เมื่ออยู่บนเวทีจริงๆ เจ้านางกลับไม่หวาดหวั่นสิ่งใด แสงไฟบนเวทีที่ส่องลงมาคือแสงไฟแห่งความหวังที่โอบล้อมเธอไว้ เจ้านางรักที่จะยืนตรงนี้ ในมือถือไมโครโฟน โสตประสาทรับฟังดนตรีตามจังหวะจะโคนที่ฝึกซ้อมมา เธอสบสายตากับผู้ชมอย่างไม่เกรงกลัว ไม่ประหม่า แม้แต่กรรมการทั้งสามท่านที่นั่งตรงหน้า พวกเขาเหล่านั้นคือผู้ที่เธอต้องมอบบทเพลงอันไพเราะให้ นั่นคือหน้าที่ของคนร้อง เจ้านางไม่คิดหวังผลอะไรแล้ว แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ด้วยใจรักในเสียงเพลง
‘ก้าวไปในไออุ่นของตะวัน...แห่งวันใหม่
แสงทองเปรียบฝันเรืองรอง...รอคอย
ให้เราทุกคนมีพลัง...ขับเคลื่อนชีวิตต่อไป
แม้เงาหม่นมืดแห่งทุกข์โถมกระหน่ำ...แต่เธอ
จะมีตะวัน...และแสงทองแห่งอรุณรุ่งนำทาง...ตลอดไป’
เสียงปรบมือกึกก้องเมื่อเจ้านางร้องท่อนสุดท้ายจบ หญิงสาวยืนยิ้มกวาดสายตาไปยังกรรมการทุกท่านและคนดูทุกคน เธอเห็นเพื่อนๆ เกาะกลุ่มโบกไม้โบกมือเชียร์อยู่มุมหนึ่งด้านล่างเวที และ...เธอเห็นเขาแล้ว
ร่างสูงสง่าของปณัยช่างโดดเด่นเหลือเกิน เขายืนเนี้ยบในชุดสูทผูกไท เยื้องหลังเพื่อนๆ เธอไปไม่ไกล และมีวรัทอยู่ข้างๆ ไม่ห่าง
เสียงกรรมการวิจารณ์เข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง เจ้านางซึ่งยังยืนอยู่บนเวทียอมรับว่าตื่นเต้นเกินบรรยาย เพราะรู้ว่าหลังจากร้องเพลงจบก็จะมีการประกาศผลเลย มือไม้เธอเย็นและสั่นจนต้องกำไมค์ให้แน่นขึ้น เวลานี้เธอลุ้นผลสุดตัว ว่าจะผ่านเข้ารอบต่อไปหรือไม่
และแล้ว...กรรมการทั้งสามท่านก็ให้เธอผ่านเข้ารอบอย่างเป็นเอก-ฉันท์!
“ขอบคุณค่ะ” เจ้านางยกมือไหว้อย่างนอบน้อมพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นไหว ด้านล่างเวทีผู้คนกรี๊ดกร๊าด เสียงเพื่อนทั้งสามเฮลั่นมาถึงบนเวที
เจ้านางน้ำตาคลอ เงยหน้าขึ้นมองเห็นเพื่อนๆ กำลังกระโดดโลดเต้น แอร์กับจุลกอดกันกลม ซีชูไม้ชูมือชมว่าเยี่ยมสุดๆ ทว่าท่ามกลางผู้คนมากมายเธอมองไปยังร่างสูงอันเด่นสง่าของเขาที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ท่วงท่าเดิม มือล้วงกระเป๋ากางเกงมองตรงมาที่เธอ ใบหน้าของปณัยฉาบด้วยรอยยิ้มเรียบหรู หากดวงตาของเขาเธออ่านแววออก เขายินดีกับเธอ มันเป็นความยินดีที่มากกว่าแค่ดีใจ แววตาและสีหน้าของเขา...ภาคภูมิใจ ปลาบปลื้มล้นเหลือ
พิธีกรบนเวทีเข้ามาแสดงความยินดี และแนะนำเธอกับผู้ชมทางบ้านอย่างละเอียดมากขึ้น คำถามเกี่ยวกับตัวเธอ ชื่อเสียงเรียงนาม อายุ การศึกษา ทุกอย่างที่เธอตอบออกไปเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ความตื่นเต้นดีใจยังมีอยู่มากเกินกว่าจะเป็นปกติ
จนเดินลงมาจากเวทีแล้วเพื่อนๆ เข้ามาห้อมล้อมนั่นแหละ เจ้านางถึงกลับเป็นตัวเองอีกครั้ง ไม่ใช่ล่องลอยอย่างตอนอยู่บนเวที
“สุดยอดเลยฮะนาง ซีดีใจด้วยมากๆ” เพื่อนสาวหล่อคว้าตัวเธอไปกอดแน่น
“ดีใจด้วยนะนาง” จุลจับมือเธอหลวมๆ ยืนยิ้มแป้น นานๆ ทีจะเห็นจุลยิ้มอย่างกับเด็ก ปกติเก๊กเป็นพี่ใหญ่
“นางครับ” แอร์เรียกเธอบ้าง เธอหันไปมองเขาที่ยืนนิ่ง หน้ายิ้มจนตาเรียวเล็กลงไปอีกแต่ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ แอร์ผิวขาวปากแดง ดวงตาเรียวรีแบบอาตี๋ แต่รวมๆ แล้วเพื่อนๆ ว่าเขาเหมือนพวกเคป็อปมากกว่า
ซีปล่อยเธอเป็นอิสระแล้วแต่ยังควงแขนไว้ แถมเหล่มองคนที่ยืนนิ่ง “เป็นไรวะแอร์ ยืนยิ้มแปลกๆ”
แอร์เอาแต่จ้องเธออยู่นั่นเอง “ผมดีใจน่ะ ดีใจมากๆ อยากกอดนางแสดงความยินดี...ได้ไหม”
เจ้านางตาโต ชั่งใจแล้วตอบ “ได้สิ เพื่อนกัน”
คำว่า ‘เพื่อนกัน’ ทำแอร์หุบยิ้ม เสียงอ่อย “โอเคครับ เพื่อนไปก่อนตอนนี้ก็ได้”
เจ้านางกำลังจะเอียงตัวไปหาแอร์ที่อ้าแขนออกกว้าง วินาทีนั้นเองมีเสียงกระแอมดังจนทุกคนต้องหันมอง
“ผมไม่ให้กอด!”
ปณัยก้าวพรวดเข้ามาโอบไหล่เธอไว้แนบตัว ทำเอาซีเด้งไปไกลโดยปริยาย
“ไอ้...คุณปณัย” แอร์เม้มปาก มองปณัยตาขวาง “คุณก็ปล่อยนางสิ ทำเป็นหวง ไหนว่าเป็นแค่ผู้ปกครอง อย่าทำตัวเป็นสมภารกินไก่วัดหน่อยเลย”
“แอร์...!” เจ้านางตกใจที่เพื่อนพูดแบบนั้น แล้วรู้สึกได้ถึงวงแขนของปณัยที่กระชับแน่นขึ้นอีก หน้าดุๆ ไม่ยิ้มสักนิด จ้องแอร์เขม็ง
“ผมจะกินไก่วัดหรือไม่กินมันก็เรื่องของผม ยังไงผมก็เป็นผู้ดูแลไก่ มีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ใครมายุ่ง” ปณัยตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบติดจะหยันอยู่ในที
แอร์มองเธอแล้วฟ้อง “นาง มันเห็นนางเป็นลูกไก่ในกำมือ เห็นไหมว่ามันไม่ได้หวังดี มันหวังผลอย่างอื่นนะนาง”
“เฮ้ยไอ้น้อง! มากไปแล้ว” ปณัยปล่อยมือจากเธอ ผลักอกแอร์จนเซ
“อย่าครับคุณ” จุลรีบก้าวมารับตัวแอร์พลางกันปณัย พร้อมๆ กับ วรัทที่เข้ามาแตะแขนของคนเป็นนายเช่นกัน แล้วเอ่ยเตือนสติอย่างเกรงใจ
“นายครับ”
“พูดจาหัดมีสัมมาคารวะบ้าง ผมอาวุโสกว่าคุณหลายปี ปัญญาชนหน่อย เรียกให้เกียรติกันด้วยไอ้น้อง ไม่งั้นก็เจอกันตัวตัวข้างนอกเลย”
“คุณ!” เจ้านางตกใจกับคำท้าของเขา
“เอาสิวะ ชกกันเลยก็ได้ ไปไหม” แอร์ที่เลือดร้อนอยู่แล้วรับคำท้าเสียงดังจนคนเริ่มมอง ดีว่าผู้เข้าแข่งขันคนถัดมาร้องเพลงเร็วเสียงดนตรีดังกลบ แถมไฟในฮอลล์ก็มืดทำให้ไม่มีใครสังเกตว่ากลุ่มพวกเธอกำลังฮึ่มๆ กันอยู่
“ได้ กูพร้อมเสมอ” ปณัยก้าวออกไปทันที เจ้านางรีบคว้าแขนเขาไว้
“คุณณัย นางขอร้อง แอร์เป็นเพื่อนนาง เพื่อนกลุ่มเดียวกันอยู่วงเดียวกันด้วย คุณกำลังทำให้นางลำบากใจ”
ใบหน้าของเขาโกรธขึ้ง ดวงตาที่มองเธอยังคุกรุ่นอย่างกับมีเปลวไฟอยู่ภายใน “คุณก็เห็น เพื่อนคุณคนนี้มันกร่างใส่ผมตลอดเวลา”
เธอเอื้อมมืออีกข้างมาแตะหลังมือเขาเบาๆ “แอร์เป็นคนอย่างนี้ ก็คล้ายๆ กับคุณ คุณสองคนชกกันแล้วได้อะไร ใช้กำลังแล้วยังไง ไม่มีใครชนะนะ เจ็บด้วยกันทั้งคู่ และคนที่เจ็บมากที่สุดก็คือนางเพราะเป็นต้นเหตุ แล้วนางจะมองหน้าใครได้ทั้งเพื่อนทั้งคุณ”
ปณัยถอนใจแรง คิ้วเข้มขมวดมุ่น เขากุมมือเธอ เสียงพูดลดระดับความดุดันลงมากเลยทีเดียว “ได้ เพื่อคุณ”
แล้วเขาก็หันไปชี้หน้าแอร์ “ผมหยุดเพราะเจ้านางรู้ไว้ด้วย จำไว้...เพื่อนอยู่ส่วนเพื่อน ส่วนผมก็จะทำหน้าที่ผู้ปกครองของเธอ อย่ามาล้ำเส้น”
“ให้มันจริงเถอะ ถ้าทำอะไรนางละก็กูไม่ไว้หน้าแน่” แอร์ยังห่ามใส่ไม่เลิก จุลต้องคอยดึงแขนไว้
เจ้านางเห็นปณัยพยายามข่มอารมณ์อย่างที่สุด “แล้วทีหลังก็พูดจาให้มันดีกว่านี้ด้วย”
“ทำไม วิเศษมาจากไหนวะ” แอร์ฮึดฮัดจนจุลต้องออกแรง ขณะที่ซีก็แตะบ่าแอร์กระซิบอะไรข้างหูอย่างคงพยายามบอกให้ใจเย็น
“ไป เจ้านาง กลับได้แล้ว” ไม่แค่เอ่ย ปณัยจับมือเธอลากไปทันที เจ้านางคิดว่าเป็นการเดินตามเขาที่เร็วที่สุดในชีวิตแล้ว เพราะกลัวเหลือเกินว่าแอร์กับเขาจะปะทะกันอีก
เฮ้อ...ไม่รู้ว่าศึกนี้จะสงบเมื่อไหร่จริงๆ