เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มสนามซ้อมแข่งรถ รถจากทีมของปณัยขับวนกันหลายรอบ ทีมจากค่ายรถหรูคู่แข่งก็มีคิวซ้อมในสนามเดียวกันวันนี้อย่างบังเอิญ หากเพิ่มความเร้าใจให้ผู้ที่เข้ามาชมการซ้อมและเจ้าหน้าที่รอบๆ สนาม เพราะทั้งสองค่ายขับแข่งกันประหนึ่งอยู่ในช่วงเวลาของการแข่งขันจริง
ปณัยเข้าโค้งจากแทร็กนอกสุด แล้วเบียดรถแข่งคันสีส้มจากอีกค่ายเข้าด้านใน จนเกือบจะชนท้าย ปณัยแค่วัดใจรู้ว่ายังไงเสียก็ไม่ชน ไม่มันหลบก็เขาเบรก ก็แค่ว่าใครจะยอมก่อนกันเท่านั้นเอง แล้วรถสีส้มก็ถูกบีบจนต้องชะลอความเร็วและหลบให้ในที่สุด ปณัยจึงขับฉิวเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกอย่างเฉือนกันแค่เสี้ยววินาที
ปณัยประคองรถสีแดงแรงฤทธิ์คันเก่งเลยผ่านเส้นชัยไปจนถึงพิทของตนเองแล้วจึงหยุดสนิท หันมองคู่แข่งที่รู้ว่าต้องขับผ่านมาแน่นอน ไม่ผิดคาด หากคนขับจงใจเบียดมาจนชิดแล้วลดกระจกลงเปิดหน้าหมวกขึ้น จนเห็นใบหน้ากวนเบื้องล่างของชายรุ่นน้อง คนที่ขับเคี่ยวกันมาตลอดทั้งในธุรกิจซูเปอร์คาร์และวงการแข่งรถ
“วันจริงลองเบียดแบบนี้อีก มึงเจอดีแน่!” คู่แข่งพูดอย่างหมายหัว
ปณัยเกลียดท่ายกมุมปากของมันที่ทำให้หนวดบนริมฝีปากขยับไปด้วยดูน่าเกลียดชะมัด ปณัยแสยะยิ้ม “เขาเรียกจังหวะเว้ย นายมันเสียจังหวะเอง อย่ามาพาล”
“จังหวะเห**ล่ะสิ ทุเรศ!”
ปณัยเหยียบคันเร่งแล้วขับปาดไปจอดขวางหน้า กระชากเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวเดินอาดไปหาคนปากดี
“มึงลงมาเลยไอ้ธนัส!”
เขาพยายามข่มอารมณ์เต็มที่ไม่แตะต้องตัว หากรุ่นน้องยังนั่งหลังพวงมาลัยมองมาอย่างไม่ยี่หระ
“อะไร กร่างในสนามไม่พอจะมาทำนักเลงโตอีกเหรอ”
เขาทนไม่ไหวยื่นมือไปกระชากคอเสื้อคนตรงหน้าที่ตัวยังติดกับที่นั่งเพราะยังไม่ถอดเข็มขัดนิรภัย
“เฮ้ย! มึง ไอ้ปณัย” ธนัสฮึดฮัดดิ้นรนขณะที่เขากำลังจะปล่อยหมัดพอดิบพอดี
“อย่าครับนาย อย่า”
วรัทปราดเข้ามากอดเอวกระชากตัวปณัยออกมาก่อน ปลายหมัดจึงเฉี่ยวหนังหน้ารุ่นน้องไปอย่างหวุดหวิด
“มึงเจอดีแน่!” ธนัสเขม้นมองอย่างฝากไว้ก่อนแล้วรีบขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว เสียงล้อบดถนนดังเอี๊ยดอย่างน่าหวาดเสียว
“ไอ้ธนัส! มึง รอบหน้ากูชกมึงเต็มๆ แน่ ไอ้ส...” ปณัยตะโกนด่าไล่หลังแล้วสะบัดตัวออกจากคนสนิท วรัทจึงปล่อยมือ
ปณัยยังมองตามรถธนัสที่ขับอ้อมไปด้านหลังสนามจนลับตาแล้ว เท่านั้นเขาก็สบถออกมาอีกรอบ “ไอ้เวรเอ๊ย ทำไมกูต้องมาเจอมึงทั้งขายรถทั้งแข่งรถด้วยวะ”
“มันสู้อะไรนายไม่ได้สักอย่างหรอกครับ นายอย่าไปสนเลย นายรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่าไหมครับ เดี๋ยวไปดูเจ้านางไม่ทัน”
คำพูดเตือนสตินั้น ทำให้ความหงุดหงิด ความโกรธเกรี้ยวต่างๆ ลดลงได้ในบัดดล ปณัยเบิกตาโต รีบดูนาฬิกา
“ตายห่า ทันไหมวะวิน” เขาเลิ่กลั่กถาม
“น่าจะทันอยู่ครับถ้านายออกได้ตอนนี้เลย”
วรัทพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ กับหน้าที่ไร้ความรู้สึกเช่นเคย แต่ปณัยกำลังตาเหลือก จะทันยังไงเขายังอยู่ในชุดนักแข่งเต็มสูทอยู่เลย วันนี้เขาจะปุบปับไปทั้งชุดนี้อีกไม่ได้ ปณัยเรียกวิศวกรประจำทีมมาจัดการรถต่อ ส่วนตัวเองก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากระโดดขึ้นรถที่วรัทเตรียมรอรับอยู่แล้ว หวังใจว่าจะไปทันเวลา
----------
วันก่อนนั้นที่เจ้านางเรียนร้องเพลงเสร็จแล้วปณัยเร่งร้อนพาเธอออกมาจากสถาบันดนตรี ก็เพื่อพาเธอไปสมัครประกวดร้องเพลงนั่นเอง
‘The Prime’ คือรายการประกวดร้องเพลงที่จัดขึ้นทุกปีโดยบริษัทดนตรีชั้นนำของประเทศเป็นผู้จัดและเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ ผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจะได้เข้าสู่วงการเป็นนักร้องอาชีพเต็มตัว การประกวดนี้จึงเป็นเส้นทางในฝันของผู้ที่รักเสียงเพลง ซึ่งเจ้านางก็คือหนึ่งในนั้น เธอดีใจมากที่ได้มาสมัครออดิชัน เพื่อที่จะเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันของเวทีนี้ ทว่ามันก็มาพร้อมๆ กับความกังวลและการฝึกฝนเตรียมตัวอย่างหนัก
นับว่าปณัยวางแผนมาให้อย่างดีที่ส่งเธอเรียนเพิ่มเติมกับครูนาฏสุภา แค่ไม่กี่ครั้งที่เรียนด้วยเธอก็รู้สึกผูกพันกับท่านแล้ว และเปิดใจรับครูมาเป็นดั่งญาติผู้ใหญ่ของเธอด้วยซ้ำ อาจจะเพราะความใจเย็น ความใส่ใจ และความเอ็นดูที่ท่านมีให้ ทำให้หญิงสาวคลับคล้ายอบอุ่นขึ้นอย่างตอนที่มียายอยู่ด้วย แม้จะไม่สามารถทดแทนกันได้แต่ก็ทำให้ความอ้างว้าง ความคิดถึงยายลดลงได้บ้าง
เจ้านางผ่านออดิชันด้วยการส่งเทปและร้องเพลงต่อหน้ากรรมการแบบปากเปล่าไร้เครื่องดนตรีมาแล้ว วันนี้คือการออดิชันรอบสุดท้ายซึ่งสำคัญยิ่ง เพราะกรรมการต้องคัดเลือกแล้วว่าใครที่จะได้เป็นผู้เข้าแข่งขันของรายการปีนี้ และหลังจากนี้ไปก็จะมีออกอากาศทุกครั้งที่มีการแข่งขัน มีหมายเลขประจำตัวให้ประชาชนได้โหวต และถ้าเข้ารอบลึกๆ การร้องเพลงจะแสดงในฮอลล์ใหญ่บรรจุผู้ชมเรือนหมื่นเพื่อดูการแสดงสดด้วย เจ้านางตื่นเต้นนักและหมายมั่นที่จะผ่านออดิชันรอบนี้ไปให้ได้!
วันนี้ปณัยบอกเธอไว้ก่อนแล้วว่าอยากมาด้วยใจจะขาด เธอกลั้นยิ้มเมื่อนึกถึงคำที่เขาใช้กับสีหน้าจะขาดใจของเขา ที่เหมือนเด็กอดได้ของเล่นโปรดมากกว่า เนื่องจากเขามีซ้อมแข่งรถเสมือนจริงอะไรสักอย่างไม่รู้ที่เลี่ยงไม่ได้ยังไงก็ต้องไป แต่เขารับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะมาดูให้ได้ เขาจะมาทันไหมน้อ...
ช่างเถอะ ไม่ทันยังไง เจ้านางก็ยังมีเพื่อนร่วมก๊วนทั้งสามที่ตั้งใจมาเป็นเพื่อน และอยู่เชียร์ด้วยแน่นอน อย่างน้อยก็ทำให้เธออุ่นใจ
“นางสวยจังวันนี้ ยิ่งพอแต่งหน้าเข้มขึ้นนิด เซตผมให้พองขึ้นเป็นลอนหน่อยๆ อย่างนี้เซ็กซี่เป็นบ้าเลย โอ๊ย...ซีใจละลายอยากขอหอมแก้มสักฟอดได้ไหมฮะ”
เจ้านางหัวเราะ มองเพื่อนสาวหล่อที่ดูท่าจะเป็นเอามาก นี่เธอก็แค่สวมเสื้อยืดกับกางเกงรัดรูปสีดำมาเท่านั้นเอง เพียงแต่เสื้อรัดอกเปิดเนินทรวงนิดหน่อย อันที่จริงเธอก็ไม่ใช่คนเรียบร้อยมากนัก ชอบแต่งตัวให้เห็นสัดส่วนบ้าง เจ้านางพอรู้ว่าตัวเองสูงยาวเข่าดี อานิสงส์จากบิดาที่เป็นคนตัวสูง ยายเคยพูดไว้
มาถึงที่สตูดิโอ ช่างแต่งหน้าทำผมก็จับเธอไปปรับโฉมอีกนิดหน่อย เพราะการแข่งขันวันนี้จะบันทึกภาพไว้ เพื่อใช้แนะนำตัวถ้าเข้ารอบ
“ซีก็กอดนางอยู่เรื่อยๆ แล้วนี่” เธอมองเพื่อนที่ยืนยิ้มหวานอยู่ข้างๆ มือไม้อยู่ไม่สุขจับแขนโอบเอวเธอไปเรื่อย
“ไปห่างๆ เลยนาย” แอร์เดินอาดเข้ามาเบียดกระแซะระหว่างเธอกับซี จนสาวหล่อต้องยอมกระเถิบถอยออกไปแต่ไม่วายโอดครวญ
“อะไรวะแอร์ ยืนอีกข้างก็ได้นี่ไล่กันเห็นๆ หึงอะไรกับทอมวะ”
“เออ หึงหมด ยิ่งกับนายขี้เก๊กนั่น ดีวันนี้มันไม่มาใช่ไหมครับนาง” แอร์หันมายิ้มพร้อมๆ กับมองเธออย่างรอคำตอบ
เจ้านางเบ้ปากนิดๆ ไม่ชอบให้เพื่อนเรียกปณัยว่ามันแต่ก็ขี้เกียจจะติแล้ว “เห็นว่าจะตามมา ไม่รู้เหมือนกันสิว่าจะมาแน่หรือเปล่า”
“เหอะ วันสำคัญของนางแท้ๆ ยังมาช้า สู้ผมก็ไม่ได้มาอยู่กับนางแต่ต้นเลยเห็นไหม นางเต็มที่เลยนะ พวกผมเชียร์ข้างเวทีเลย” แอร์ได้ทีข่มแล้วเอ่ยเชียร์ สีหน้าและแววตาบ่งบอกว่าส่งใจให้เจ้านางเต็มที่จริงๆ
“มั่นใจนะนางทำได้อยู่แล้ว” จุลเดินเข้ามาสมทบ และบอกเทคนิคการอยู่บนเวทีอีกนิดหน่อยตามสไตล์ของเขาที่เหมือนพี่ใหญ่ดูแลน้องน้อย “อย่าลืมสบตากรรมการให้ครบทุกคน จะได้ดูเหมือนเราให้ความสำคัญกับทุกท่าน”
“ขอบคุณมากจุล” เธอยิ้มกว้างให้ แล้วหันไปหาที่เหลือ
“ขอบคุณแอร์กับซีด้วย นางไปเตรียมตัวแล้วนะ พี่ที่กำกับคิวเวทีมาเรียกแล้ว”
ก่อนเธอจะไปจุลก็เรียกให้ทุกคนจับมือกันเหมือนทุกๆ ครั้งที่วงจะขึ้นแสดง มันทำให้เจ้านางอบอุ่นนัก แม้จะขาดคนที่บ้าน ขาดญาติแท้ๆ แต่มิตรภาพอันจริงใจจากเพื่อนแค่ไม่กี่คนก็มีความหมายเหลือเกิน
เจ้านางคิดว่าตัวเองขึ้นร้องเพลงบนเวทีต่อหน้าผู้คนมากมายมาก็หลายครั้งหลายหนแล้ว แต่เวลานี้ขณะนี้ที่เธอกำลังยืนถือไมค์รอคิวตัวเองอยู่ข้างเวทีนั้น แสงสีและเสียงร้องของผู้เข้าประกวดคนก่อนหน้าทำให้เธอประหม่าไม่น้อย
แม้การร้องเพลงจะเป็นสิ่งที่เธอรักและทำอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว หากมันไม่ใช่การประกวดชี้เป็นชี้ตายอย่างนี้ ไม่มีทางเลยที่จะไม่ตื่นเต้น หัวใจข้างในอกเต้นรัวเยี่ยงกลอง มือไม้เย็นเฉียบเป็นน้ำแข็งก็ไม่ปาน เธอหายใจเข้าออกลึกๆ นึกถึงอย่างที่ใครว่าไว้ งานอดิเรกถ้าทำเล่นๆ ก็สบายใจดี แต่เมื่อไหร่งานอดิเรกคือการแข่งขัน เมื่อนั้นก็จะตามมาด้วยความเครียดและความคาดหวัง
อันที่จริง เจ้านางยังอยากได้กำลังใจจากใครอีกคน แต่...ช่างเถอะ มาไม่ทันก็ไม่ทัน
เจ้านางทำสมาธิเลิกคิดเรื่องอื่นๆ อย่างที่ครูนาฏย้ำมา ก่อนขึ้นเวทีห้านาทีให้รวมจิตใจมุ่งทำหน้าที่ร้องเพลงให้ดีที่สุด ตัดความกังวลทุกอย่างไปให้เกลี้ยง เธอหลับตาหายใจเข้าออกยาวๆ แล้วนาทีที่ผู้กำกับคิวเวทีเรียก หญิงสาวก็ก้าวขึ้นไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม