเกิน ยิ่งน้ำเสียงที่เอ่ยนุ่มนวลยิ่งกว่าปุยนุ่น

“ยินดีด้วยมากๆ อีกครั้งนะเจ้านาง ผมถือว่าก้าวแรกคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ต่อจากนี้เราจะสู้ไปด้วยกัน ผมจะพาคุณไปเก็บดวงดาวบนฟ้าให้ได้”

เธอยิ้ม น้ำอุ่นๆ รื้นขึ้นคลอสองเบ้าตา ยกมือไหว้เขา

“ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ คุณปณัย”

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com