ทดลองอ่าน ความเร็ว ความรัก และมายา : ตอนที่ 24

 

 

ตอนที่ 24

 

 

หลังออกมาจากโรงเรียนสอนดนตรี เขาไม่ได้พาเธอกลับคอนโดฯ เลย แต่พามายังสถานที่ที่เธอไม่คิดว่าคนอย่างปณัยจะมา

...ตลาดนัดยามค่ำคืนขนาดใหญ่ชื่อดังแห่งหนึ่ง...

ร้านรวงตั้งติดกันเรียงรายเป็นแถวกว่าสิบแถว แบ่งโซนอาหารโซนเสื้อผ้าชัดเจน ที่เหลือน่าจะเป็นของจุกจิกจิปาถะ ไฟดวงสีส้มห้อยด้านหน้าทุกร้านให้แสงมลังเมลือง ทั้งสองเดินอยู่ท่ามกลางร้านของกินหลากหลาย

“คนเดินเยอะนะเนี่ย ขนาดสามทุ่มกว่าแล้ว” ปณัยมองไปทั่วเหมือนเด็กที่เพิ่งเคยมาสวนสนุกครั้งแรก

เจ้านางเห็นคนข้างกายหน้าตาสดใสก็แอบหมั่นไส้ ก็แหงสิ ตลาดแบบนี้เด็กๆ วัยรุ่นเดินกันเยอะจะตาย ทำเป็นตื่นเต้น

“ใช่ค่ะ สาวๆ น่ารักๆ ทั้งนั้น กระชุ่มกระชวยเลยสิคะ ก็ว่าอยู่อย่างคุณไม่น่าจะเดินตลาดนัด สงสัยว่าพานางมาทำไม ที่แท้จะดูเด็กๆ นี่เอง”

เธอหัวเราะคิก แต่ไม่ทันไรกลับถูกเขาโอบเอวหมับ

“อุ๊ย!” เจ้านางสะดุ้ง

เขาก้มหน้าลงมาคลอเคลียแก้มนวล “ดูทำไมล่ะ ผมมีเด็กของผมอยู่แล้วนี่ไง”

พูดจบเขาก็หอมแก้มเธอหนึ่งฟอดอย่างรวดเร็ว หืม...มันน่านัก! เธอได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วขู่

“คุณณัย อย่ามาทำรุ่มร่ามแถวนี้นะ”

เขายังกอดเธอไว้แนบตัว ยิ้มกริ่มเชิดหน้าอย่างไม่ยี่หระ “โอเค เดี๋ยวที่เหลือเก็บไว้ทำที่คอนโดฯ”

“คุณณัย!” เธอดิ้นให้หลุดจากวงแขนเขา ทีอย่างนี้ละกลับปล่อยง่าย เจ้าตัวยังลอบยิ้มอย่างถูกใจ อย่างว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

“งั้นนางไม่กลับไปกับคุณแล้วนะ” เธอทำหน้าจริงจัง

เขายักคิ้วแล้วคว้าข้อมือเธอไว้ “ไม่ได้ เด็กต้องกลับกับผู้ปกครองอยู่ดี ไปหาไรกินดีกว่าหิวแล้ว” 

เธอได้แต่ฟึดฟัดไปตามเรื่อง ก็เขาสนใจที่ไหนพาเดินอาดๆ ไปอย่างนั้น แล้วหยุดลงตรงหน้าร้านขายขนมหน้าตาน่าสนใจ

“เอาไหม ผมจำได้เคยกินตอนเด็กๆ มันเรียกอะไรนะ” ปณัยชี้ไปที่ขนมทอดก้อนกลมเบ้อเริ่มเสียบบนไม้ก้านยาวๆ

“ขนมโป๊งเหน่ง” เธอพูด

“ฮะ” ปณัยทำตาโต

“ใช่จ้ะ ที่แฟนน้องบอกน่ะถูกแล้ว ขนมโป๊งเหน่งข้างในมีไส้กรอกชิ้นอยู่” คุณป้าแม่ค้าร่างท้วมอย่างคนทำอาหารเก่งยิ้มกว้าง แล้วหยิบขนมไม้หนึ่งยื่นให้ปณัย

“อะ ชิมสิ ไม้นี้ป้าให้เลยหล่อถูกใจ วันหลังมาอีกนะป้าชอบคนหล่อหุ่นสมาร์ตอย่างนี้ เป็นดาราหรือเปล่าทั้งพ่อหนุ่มทั้งแฟนคนสวย”

ปณัยหัวเราะ เขายังไม่รับขนมจากแม่ค้าในทันที “ผมซื้อเลยแล้วกันป้าเอาสองไม้ ผมกับแฟน”

หญิงสาวตาโตจ้องเขา ขี้ตู่อีกนะผู้ชายคนนี้ ปณัยไม่สบตาเธอคุยแต่กับป้าคนขาย

“งั้นป้าแถมไม้นี้นั่นแหละจ้ะ แล้วมาอีกนะสุดหล่อ”

เขาขอบคุณจ่ายเงินแล้วรับถุงขนมมา เดินกันมาจนถึงสะพานเล็กๆ ที่โค้งเหนือบ่อน้ำขนาดกลาง แปลกดีที่ไม่มีคนบริเวณนี้เลย

“กินเลยไหม” เขายื่นเจ้าโป๊งเหน่งให้เธอหนึ่งไม้ เจ้านางรับมาอย่างว่าง่าย ก็หิวไส้กิ่วเลยตอนนี้ ร้องเพลงเสร็จก็ค่ำมากแล้ว

กิริยาของปณัยที่ยืนสบายๆ กัดกินเจ้าขนมทอดกลมๆ สีน้ำตาลดูแปลกตาสำหรับเธอไม่น้อย ก็ที่ผ่านมาเห็นแต่มาดใส่สูทเนี้ยบอยู่เป็นนิจ ไม่ก็ชุดลำลองที่ดูเป็นชายเจ้าสำอางผู้กรุ้มกริ่ม แต่วันนี้แม้เขาจะสวมเชิ้ตกับกางเกงสแล็กส์สีดำ แต่ท่วงท่ากลับเหมือนเด็กหนุ่มสักคนที่มีอิสระกับชีวิต

“เอ้า จะมองผมอีกนานไหม นี่หลงเสน่ห์ผมเข้าให้แล้วสิถึงได้จ้องเอาๆ อย่างนี้” เขาพูดทั้งยังเคี้ยว แล้วโน้มตัวมาหา “คนอื่นมองผมไม่อะไรนะ แต่ถ้าคุณมองผมนานๆ นี่มีคึกนะครับ ต้องรีบบึ่งกลับคอนโดฯ เลยละขอบอก” เขาหลิ่วตาให้อีก

“คุณนี่!” เธอยกขนมขึ้นแทนอาวุธ

“อ๊ะๆ” เขาชี้นิ้ว “กินไปเสียดายของ ถึงจะได้ฟรีไม้หนึ่งก็เถอะ”

เธอลดมือลงแล้วค้อนขวับ

ปณัยขยับมายืนเบียด เสียงเอ่ยนุ่มนวล ไม่มีท่าทีเล่นแล้ว “โธ่...เจ้านาง ผมก็ชอบแหย่คุณน่ะ กินก่อนเถอะ ผิดเวลามื้อเย็นเยอะแล้ว เมื่อเย็นคุณไม่ได้กินอาหารว่างที่คนของผมเตรียมให้ด้วยนี่”

เธอเคี้ยวแป้งทอดที่ให้รสหวานหอมกลมกล่อมจนกลืนลงคอแล้วค่อยตอบ “คุณรู้ด้วยเหรอ ก็เมื่อเย็นนางไม่ค่อยหิว แต่ตอนนี้หิวมาก”

เธอกัดคำต่อไปทันทีที่พูดจบ

เขายิ้ม “ก็ผมเป็นผู้ปกครองคุณ ก็ต้องรู้ทุกเรื่องสิ”

เจ้านางไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกดีไม่น้อยที่มีคนคอยใส่ใจขนาดนี้ เธอมองเขากัดเอาๆ จนขนมในมือจะหมดก่อนเธอแล้ว เจ้านางลอบยิ้ม ปณัยคงหิวมากด้วยเหมือนกัน เธอตั้งหน้าตั้งตากินของตัวเองบ้าง

สักพักเขาก็ขยับไปยืนชิดริมสะพาน มองลงไปยังเบื้องล่างทำให้เธอมองตาม น้ำในบ่อใสเห็นปลาทองปลาเงินตัวใหญ่สีดำขาวส้มว่ายไปมาอย่างมีชีวิตชีวา

“เจ้านาง... พอจะเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังได้บ้างหรือยัง”

โป๊งเหน่งในมือหมดพอดี เขารับไม้ไปใส่คืนให้ในถุง ดวงตาคมของเขามองมาไม่วาง เจ้านางคิด ใบหน้าปณัยมีเสน่ห์จริงๆ อย่างที่ใครเห็นเป็นต้องหยุดมองหรือมองซ้ำ แต่ไม่ใช่เพียงแค่ดวงตาของเขาที่โดดเด่นอย่างคนหน้าตาดีที่มักมีดวงตาเป็นเครื่องประดับที่เด่นที่สุดบนใบหน้า สำหรับผู้ชายตรงหน้าเธอแล้ว เขามีริมฝีปากอันสะดุดตา มันอิ่มเต็มดูเชื้อเชิญให้สัมผัสอยู่ตลอดเวลาแม้เขาจะไม่ขยับอะไรเลย เธอเองไม่อยากเชื่อว่า ได้เคยประกบริมฝีปากเปี่ยมเสน่ห์นั้นมาแล้ว มากกว่าหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ

“คุณยังไม่ไว้ใจผมอีกเหรอเจ้านาง” เสียงเขาถาม ทำเธอหลุดจากห้วงคำนึงที่เตลิดไปไกล รีบส่ายหน้า

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เวลานี้ถ้านางไม่ไว้ใจคุณก็ไม่รู้จะไว้ใจใครแล้วละ”

เขาลูบศีรษะเธอเบาๆ แล้วละมือไปจับราวสะพาน จับจ้องปลาที่ไม่รู้ ตัวเดิมหรือเปล่าว่ายวนกลับไปกลับมา

“พ่อกับแม่นางเสียไปพร้อมกันตอนนางเก้าขวบ ท่านฆ่าตัวตายทั้งคู่”

ปณัยหันมาสบตาเธอทันที

เจ้านางรู้สึกถึงความตึงเครียด เหมือนมีมวลอากาศหนักๆ จากรอบด้านบีบอัดเข้ามายามต้องพูดถึงเรื่องนี้ แต่เธอตัดสินใจแล้วว่าจะเล่าให้เขาฟัง

“อยู่ๆ วันหนึ่งแม่ก็ไม่ไปรับที่โรงเรียนตามเวลา มีแต่ยายมาพร้อมกับน้ำตาท่วมหน้า ตั้งแต่วันนั้นชีวิตนางก็เปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันเหมือนเดิมอีกเลย”

ปณัยหันมาทั้งตัวอย่างทนไม่ได้ เอามือมาโอบเอวดึงตัวเธอไปกอดพลางกระซิบ

“ผมเสียใจที่ได้ยินอย่างนี้ เสียใจด้วยจริงๆ ครับ”

เขากอดเธออยู่สักพักก็ถอยออกเล็กน้อยแล้วจับแขนเธอไว้หลวมๆ “เพราะแบบนี้ใช่ไหม คุณเลยไปอยู่กับยายที่ทาวน์เฮาส์หลังนั้น”

เจ้านางเพียงพยักหน้ารับ ความโศกยังไม่เลือนหาย มันไม่เคยหาย ไปไหน ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป หากคิดถึงเรื่องนี้ความเจ็บปวดก็ถาโถมกลับมาเช่นเคย ในระดับเท่าๆ เดิมด้วยซ้ำ

“แล้วบ้านเดิมล่ะ คุณต้องมีบ้านที่อยู่กับพ่อแม่มาก่อน คุณมีพี่น้องไหม”

เธอส่ายหน้า “นางเป็นลูกคนเดียว บ้านนั้น นางก็ไม่รู้ว่าใครเอาไปหรือยังไง ยายบอกแต่ว่าโดนยึดไป เย็นที่รู้ว่าพ่อกับแม่ไม่อยู่กับนางแล้ว นางก็ไม่ได้กลับเข้าไปอีกเลย จริงๆ ที่นั่นมีของหลายอย่างที่นางยังนึกถึงอยู่จนทุกวันนี้ มันมากกว่าของ มันคือความทรงจำ”

เสียงเธอเครือ น้ำตารื้น

“แล้วมีใครได้กลับไปเอาออกมาให้บ้างไหม” ปณัยถาม

เธอยังคงส่ายหน้า “ยายขนของออกมาเท่าที่ทำได้คืนนั้น ได้แค่นั้นจริงๆ ยายบอกว่าเขายึดไปหมดแล้ว”

สีหน้าเธอคงเศร้าอย่างเห็นได้ชัด เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “มีอะไรที่คุณต้องการในบ้านหลังนั้น”

เจ้านางมองบ่อน้ำเบื้องล่างแต่ไม่เห็นปลาสีสวยเหล่านั้นแล้ว พวกมันพาความมีชีวิตชีวาหายไปด้วย

“เปียโนค่ะ แกรนด์เปียโนสีขาวที่พ่อกับแม่ซื้อให้ตั้งแต่นางจำความได้ นางเล่นตัวนั้นมาตลอดทั้งตอนเรียนตอนซ้อม แม่จ้างครูมาสอนที่บ้าน แต่หลังจากเกิดเรื่อง...ทุกอย่างก็สะดุด”

เสียงเขาถอนใจออกมายาวเหยียดแล้วเงียบไปจนเธอต้องหันมอง ปณัยขมวดคิ้วมุ่น เขาเองก็เลิกมองปลาในน้ำแล้ว เลิกมองบรรยากาศร้านรวง เลิกมองใครต่อใครเดินในตลาด หากมองแต่เธอ มองแต่หน้าเธออย่างเหมือนจะให้เห็นทะลุไปถึงคำตอบต่อข้อสงสัยที่เขามีผุดขึ้นเต็มหัว

เขาไม่ได้ถามถึงเปียโน แต่ถามว่า “คุณพอรู้เหตุจูงใจที่พ่อกับแม่คุณทำแบบนั้นไหม เจ้านาง”

หญิงสาวส่ายหน้าอีกตามเคย เก็บความเศร้าและดึงน้ำตาที่มันรื้นขึ้นกลับคืน เวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน ท่านทั้งสองก็คืนสู่สวรรค์นานมากแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะเสียน้ำตาอีก

“นางรู้แค่ว่าเป็นปัญหาการเงิน พ่อกับแม่ติดหนี้ใครสักคนแล้วโดนตามทวงอย่างหนัก”

“หนี้นอกระบบล่ะสิ” ปณัยเอ่ยอย่างมั่นใจ

เธอเพียงสบตาเขาแทนคำตอบนั้น

“ให้ตายเถอะ” เขาสั่นศีรษะ “อันตรายที่สุดก็ติดหนี้นอกระบบนี่ละ ทบต้นทบดอก หาไม่ได้ก็ใช้ด้วยชีวิต”

“นั่นสินะ ทำไมพ่อกับแม่...ไม่รู้ จะได้...ไม่ทำ” เธอเสียงเครือกลับมาอีก บาดแผลที่คิดว่าคืออดีต ยังไงก็ยังสดอยู่เสมอเมื่อเอ่ยถึง

“คุณมีรายละเอียดกว่านี้ไหม อย่างใครคือเจ้าหนี้ ยอดหนี้ทั้งหมด แล้วทรัพย์สมบัติของพ่อแม่คุณที่ถูกยึดไป”

เจ้านางสั่นหน้า “ไม่รู้เลยค่ะ นางไม่รู้อะไรเลย มันแย่มากใช่ไหม นางควรจะรู้เรื่องอะไรมากกว่านี้ แต่ตอนนั้น...ตอนนั้นนางเก้าขวบ ยายเองก็ทำอะไรไม่ได้ ยายแค่รับนางมาอยู่ด้วย เลี้ยงดูนางแทนพ่อกับแม่มาตั้งแต่นั้นจน...จน...”

“พอแล้วครับเจ้านาง ไม่ต้องพูดแล้ว” เขากดศีรษะเธอให้ซบลงที่อกเขา โอบกอดเธอไว้แน่นดั่งต้องการส่งผ่านไออุ่นให้ “ไม่เป็นไร ผมจะช่วยคุณเอง เราจะค่อยๆ สืบจากชื่อของพ่อแม่คุณก่อน ท่านทำอะไรมาก่อนพอรู้ไหม”

“จัดสรรที่ดินค่ะยายบอก แต่เกิดปัญหากับการจัดสรรขึ้นมาทำให้ขาดสภาพคล่อง เลยต้องยืมนอกระบบ แต่แล้วก็คืนไม่ทันหรือยังไงเนี่ยละ”

เธอหายใจเข้าลึกๆ ใจจริงก็ไม่อยากเสียน้ำตาให้กับเรื่องราวเหล่านี้อีกแล้ว มันเกิดขึ้นนานมากแล้วจริงๆ มันควรจะเป็นเพียงอดีตที่กลืนไปกับกาลเวลา

“เท่าที่รู้ตอนนั้นเจ้าหนี้คุกคามพ่อกับแม่หนักมาก ข่มขู่สารพัด มีการดักทำร้ายจนทนไม่ไหว นางรู้ว่าพ่อกับแม่ห่วงความปลอดภัยของนาง แต่นางไม่รู้ว่าพวกท่านคิดถูกไหมที่ทำแบบนั้น คิดว่าตายไปแล้วหนี้จะเป็นศูนย์ พวกนั้นไม่ตามถึงตัวนาง”

ปณัยถอนใจเฮือก “ก็ส่วนหนึ่ง แล้วเขาก็ยึดทุกอย่างของพ่อกับแม่คุณไปอย่างนั้นไง” มือของเขายังโอบเธอไว้ ปัดผมที่ปรกหน้าให้ ก้มมองสบตา

“ผมรับปากว่าจะช่วยคุณหาไอ้คนที่เป็นเจ้าหนี้พ่อกับแม่ของคุณ และถ้าเป็นไปได้จะตามทวงทรัพย์สมบัติที่เป็นของครอบครัวคุณคืนกลับมา”

สิ่งที่เขาพูดมันเกินความคาดหมาย เกินไปมากจนเป็นความเกรงใจสุดประมาณ เธอส่ายหน้า

“คุณจะทำขนาดนั้นทำไม นางไม่ใช่ญาติคุณ คุณจะเปลืองตัวขนาดนั้นเหรอ อย่าเลยนางเกรงใจ”

ปณัยดันตัวเธอออกนิดๆ ให้มองหน้ากันชัดๆ เสียงเขาค่อนไปทางดุ “เจ้านาง เลิกพูดคำว่าเกรงใจ เลิกสงสัยว่าทำไมผมต้องช่วยคุณสักที จำไว้ คนอย่างผมถ้าไม่อยากทำอะไร ต่อให้ช้างมาฉุด ผมก็ไม่ทำหรอก”

ดวงตาเปี่ยมเสน่ห์กับแววมุ่งมั่นที่โชนฉายออกมาชัดเจน ทำเธอไร้คำพูด หากนัยน์ตาร้อนผ่าว เม็ดน้ำตาเอ่อจากความตื้นตัน เธอยกมือพนม

“ขอบคุณ ขอบคุณคุณณัย มัน...มันน่าจะยากมาก แทบเป็นไปไม่ได้เลย เวลามันผ่านมาเป็นสิบปีแล้วนะ”

เขากุมมือเธอไว้ ยิ้มอ่อนโยน “ต่อให้ไม่ว่าจะยาก จะนาน จะไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ผมจะลองช่วยคุณเจ้านาง ตราบใดที่เรายังมีหวัง เราต้องทำได้”

เธอซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้างอันอบอุ่น เอ่ยขอบคุณเขาด้วยเสียงเครืออย่างที่สุด

“ขอบคุณ ขอบคุณคุณณัย”

 

 

** หมายเหตุ: ความเร็ว ความรัก และมายา หนังสือพร้อมส่ง

ยังสั่งในราคาสั่งจอง #ส่งฟรี ได้ถึง 23 ธ.ค. 65 รายละเอียด (คลิก

 

>> eBook วางจำหน่ายแล้ววันนี้! <<

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com