งานฌาปนกิจของยายเจ้านางถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่วัดแห่งหนึ่งแถบชานเมือง ปณัยเข้ามาจัดการให้ทุกอย่างตั้งแต่งานสวดอภิธรรมทุกคืนที่เขารับเป็นเจ้าภาพให้ทั้งหมด เจ้านางได้เห็นว่าเขามีลูกน้องในบริษัทและยังกลุ่มบอดี้การ์ดจำนวนหนึ่งไม่มากแต่ก็ไม่น้อยทีเดียว พวกเขาเหล่านี้เข้ามาช่วยงานอย่างแข็งขัน
แม้จิตใจของเจ้านางจะดีขึ้นบ้างเมื่อเวลาผ่านไปบวกกับงานพิธีการยุ่งๆ แต่เมื่อถึงวันลาจากอย่างถาวรหญิงสาวก็มีน้ำตาตลอดเวลา ควันไฟที่ลอยล่องออกจากปล่องเมรุยังความโศกเศร้าถาโถมอีกครั้ง
เจ้านางในชุดกระโปรงยาวเสื้อเชิ้ตลูกไม้สีดำพอดีตัว ยืนมองควันนั้นด้วยใบหน้าหมองเศร้า ขอบตาดำคล้ำ เธอกลั้นสะอื้นไม่ได้จริงๆ
“ไม่เป็นไรนะนาง...คุณยายท่านสบายแล้ว” ซีที่อยู่ข้างกันแทบจะตลอดเวลาโอบไหล่ไว้อย่างให้กำลังใจ
จุลแตะบ่าเธอเบาๆ ขณะที่แอร์เดินมาชิดใกล้
“นางครับ ผมเป็นกำลังใจให้นะครับ”
เธอพยักหน้ารับรู้ทั้งน้ำตายังรินไหลอาบหน้า แอร์มองเธอไม่ละสายตา สีหน้าเป็นห่วงและกังวล แล้วเขาก็จับมือเธอไว้ข้างหนึ่ง
“นาง...ผมไม่สบายใจเลยเห็นนางร้องไห้หนักแบบนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามชะตาลิขิตมา นางทำใจนะครับ”
หากคำปลอบของแอร์ยิ่งทำเธอสะอื้น ตัวซวนเซ แอร์ตกใจรีบโอบเธอ
“เจ้านาง! เป็นยังไง” ซีอุทานเมื่อเห็นเธอทำท่าทรุด
หญิงสาวหน้ามืด แม้เห็นเพื่อนแต่ภาพดูเทาๆ ยังได้ยินเสียงตกใจของเพื่อน ยามนั้นเองมีเสียงใครอีกคนดังขึ้นชัดเจน
“เจ้านาง พวกคุณถอยไป!”
เธอจำวงแขนแข็งแรงของเขาได้ ปณัยรวบตัวเธอขึ้นอุ้มก้าวยาวๆ พาไปไหนไม่รู้ เธอทิ้งน้ำหนักลงในอ้อมแขนเขาซบหน้าไปกับอกแกร่ง แรงกำลังจะหยัดยืนมลายไปสิ้น
เจ้านางรู้ตัวอีกทีเมื่อสัมผัสความเย็นฉ่ำของห้องที่ปณัยพาเข้ามา เขาวางเธอบนโซฟาหนังตัวเขื่อง เมื่อเธอกวาดตามองก็เห็นพระพุทธรูปบนโต๊ะหมู่บูชา เป็นห้องสำหรับทำพิธีสงฆ์ใกล้ๆ เมรุนั่นเอง
“คุณพักในนี้ก่อน เดี๋ยวเผาเสร็จเรียบร้อยไม่มีอะไรแล้วผมพากลับ” ปณัยว่า แต่เสียงหนึ่งขัดขึ้น
“ทำไมต้องกลับกับคุณ!”
เจ้านางเห็นแอร์เดินนำหน้าเข้ามาในห้องตามด้วยซีกับจุล แล้วยืนจังก้ามองปณัยตาขวาง ขณะที่เพื่อนอีกสองคนดูจะเกรงปณัยอยู่
แอร์เสียงห้วนยิ่งกว่าหน้าตาที่บูดบึ้ง
“ทำไมคุณต้องทำตัวติดกับเธอแบบนี้ เป็นญาติกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อวาน” ปณัยตอบหน้าตาเฉย แอร์หันขวับมาสบตาเธออย่างต้องการคำตอบ
เธอได้แต่กลอกตา แอร์คาดคั้น
“นี่มันอะไรกันนาง”
ปณัยก้าวไปยืนประจันหน้ากับแอร์ ในขณะที่ซีกับจุลยังยืนนิ่งเป็นหุ่นปั้นแทบจะไม่กล้าขยับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องนี้แล้ว
“คุณจะคาดคั้นเธอทำไม ยิ่งในเวลาแบบนี้ที่เธอกำลังอ่อนแอ มันใช่เหรอ นี่เพื่อนเหรอ ทำแบบนี้กับเพื่อน”
“นาย!” แอร์ทำหน้าถมึงทึง
“ผมชื่อปณัย ปภังกร ถ้าเผื่อว่าคุณจะไม่รู้จักผม” ผู้ปกครองคนใหม่ของเธอพูด เขาเชิดหน้าทรงเสน่ห์ขึ้นขณะมองแอร์
เพื่อนยกริมฝีปากขึ้นนิดๆ มองอย่างหยัน “รู้จักสิ ไฮโซที่มีประวัติควงสาวไม่ซ้ำหน้า เจ้าชู้เป็นที่หนึ่ง”
“แอร์ เบาหน่อย” จุลแตะแขนเพื่อนปราม
ปณัยเหยียดยิ้ม “รู้จักก็ดี แต่เวลาเสพข่าวควรจะหาที่มันน่าเชื่อถือหน่อยนะ ระวังผมจะฟ้องหมิ่นประมาท”
“ก็เอาสิ เพราะผมรู้จักคุณดีไง ถึงรู้ว่าเจ้านางจะไม่ปลอดภัยถ้าอยู่ใกล้คุณ คุณต้องการอะไรคุณปณัย มายุ่งกับเจ้านางทำไม” แอร์ยังไม่ยอมลดราวาศอกให้
เจ้านางเห็นซียืนกลอกตาไปมาอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น เธอเองก็เหมือนกัน สงครามย่อมๆ ระหว่างผู้ปกครองหมาดๆ กับเพื่อนไม่รู้จะลงเอยยังไง
ปณัยเขยิบมาใกล้เธอที่ยังนั่งอยู่ตรงโซฟา วางมือลงบนหลังของเธอเบาๆ
“คิดใหม่นะ เวลานี้เจ้านางไม่มีใคร เป็นคุณคิดว่ายังไงดีล่ะ จะช่วยเพื่อนยังไงว่ามาสิ”
เมื่อถูกถามกลับเช่นนั้นแอร์ถึงกับนิ่ง เธอเห็นเพื่อนกำมือแน่น ไม่มีคำตอบ
ปณัยทำเสียงในลำคอ “ว่าไง พวกคุณคือเพื่อน ทำหน้าที่ของเพื่อนไปก็ถูกต้องแล้ว แต่ถ้าต้องการจะทำหน้าที่อื่นก็ควรจะดูด้วยว่าตัวเองพร้อมไหม” ท้ายประโยคนั้นปณัยจ้องแอร์เขม็ง
“ว่าไง คิดได้หรือยังว่าทำไมผมถึงควรเป็นผู้ปกครองของเธอ”
เจ้านางหลับตาลงชั่วขณะ ประโยคนั้นเหมือนค้อนที่ทุบหมุดแห่งความคลางแคลงใจของแอร์ให้จมลงดิน มันตอบคำถามไปในตัวแล้วว่า ใครคือคนที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือเธอกันแน่
“คุณช่วยเจ้านางแล้วหวังผลในตัวเธอด้วยหรือเปล่า ถึงผมจะเป็นแค่เพื่อนที่ไม่มีกำลังทรัพย์หรือกำลังคนอะไรเท่าคุณ แต่ความเป็นห่วงของผมมีไม่แพ้คุณแน่ ที่สำคัญ...”
แอร์จ้องตาปณัยอย่างไม่กลัว
“ความบริสุทธิ์ใจที่ผมมีให้เธอน่าจะมากกว่าคุณหลายเท่าตัว”
“เฮ้ย!” ปณัยปราดไปกระชากคอเสื้อแอร์ยกมือที่กำหมัดขึ้นทันที
“คุณปณัย อย่า!” เจ้านางรีบโผไปจับแขนเขา
ปณัยเหลียวมองเธอ เขาหายใจแรงจนได้ยินชัดเลยทีเดียวก่อนจะพูดกับแอร์ “ครั้งนี้ผมเห็นแก่เจ้านางหรอกนะ ถึงไม่ทำอะไร เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”
เขาเปลี่ยนมือที่กำหมัดเป็นชี้หน้าแอร์ “ผมมีวุฒิภาวะกว่าพวกคุณ มีบริษัทที่มั่นคง มีความพร้อมที่จะดูแลเธอ รายละเอียดอื่นปลีกย่อยผมไม่จำเป็นต้องสาธยายให้เพื่อนเธอฟังหรอกนะ”
ปณัยกวาดตามองเพื่อนเธอทั้งสาม “พวกคุณเป็นนักศึกษาปีหนึ่งเองใช่ไหม หน้าที่คือเรียนหนังสือ ห่วงเพื่อนได้แต่อย่าให้มันล้ำเส้น ผมก็มีตัวตนมีหน้าตาในสังคม และผมก็เป็นผู้ใหญ่กว่าพวกคุณที่จะดูแลรับผิดชอบชีวิตของเพื่อนคุณได้ กลับกันไปได้แล้ว เจ้านางต้องพักผ่อน ยังมีเรื่องอีกมากต้องจัดการ อย่าสร้างปัญหาให้เธอทุกข์ใจมากกว่านี้”
จุลสะกิด “แอร์ไปเถอะ”
แต่แอร์ยังยืนนิ่งจนจุลต้องจับแขนเขา เมื่อแอร์ฮึดฮัด จุลก็ทำเสียงปราม “แอร์ อย่างที่คุณปณัยว่า ในความเป็นเพื่อนเราไม่ควรเพิ่มความกังวลให้กับนางนะ”
ซีหันมาโบกมือลาเธอเร็วๆ “ไปก่อนนะฮะนาง มีอะไรไลน์มาโทร.มาได้เลยนะฮะ”
เมื่อทั้งสามออกไปแล้วปณัยก็พ่นลมหายใจแรงทีเดียว เขาขยับมายืนเบียดเสียชิดเนื้อแนบเนื้อ เอี้ยวตัวมามองใกล้ๆ
“นายนั่นมันหึงคุณน่าดูเลยนะ ท่าทางผมจะต้องเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเพื่อนคนนี้ของคุณไปอีกนานแน่กว่าคุณจะเรียนจบ”
“แอร์เป็นเพื่อนที่ดีค่ะ”
ปณัยหรี่ตา เอื้อมจับมือเธอ “ผมให้เขาเป็นแค่เพื่อนคุณได้ไหมเจ้านาง”
เธอไม่ตอบ หันมองควันที่เริ่มจางจนเหลือเพียงแค่สีเทาบางๆ ลอยอย่างเชื่องช้าขึ้นสู่ท้องฟ้ากว้าง ปณัยมองตามสายตาเธอ บีบมือเธอที่อยู่ในอุ้งมือแกร่ง
“ผมไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เดี๋ยวหมดควันแล้วเรากลับกัน เย็นนี้กินข้าวที่คอนโดฯ นะ คุณเหนื่อยมากแล้ว”
เจ้านางดวงตาชื้นอีกครั้ง เวลานี้เธอเองก็ไม่มีแรงจะคิดเรื่องอะไรอื่นอีก เขาโอบศีรษะเธอเบาๆ ให้ซบลงกับไหล่กว้าง เจ้านางยอมโดยดี เธออ่อนล้าเหลือเกินแล้วจริงๆ
** หมายเหตุ: ความเร็ว ความรัก และมายา เปิดจองตั้งแต่วันนี้ - 23 ธ.ค. 65 รายละเอียด (คลิก) **
>> eBook วางจำหน่ายแล้ววันนี้! <<
ราคาโปรโมชั่นสิ้นสุดเที่ยงคืนวันที่ 8 ธ.ค. 65