เมื่อเวลาผ่านไป...เจ้านางเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ใช้ชีวิตทุกอย่างตามปกติ เรียนหนังสือ ซ้อมดนตรี ไปทำงานที่ผับของปณัย แล้วก็ไปเรียนร้องเพลงเพิ่มเติมตามที่เขาจัดให้ เธอขอเขาเดินทางด้วยรถประจำทางตามถนัดในบางวัน แม้ปณัยจะร่ำๆ อยากส่งคนมารับส่งทุกวัน แต่เธอต้องการมีชีวิตที่เหมือนเคยมา และยื่นคำขาดว่าถ้าไม่ยอมจะออกมาอยู่เอง นั่นแหละเขาจึงยอม
เย็นนี้เจ้านางมีซ้อมดนตรีกับเพื่อน เพราะมีเพลงใหม่ที่วงพวกเธอต้องเล่นเพิ่มตามคำสั่งอาจารย์ เพลงค่อนข้างยากทำให้การซ้อมต้องค่อยเป็นค่อยไป
“ห้องนี้ยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไรนะ” จุลบ่นเมื่อเล่นกันไปแค่ช่วงแรกของเพลงก็สะดุดแล้ว
ทุกคนเห็นด้วยแล้วต่างคนต่างซ้อมของตัวเองไปก่อน
เจ้านางมองโน้ตบนชีตแล้วไล่นิ้วไปมา รู้สึกไม่ลื่นไหลจนซีเงยหน้าจากเบสตัวเองแล้วทัก
“นางฮะ ท่อนนั้นต้องเล่นเลกาโต้หรือเปล่า”
“ใช่ๆ ซี โน้ตมันยาวมากนางยังเล่นสะดุดอยู่เลย” เธอหัวเราะเขินๆ แล้วเสียงกลองของแอร์ก็ดังเป็นจังหวะเพี้ยนๆ เธอแอบยิ้ม อย่างน้อยก็มีคนไม่คล่องเป็นเพื่อน
จนเมื่อทุกคนพร้อมจุลก็ให้ซ้อมรวมอีกครั้ง จังหวะจะโคนดีขึ้นแต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจ พวกเธอต้องเล่นเจาะเป็นท่อนๆ ซ้ำอยู่หลายครั้ง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของการเข้าเพลงใหม่
เจ้านางเริ่มไม่มีสมาธิเมื่อเวลาเหลือน้อยลงๆ เธอต้องไปร้องเพลงที่ผับคืนนี้ จวนเจียนเวลาแล้ว สุดท้ายจึงยกมือบอกเพื่อนๆ ขอไปก่อน
เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังป้ายรถเมล์ มองนาฬิกาไปพลาง แล้วเสียงใครบางคนก็เรียก
“นาง เจ้านางครับ”
“แอร์”
“ให้ผมไปส่งนะ นางต้องไปถึงทุ่มหนึ่งใช่ไหมซีบอก” แอร์หน้าแดงๆ เห็นเม็ดเหงื่อตรงร่องแก้ม คงวิ่งตามเธอมา
“เอ่อ...” เจ้านางละล้าละลัง
“นะครับให้ผมไปส่ง รถผมจอดตรงลานนี้เองไม่ไกล ดีกว่าไปสายนะ”
เจ้านางยอมเดินตามแอร์ไปขึ้นรถเมื่อคิดแล้วว่าคงสายจริงๆ
----------
ไวน์รสชาติเยี่ยมยังคงละมุนลิ้นเช่นเคย เขาจิบแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะกระจกใส เชิดคางขึ้นนิดๆ มองหน้าบุรุษในชุดเสื้อคอโปโลสีดำกางเกงดำที่ยืนกุมมือสำรวมอยู่ตรงหน้า
“คิดว่าทำได้ไหม” ปณัยถาม
คนที่ยืนสำรวมก้มศีรษะลงน้อยๆ “ได้ครับนาย”
“ดี” เขาเหยียดยิ้ม “มีชื่อสกุล กับเรื่องยุ่งๆ นิดหน่อยเท่าที่รู้มาอย่างที่บอก ไปสืบดูหน่อยว่าช่วงนั้นใครปล่อยกู้นอกระบบบ้าง รายใหญ่ๆ น่ะ แล้วใครที่มันใช้วิธีสกปรกทวงหนี้ ข่มขู่พยาน น่าจะพอได้ชื่อมาบ้าง”
“ครับนาย”
“สองอาทิตย์” ปณัยบอก พร้อมกับดวงตาคมตวัดมองนักสืบประจำบริษัทอย่างเป็นคำสั่ง มิใช่ข้อต่อรอง
“ได้ครับนาย”
“ดีมาก ทำงานกับผมต้องอย่างนี้ ไปได้ ขอบใจ”
ปณัยยิ้มอีกครั้งด้วยความพอใจยิ่งแล้วยกแก้วไวน์เนื้อบางเฉียบที่ออกแบบโอบรับอมฤตเลิศรสกักกลิ่นให้อวลอยู่ในแก้วเป็นอย่างดี แต่หมดจิบนี้เขากลับนิ่วหน้า เมื่อมองลงไปยังเวทีด้านล่างแล้วเห็นนักร้องหนุ่มผมยาวกำลังร้องเพลง เขาวางแก้วอย่างกระแทกกระทั้นจนฐานแก้วชนกับโต๊ะเสียงดังก้อง
“วิน เจ้านางไปไหน นี่มันทุ่มกว่าแล้วไม่ใช่เหรอ” เขาหันไปถามคนสนิท
วรัทขมวดคิ้ว “ครับนาย”
“เฮ้ย วิน ตอบให้มันรู้เรื่อง ครับนี่มันไม่บอกอะไร ไปตามซูซานมาเดี๋ยวนี้”
คำสั่งยังไม่ทันจางเขาก็ยกมือถือขึ้นกดโทร.ออกทันที ด้วยความใจร้อนเขารอสายไม่นานก็วางแล้วกดซ้ำๆ สามสี่ครั้ง เมื่อไม่มีใครรับก็สบถ
“โธ่เว้ย! ไม่รับโทรศัพท์อีก!”
ปณัยเดินดุ่มออกจากห้องส่วนตัวทันทีจนบริกรที่ประจำอยู่งงงัน มิใช่แค่บริกรในห้องของเขา แต่การ์ดหน้าผับเวลานี้กำลังเป็นไก่ตาแตก เมื่อเจ้านายเดินงุ่นง่านอยู่หน้าทางเข้าผับด้วยสีหน้าบึ้งตึง
หัวหน้าการ์ดทำใจกล้าเข้าไปถาม “นายมีอะไรให้ผมรับใช้ไหมครับ”
“ไปทำงาน!”
ไม่มีใครเข้าหน้าเขาติด ปณัยกำโทรศัพท์แน่น ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่อายุน้อยกว่านี้เขาคงขว้างมันไปแล้ว แต่ด้วยวัยและวุฒิภาวะที่มากขึ้นทำให้พอจะแยกแยะได้บ้าง แต่ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะตอนนี้เขาก็แทบข่มความกังวล ความหัวเสีย ความเป็นห่วงที่มันปนเปกันมั่วไปหมดแล้วไม่ได้
วรัทวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพร้อมซูซานเดินตุ้มตุ้ยตามหลัง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรกับสองคนนั้น รถญี่ปุ่นสีเงินคันหนึ่งก็ขับเข้ามาจอดหน้าทางเข้าสถานบันเทิงของเขาพอดี
ปณัยเขม้นมองรู้สึกถึงความร้อนแผ่จากในอกออกมาทั่วกาย หน้าตึงที่ไม่ใช่จากฤทธิ์ไวน์แน่นอน เขายังกินไปไม่หมดแก้วเลยแค่นี้เล็กน้อยมาก เขาไม่ใช่คนหน้าแดงง่ายๆ จากเครื่องดื่มมึนเมา
หญิงสาวที่เขารอ...ไม่สิ ไม่ได้รออย่างธรรมดา รออย่างใจจดใจจ่อทีเดียว! กำลังร่ำลาคนขับที่เห็นชัดว่าคือเพื่อนของเธอที่ชื่อแอร์อะไรนั่น ก็ไอ้คนที่กร่างที่สุดที่มีเรื่องกับเขาทุกครั้งที่เจอ ก่อนขับรถออกไปเด็กหนุ่มยังหันมาสบตาเขาอีก มันท้าทายหรือไงวะ!
เจ้านางเดินเร็วๆ เพื่อจะรีบเข้าไปในร้านแต่เขายืนขวาง ดวงตาเธอมีแววตระหนก แต่น่าจะเพราะมาสาย
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์” เขาถามเสียงแข็ง
แม้จะคลายกังวลไปได้บ้างว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร แต่ไอ้วิธีการมาถึงของเธอทำให้ความหงุดหงิดทวีคูณ มิหนำซ้ำมีความรู้สึกอึดอัดแปลกๆ สุมขึ้นมาในอกอีก อยากจะลากเธอไปเคลียร์ในห้องสองต่อสองจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าเธอต้องขึ้นร้องเพลงแล้ว
“นางซ้อมดนตรีกับเพื่อน เพลงใหม่อาจารย์เพิ่งให้มา” เธอตอบ
เขาขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเข้ม “ไม่เกี่ยว ทำงานต้องรักษาเวลา ยิ่งงานแบบนี้ลูกค้ารอไม่ได้”
“นางขอโทษจริงๆ ค่ะคุณปณัย สัญญาว่าจะไม่สายอีก”
เธอยกมือไหว้ทำเขาใจอ่อนเลยทีเดียว อยากจะรวบมือเธอไว้ แต่เวลานี้ทั้งการ์ดและลูกน้องคนอื่นอยู่รอบกาย เขาไม่อาย แต่ต้องการรักษามาดของนายใหญ่ไว้
“รีบไปเข้างานได้แล้ว ซูซาน พาเธอไปแต่งตัว”
เขาหันไปสั่งผู้จัดการสาวใหญ่ที่รีบจูงมือเจ้านางไปทันที แล้วปณัยก็ต้องลอบถอนหายใจ นึกอยากถามว่าข้าวปลาอะไรรองท้องคงไม่ได้กินมาเลยสิท่า เขาได้แต่ส่ายหน้า
“เธอคงรีบจริงๆ นะครับ น่าจะยังไม่ได้กินอะไรรองท้องมาด้วย”
เขาหันไปจ้องคนข้างตัวเลยทีเดียว วรัทคิดเหมือนเขาเป๊ะ แปลว่า...
“นายเป็นห่วงเจ้านางเหรอ” เขาถามตรงๆ
“...ไม่ครับ แค่คิดตามที่เห็นครับนาย”
ปณัยหรี่ตา เขารู้จักวรัทมานานพอๆ กับที่วรัทรู้จักเขานั่นละ ทั้งสองคนต่างรู้กันดีว่าแท้จริงแล้วในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ใช่แค่เพียงเจ้านายลูกน้องอย่างที่เห็น มันมากกว่านั้น นับแต่วันที่วรัทปวารณาตัวเป็นคนสนิทของเขา วรัทก็ลดสถานะตัวเอง เจียมตัวเพียงเท่านี้
“แน่ใจนะ” เขาถามย้ำ
วรัทสบตาเขาทันควัน “แน่ใจครับนาย ผมไม่ยุ่งกับผู้หญิงของนาย”
เขาแค่นยิ้ม “ดี ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้นายจะมีหน้าที่ประจำเพิ่มขึ้น”
** หมายเหตุ: ความเร็ว ความรัก และมายา หนังสือพร้อมส่ง
ยังสั่งในราคาสั่งจอง #ส่งฟรี ได้ถึง 23 ธ.ค. 65 รายละเอียด (คลิก)
>> eBook วางจำหน่ายแล้ววันนี้! <<