ทั้งสองออกมาจากผับก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว อันที่จริงเธอกับเขาใช้เวลาที่นี่ไม่นาน แต่เพราะกว่าจะเสร็จจากการออดิชันก็เกือบสามทุ่ม
ด้านหน้าบริเวณทางเข้าออกผับไม่สว่างนัก ค่อนข้างมืดด้วยซ้ำหากเทียบกับทางเข้าล็อบบี้โรงแรม ที่จอดรถวีไอพีมีไม่กี่ที่ ดูเปลี่ยว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมีคนเดียว เธอเห็นตอนขามา รูปร่างผอม อายุน่าจะเข้าเลขห้าแล้วด้วยไม่ค่อยช่วยให้รู้สึกว่าปลอดภัยเท่าไร แต่ดีว่ามีปณัยจูงมือมาด้วยกันทำให้อุ่นใจ
“ง่วงไหม” เขาถามพร้อมกับยิ้มบางๆ
“นิดหน่อยค่ะ ก็ตอนประกวดใช้พลังไปเยอะ ตื่นเต้นจะตาย” เธอตอบ
“งั้นเรารีบกลับไปนอนกันดีกว่า” เขากระชับมือเธอ ทำหน้ายั่วยวน
เธอกระตุกมือกลับถามเสียงแข็ง “อะไรนะคะ”
“หืม ก็นอนไง นอนห้องใครห้องมัน แหม...คุณก็”
เธอยังหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด รถคันหรูของปณัยอยู่ไม่ไกลแต่ก็ต้องเดินเล็กน้อยอ้อมแนวต้นไม้ที่โรงแรมปลูกไว้เพื่อความสวยงาม เจ้านางได้ยินเสียงคนเดินเร็วๆ สลับเสียงพูดห้วนๆ อย่างกรรโชก คล้ายมีเรื่องกัน
ปณัยบีบมือเธอแน่นแล้วก้าวเร็วขึ้น เขาเองก็คงได้ยิน แต่แล้วพอพ้นโค้งดงไม้ต้นสูง ชายฉกรรจ์สามคนก็เดินอาดอย่างลำพองเข้ามาทัก
“เฮ้ย ไอ้หล่อไฮโซปณัยใช่ไหม” เสียงกวนอารมณ์อย่างที่สุด
ปณัยไม่ตอบ เขายืนจังก้าดึงตัวเธอให้หลบไปด้านหลัง เจ้านางจับแขนเขาด้วยมือที่เย็นขึ้นฉับพลัน
“ไม่ตอบซะด้วย แปลว่าใช่ว่ะลูกพี่ เอาไง” ชายไว้หนวดเฟิ้มตัวเตี้ยล่ำเหมือนมะขามข้อเดียวถามคนตัวสูงกว่า
คนตัวสูงทำหน้าเจ้าเล่ห์ แสยะยิ้ม “แม่งแฟนสวยว่ะ ฉุดผู้หญิงก่อนแล้วจัดการผู้ชาย ไป!”
เจ้านางตาโต ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ปณัยจะเอาตัวกันเธอเต็มที่ แต่ชายสามคนที่กลุ้มรุมเข้ามาเขาไม่อาจแยกร่างได้ เมื่อหันไปปัดป้องคนตรงหน้า คนที่เดินมาด้านข้างก็กระชากลำแขนเรียวของเจ้านางจนเธอร้อง
“โอ๊ย! ปล่อยนะ”
ปณัยผลักชายคนที่ดึงตัวเธอจนหลุดไปได้ ทว่าชายอีกคนตรงหน้าเขากลับซัดหมัดเข้าใส่ปณัยอย่างจัง เจ้านางร้องลั่น
“กรี๊ด! ช่วยด้วย”
คราวนี้เธอถูกคนร้ายฉุดกระชากด้วยพละกำลังมหาศาล เจ้านางดิ้นรนสุดฤทธิ์ แขนดึงไม่หลุดก็ใช้เท้าถีบ
“เฮ้ย! อีนี่ อยากโดนตบเหรอมึง” ไอ้เตี้ยร่างบึกตะคอก แล้วจิกผมเธอจนหน้าหงาย
“โอ๊ย!” เจ้านางได้แต่ร้อง มันดึงผมเธอไม่บันยะบันยังจริงๆ เจ็บสุดๆ ไอ้เวรเอ๊ย!
“เจ้านางอย่าสู้ ยิ่งเจ็บตัว” ปณัยตะโกนมา
เธอเห็นปณัยยังยืนได้ไม่ล้มก็ใจชื้น แต่เขาดูยังมึนหมัดเพราะตัวโคลงเคลง ชั่วพริบตาเขาก็กระโจนเข้าใส่คนที่ฉุดเธออยู่จนล้มลงไป ดีว่ามันปล่อยมือจากหัวเธอแล้วจึงไม่ล้มไปด้วย แล้วปณัยก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงชกชายคนนั้นไม่ยั้ง ทว่าเขากลับเสียจังหวะโดนเข่ายันท้องจนทรุดนั่งจุกกับพื้น
“คุณณัย!”
เจ้านางวิ่งไปหาเขา นั่งลงประคองร่างสูง เห็นใบหน้าคมคายบัดนี้เหยเก
“ผมไม่เป็นไร คุณวิ่งไปหา รปภ. ก่อน น่าจะอยู่ตรงลานจอดรถใหญ่” เขากัดฟันพูด
“ไม่ค่ะ นางไปคุณก็ถูกรุมสิ” เธอเถียง หันไปทำตาวาวขู่ใส่คนร้ายรอบด้าน
“อย่าดื้อสิ ผมบอกให้หนีไป” เขาเสียงดังใส่
“มึงไม่ต้องเสียเวลา จัดการมันเลย” ชายฉกรรจ์อีกคนที่คอยดูลาดเลาบงการ ลูกน้องทั้งสองเดินอาดเข้ามาอีกครั้ง หนึ่งในนั้นมีมีดปลายแหลมในมือ
“กรี๊ด!!” เจ้านางร้องเมื่อเห็นอาวุธ
“เฮ้ย!” ปณัยตาโตเช่นกัน แม้เขายังจุกก็อุตส่าห์ยื่นมือมากันเธอไว้ “อย่าทำอะไรผู้หญิง พวกมึงต้องการอะไร” เขาตะคอกถาม
วายร้ายสองคนไม่พูด มือมีดจ้ำเข้ามาพลางสั่งห้วนๆ กับคู่หู
“ฉุดผู้หญิงออกมาก่อน เก็บให้นายเอา เซ็กซี่ฉิบ”
“ไอ้ส...” ปณัยสบถ หากไม่ทันทำอะไรเจ้านางก็ถูกกระชากแขนไปอย่างแรง เขาเอื้อมสุดตัวเพื่อคว้าเธอแต่มิอาจต้านทานแรงมันได้
“หยุดนะเว้ย ปล่อยผู้หญิงกู!” เขาตวาด
เจ้านางเจ็บข้อมือที่ถูกกระชาก พยายามจะดิ้นให้หลุดเพื่อไปช่วยเขา แต่มันบิดข้อมือเธอจนน้ำตาเล็ด วินาทีนั้นเองเธอเห็นมือมีดยกแขนขึ้นสูงหมายจ้วงแทงเขา เจ้านางกรีดร้องสุดเสียง
“คุณณัยระวัง!”
“โอ๊ย!” ปณัยร้องเสียงหลง พอๆ กับเสียงของเธอ
“คุณณัย!”
เจ้านางตกใจสุดขีด เธอเห็นเขากุมแขนข้างหนึ่งไว้ แต่เงยหน้ามองเธอเขม็ง เจ้านางเห็นมือมีดกำลังจะแทงซ้ำ
“ไม่นะ ไม่! คุณณัยระวัง!”
เจ้านางพยายามสะบัดมือสุดตัวให้หลุดไปช่วยปณัยให้ได้ ไม่สนว่าจะเจ็บแค่ไหนแล้ว แต่คนร้ายแรงมหาศาลเกินไป มันบีบข้อมือเธอจนกระดูกแทบป่นปี้
ระหว่างหน้าสิ่วหน้าขวาน เธอได้ยินเสียงคนวิ่งตึกตักเข้ามาจำนวนมากน่าจะเป็นสิบ เสียงเหมือนทหารสวนสนาม การ์ดของปณัยนั่นเอง หลายคนเลยทีเดียว สองคนที่มาถึงก่อนเพื่อนกระโดดถีบมือมีดจนล้มคว่ำไปกับพื้น
การ์ดอีกสองคนเข้ามาช่วยจัดการคนร้ายที่ดึงเธออยู่ เมื่อเจ้านางเป็นอิสระเธอก็รีบวิ่งไปหาปณัยทันที
“คุณณัย เป็นยังไงบ้าง” เธอมองแขนชายหนุ่มที่ยกขึ้นรับมีดเมื่อครู่ เลือดแดงฉานชุ่มโชกเชิ้ตขาวของเขา
“คุณโดนฟัน” เจ้านางร้อนรนหันซ้ายขวา แล้วต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าตัวเองออกมากดแผลให้เขา
“มะ...ไม่เป็นไรเจ้านาง ผ้าคุณเปื้อนหมด” เขาปฏิเสธด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“แค่ผ้า คุณต้องหยุดเลือดก่อน” เจ้านางก้มหน้าก้มตากดแผลไว้ ข่มใจกับเลือดที่ซึมผ้าเช็ดหน้าจนชุ่ม
“นายเป็นยังไงบ้างครับ” วรัทวิ่งเข้ามาหา มือก็กดโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลไปด้วย เธอกวาดตามองไปยังคนร้ายคร่าวๆ เห็นการ์ดของปณัยซัดพวกมันจนน่วมจับกดพื้นไว้เรียบร้อยหมดแล้ว
เจ้านางรีบหันกลับมาเมื่อรู้สึกว่าคนข้างตัวโซเซ
“คุณณัย เจ็บมากใช่ไหมคะ”
“ผม...เวียนหัว” ใบหน้าเขาซีดลงถนัดตา เห็นเม็ดเหงื่อผุดพราย ดวงตาดูโรยๆ วรัทรีบประคองเขา ขณะที่ปณัยจับแขนคนสนิทอย่างพร้อมจะทิ้งตัวลง
“คุณณัย เป็นยังไง” เจ้านางตกใจเมื่อเห็นเขาทรุด รีบช่วยประคองปีกอีกข้าง วรัทอุ้มปณัยกลายๆ ให้นั่งพิงกับขอบปูนตรงแนวต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ
ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงไซเรนดังและรถพยาบาลขับเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยกดหยุดเลือดด้วยอุปกรณ์ที่ดีกว่าแค่ผ้าเช็ดหน้าเธอค่อยเบาใจ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่กันตัวเธอออกมาเพื่อพาเขาขึ้นรถพยาบาล ปณัยก็มีแรงโวยวายได้
“ให้แฟนผมมาด้วย ไม่งั้นผมไม่ไป!”
เสียงกร้าวของเขาทำคนช่วยตกใจกันไม่น้อย เจ้านางรีบเดินเข้าไปหา จับมือเขาที่เย็นเฉียบ
“คุณณัย นางอยู่ตรงนี้เดี๋ยวนางนั่งไปด้วย คุณอยู่นิ่งๆ ให้พี่เขาแทงน้ำเกลือเถอะค่ะ คุณเสียเลือดจนจะเป็นลมแล้วนะ”
เขาเหลียวใบหน้าซีดเซียวมองมา “คุณต้องอยู่กับผมนะเจ้านาง”
“นางอยู่ตรงนี้ค่ะ” คราวนี้เธอจับมือเขาแน่น ยอมเป็นแฟนไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวหายแล้วมีเคลียร์
ปณัยยอมนอนเตียงที่เจ้าหน้าที่เตรียมมาแล้วพาขึ้นรถพยาบาลได้ เมื่อประตูรถปิด เสียงไซเรนก็ดังจนแสบแก้วหู เธอจับมือเขาไว้ตลอดเวลา มองคนตัวใหญ่นอนนิ่งถูกเจาะเลือดให้น้ำเกลือ นึกสงสารและเป็นห่วงไปในคราวเดียวกัน ทั้งห่วงเรื่องแผล อาการบาดเจ็บ
และห่วงว่า...
คนร้ายดูจะไม่ใช่แค่ประสงค์ทรัพย์สิน ท่าทางมุ่งมั่นทำร้ายเขา รู้จักเขาเป็นอย่างดี นี่มันอะไรกัน เขามีคนปองร้ายอย่างนั้นหรือ มิน่าเล่า ทำไมเขาต้องมีบอดี้การ์ดคอยตาม มิน่า...วรัทถึงได้ดูห่วงเขานักหนาตอนที่ปณัยไล่กลับไป
แล้วใครกันปองร้ายเขา...