หญิงสาวแทบไร้เรี่ยวแรง กำลังใจมันสำคัญกว่ากำลังกายจริงๆ เมื่อใจหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างก็พานให้แม้แต่จะพยายามหยัดตัวให้ยืนให้เดินก็ยากเหลือเกิน ปณัยต้องประคองเธอมาตลอดทางตั้งแต่ลงจากรถ คำว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอก็เพิ่งจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็ตอนนี้ เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดินมาถึงห้องอันใหญ่โตกว้างขวางของเขาได้อย่างไร
เมื่อเขาพาเธอมานั่งลงบนโซฟาตัวเขื่องกลางห้อง เจ้านางก็เหมือนเป็นตุ๊กตาที่จับวางตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ไม่คิดขยับเขยื้อนไปไหน ดีว่ายังหายใจอยู่เท่านั้นเอง ในขณะที่เจ้าของห้องหายเข้าไปในส่วนครัวทำอะไรให้เสียงกุกกัก เสียงเขาเขย่าขวดกับเสียงแก้วกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง
ไม่นานร่างสูงก็เดินกลับมาพร้อมแก้วรูปทรงเท่ๆ กับน้ำสีสวยในมือ เธอรู้มันคือค็อกเทล เมื่อครู่เขาแปลงร่างเป็นบาร์เทนเดอร์เขย่าเชกเกอร์สินะ มิน่าเธอว่าคุ้นเสียง ก็ได้ยินบ่อยๆ ในผับของเขานั่นละ สีเครื่องดื่มฟ้าเขียวสดใสดั่งน้ำทะเลลึกทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง อาจจะจริง ผัสสะแห่งการมองเห็น สัมผัส และได้กลิ่นอะไรสวยๆ หอมๆ ทำให้ในกายคนเราหลั่งสารความสุขออกมา
“บลูกามิกาเซ่ ผมใส่วอดก้านิดเดียว กับบลูคูราโซ่ เหล้าทำจากส้มแต่งสีฟ้า” เขาเอ่ยแล้วยื่นแก้วมาตรงหน้า
“เจ้านาง คุณรู้ไหม ผมไม่เคยรินเหล้าให้ผู้หญิงคนไหน มีแต่ต้องมาบริการผมเท่านั้น” เขาก้มใบหน้าคมคายลงมาใกล้ “คุณเป็นคนแรกที่ผมทำให้ หวานชื่นใจลองจิบสิ”
เจ้านางรับแก้วที่ก้านผอมดั่งก้านตะเกียบมาถือ จ้องเจ้าบลูกามิกาเซ่ แล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวอั้กๆ
“เฮ้ย!” ปณัยตกใจกระชากแก้วออกจากมือเธอ ออกจากปากเธอจนกระฉอกหกไปหมด
“ทำไมทำอย่างนี้เจ้านาง!” เขาวางแก้ว หันรีหันขวางดึงกระดาษทิชชูใกล้มือมาซับหน้าตาให้
หากหญิงสาวพยศดั่งเด็กดื้อ ไร้เหตุผล เอื้อมมือมาจะคว้าแก้วไปดื่มเหล้าสีสวยให้หมดให้ได้ “เอามา นางจะดื่มให้มันหลับๆ ไปเลย นางไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว!”
ปณัยเบิกตาโต จับแขนเธอแน่นแล้วเขย่าจนหัวคลอน “เจ้านาง คุณพูดอะไรออกมา ตั้งสติหน่อย!”
ทว่าเธอยิ่งฟูมฟาย “ทำไม นางอยากหลับ อยากหลับๆ ไปเลย ยายไม่อยู่กับนางแล้ว ไม่มีใครอยู่แล้ว พ่อกับแม่ก็ทิ้งนาง ใครๆ ก็ทิ้งนาง นางเหนื่อย นางเหนื่อยแล้ว...ปล่อยนาง...ปล่อยนางไปเถอะนะ...”
“ผมปล่อยคุณไปไม่ได้เจ้านาง ผมรู้คุณเจ็บปวดมาก ผมเข้าใจว่ามันร้าวรานแค่ไหน คุณกำลังแตกสลาย คุณต้องการใครสักคนคืนนี้เจ้านาง เชื่อผม”
เธอร่ำไห้ สะอื้นฮัก ลำตัวไหวโยน ปณัยรวบตัวหญิงสาวไว้แนบอก
“ผมผ่านมาแล้วเจ้านาง เชื่อผม แล้วคุณจะผ่านมันไปได้”
หญิงสาวยังคงร้องไห้ น้ำตาอาบหน้าจนเปียกเลอะไปบนเสื้อของเขา “มันเจ็บ มันเจ็บมาก นางจะผ่านไปได้ยังไง ไม่มีทางเลย”
“มีสิ เชื่อผม คืนนี้จะเป็นคืนที่คุณเจ็บปวดที่สุด แต่ผมจะอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างคุณอย่างนี้ไม่ไปไหน เข้าใจไหม ผมจะเป็นไหล่ให้คุณหากคุณต้องการพักพิง จะเป็นอ้อมกอดให้คุณหากคุณเดียวดาย จะเป็นหลักยึดให้หากคุณซวนเซ เชื่อผมนะเจ้านาง”
คำของเขาสวยหรู เพริศแพร้วเกินไปหรือไม่ เธอไม่คิดอะไรแล้ว เวลานี้ความโศกศัลย์มันท่วมท้นเกินจะทน เธอซบหน้าลงกับอกเขา ทิ้งตัวที่มันหมดสิ้นกำลังใจไปในอ้อมกอดของเขา
กลิ่นกายบุรุษ สัมผัสอันแข็งแกร่ง ไออุ่นจากร่างกำยำรายล้อมเธอไว้ เขามิได้ใช้แรงในการกักกอดเธอเลย หากความอบอุ่นและความห่วงใยผ่านการกระทำของเขาต่างหาก ทำให้หญิงสาวที่เวลานี้เปรียบดั่งแก้วเนื้อบางที่แตกแทบจะแหลกละเอียดยังพอประคองร่างอิงแอบอยู่กับเขาได้ อ้อมกอดที่ปณัยมอบให้ แทนคำบอกกล่าวที่มันชัดเจนกว่าคำพูดใดๆ ว่าเธอจะไม่เดียวดาย ไม่โดดเดี่ยวอย่างแน่นอน
ปณัยปล่อยเธอร้องไห้นานเท่าไรไม่รู้ ลูบศีรษะเธอเบาๆ จนเสียงสะอื้นลดลง จึงก้มลงมองหน้ากัน
“ดีขึ้นไหม”
เจ้านางเพียงก้มหน้า ไม่สะอื้นแล้ว แต่สายน้ำตายังค้างบนแก้ม เอ่อแล้วรินลงเรื่อยๆ เขาไล้ให้ ก้มลงจุมพิตบนขมับเบาๆ แล้วจับมือเธอ
“มากับผมหน่อยนะ”
ปณัยจับจูงมือเธอพาเดินไปตามทางที่เลี้ยวหักมุมไปยังอีกฟากฝั่งหนึ่งของห้องอันกว้างใหญ่ ทางเดินคล้ายรูปตัวแอล สุดทางคือบันไดไม้โปร่งหกเจ็ดขั้นนำไปสู่ชั้นลอย ที่ตั้งของห้องที่มีกระจกใสล้อมเห็นภายในได้อย่างชัดเจน ด้านหนึ่งมีประตูไม้บานใหญ่
เขาพาเธอเดินเข้าไปในห้องกว้างนั้น เจ้านางเบิกตา ผนังอีกด้านของห้องก็เป็นกระจกใสเช่นกัน พาให้เห็นทิวทัศน์ภายนอกซึ่งเวลานี้คือผืนฟ้าสีน้ำเงินดำยามราตรี เหมือนจะเห็นดาวไกลๆ สักดวงสองดวง ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอตื่นตามากกว่านั้น คือเปียโนสีดำหลังงามที่วางอยู่กลางห้อง แม้จะเป็นอัปไรต์เปียโน แต่ก็สวยเหลือเกิน ชื่อยี่ห้อดังสลักสีทองชัดเจน ไม้เนื้อดีขึ้นมันวาววับ เก้าอี้นั่งปรับได้ตามมาตรฐาน พื้นห้องปูพรมสีครีมทั้งหมดให้สัมผัสนุ่มเท้าขณะเดินเข้าไป
“ชอบห้องนี้ไหม” เขาหันมาถาม
เธอพยักหน้า “สวยมากค่ะ ไม่คิดว่าคุณจะมีเปียโนด้วย”
“ทำไมล่ะ” เขาเลิกคิ้วนิดๆ “นอกจากความเร็ว ผมก็ชอบดนตรีนะ โดยเฉพาะเปียโน” ดวงตาของเขาเปล่งประกายอ่อนโยนยามทอดมองเธอ
“นั่งด้วยกันสิ” เขาขยับเก้าอี้แล้วนั่งลงหน้าเปียโนหลังงาม ดึงมือเธอให้นั่งลงข้างๆ กัน
ปณัยลูบศีรษะเธออย่างเบามือ “คืนนี้เสียใจให้พอ แล้วพรุ่งนี้ขอให้มีแต่ความเข้มแข็งตลอดไปนะเจ้านาง แม้ชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน จำไว้ว่าคุณจะมีผมอยู่ข้างๆ”
น้ำตาเธอเอ่ออีกครั้ง “ไม่มีใครแทนยายได้ นาง...นางคิดถึงยาย” น้ำตารินผ่านแก้มนวลจนได้
“ผมก็ไม่ใช่ตัวแทนของใครทั้งนั้น ผมคือผู้ชายที่จะยืนเคียงข้างคุณ คอยให้ความช่วยเหลือคุณเมื่อคุณต้องการมัน” เขาสบตาเธอแน่วนิ่ง
“ทำไม คุณเพิ่งรู้จักนาง เราเพิ่งรู้จักกัน” เธอถามแผ่วเบา ยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง
เขายิ้มจางๆ “เวลาไม่สำคัญ รู้ไว้แค่ว่าตอนนี้คุณมีผมก็แล้วกัน...เจ้านาง”
ปณัยจุมพิตหน้าผากของเธอนุ่มนวลอย่างที่เธอไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าสาวร้อนผะผ่าว ไม่กล้าสบตา ทว่าชายหนุ่มกลับหันไปทางเปียโน ขยับตัวให้ถนัดแล้ววางมือลงบนคีย์สีขาวนั้น ไล่นิ้วให้เสียงโน้ตสูงต่ำเป็นการวอร์ม และนั่นทำให้เจ้านางประหลาดใจยิ่ง
“คุณเล่นเปียโนเป็นนี่”
เขาเพียงเหลียวมายิ้ม ไล่นิ้วอีกสองรอบแล้วหยุดเพื่อพูด
“ผมว่าคืนนี้ เพลงนี้เหมาะกับคุณ”
เสียงเปียโนพลิ้วหวานด้วยจังหวะช้า ให้ความรู้สึกหมองหม่นและงดงามในคราวเดียวกัน แล้วเขาก็ร้องคลอไปด้วย เสียงและท่วงทำนองการร้องของเขาใช้ได้เลยทีเดียว ปณัย...นักธุรกิจหนุ่ม นักแข่งรถผู้ใช้ความเร็วระดับท้าความตาย กำลังเล่นเปียโนขับกล่อมบทเพลงให้เธอฟัง เจ้านางไม่อยากเชื่อเลย
“If I’m gone when you wake up, please don’t cry
And If I’m gone when you wake up, it’s not goodbye
Don’t look back at this time as a time, of heartbreak and distress
Remember me, remember me
‘Cause I’ll be with you in your dreams...”
เขาเลือกเพลงที่ทำเธอน้ำตาไหลอีกรอบ ถั่งท้นเป็นสายไม่หยุด ยิ่งเพลงบอกถึงว่าการล่วงลับนั้นเป็นเพียงแค่กายภายนอก หากจิตวิญญาณยังคงอยู่กับเธอไม่ห่างหายไปไหน และใครผู้นั้นอยากที่จะเห็นคนที่ยังอยู่ยังคงก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง แข็งแรงทั้งกายและใจตลอดไป
เธอรู้ว่าเขากำลังใช้บทเพลงเป็นสื่อบอกเธอว่า ยายไม่ต้องการเห็นเธอร้องไห้...
“...Remember me, remember me
‘Cause I’ll be with you in your dreams”
เขาจบเพลง พร้อมๆ กับที่เธอก้มลงสะอื้น ปณัยกอดเธอไว้ดั่งเช่นครั้งแรก หากให้ความรู้สึกห่วงหาอาทรมากมาย
เมื่อเธอหยุดสะอื้นได้ ปณัยก็ก้มมอง ปาดน้ำตาบนสองแก้มนวลด้วยปลายนิ้วอย่างทะนุถนอม เชยคางเธอให้สบตากัน ดวงตาคมของเขาเวลานี้เต็มไปด้วยแววห่วงใย เขาใช้ฝ่ามือลูบหน้าผากเธอเบาๆ ลูบผมสลวยแล้วปัดปอยผมที่หล่นลงมาปรกหน้าเธอออก ใช้ปลายนิ้วโป้งดันริมฝีปากล่างของเธอลงน้อยๆ
เขาก้มประกบริมฝีปากตนเองเข้ากับริมฝีปากของเธอ เบาหวิวดั่งสำลีแลปุยนุ่น ให้ปากอิ่มสวยของเขาไล้ริมฝีปากร้อนจากแรงสะอื้นของเธอไปทั่วๆ ก่อนจะกดลงเพื่อดูดลมหายใจของหญิงสาวไปชั่วขณะ แล้วปล่อยเป็นอิสระ หากใบหน้าหล่อเหลายังไม่ยอมห่างไปไหน ยังคงอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้วสัมผัส
“ขะ...คุณจะทำอะไร...นาง” เสียงเธอยังเครือ รู้สึกประหม่าไปหมดทั้งเนื้อตัว
“ผมจะจูบคุณเจ้านาง” เขาตอบชัดถ้อยชัดคำเหลือเกิน
“คุณจะปล้ำนางเหรอ” เธอถาม
เขายิ้ม “ไม่ครับ ไม่เคยคิดเลย ผมไม่ปล้ำคุณแน่นอนเจ้านาง หากจะมีอะไรระหว่างคุณกับผม ระหว่างเราสองคน จะต้องเป็นเวลาที่เหมาะสม และคุณจะต้อง...เต็มใจ”
“ตะ...แต่”
เธอยังคงหวั่น หวาด คนเจนสังเวียนอย่างเขาจะแค่จูบหรือ และเรื่องราวที่มันยังหนักหนาในอกอยู่ น้ำตายังเอ่อขอบตาอยู่เลย
ปณัยไล้หางตาซับความเศร้าให้เบาๆ แล้วก้มลงจนใบหน้าคลอเคลียกัน
“ผมจะจูบให้คุณคลายโศก แค่นั้นคนดี”
เขาไม่รออะไรอีก ส่งลิ้นอุ่นๆ เข้ามาทักทายช้าๆ อย่างสำรวจไปทั่วๆ เจ้านางอึกอัก กระแสไฟอันไม่รู้ที่มาไหลวนไปทั่วกาย แสงวูบวาบอย่างไม่รู้ต้นทางปรากฏขึ้นในหัว เจ้านางปล่อยเขานำทางอย่างคนหลงทิศมิรู้เหนือใต้ ปณัยคงรู้ เขาโอบมือประคองท้ายทอยเธอ ดันให้ถนัดถนี่ เจ้านางรู้สึกเหมือนหายใจไม่เต็มอิ่มต้องหายใจแรงๆ ลึกๆ หากยิ่งกลายเป็นได้ลมหายใจของเขาต่อลมหายใจเธอแทน เนื้อตัวมันเต้นระริกไปหมดแล้ว มือไม้กอดเกี่ยวเขาไปเองตามธรรมชาติ
ยิ่งเมื่อเขาขยี้ริมฝีปากซ้ำๆ ร่างของเธอก็แทบจะไร้เรี่ยวแรง อ่อนยวบอยู่ในอ้อมกอดของเขา ปณัยแข็งแรงนัก รีบรับตัวเธอด้วยการประคองแผ่นหลัง เธอได้ยินเสียงเขาหอบไม่แพ้กัน แต่ชายหนุ่มไม่ยอมถอนริมฝีปาก มีแต่บดลงมาให้แนบสนิทยิ่งขึ้นจนแทบจะกลืนกินกัน เจ้านางรู้สึกวูบวาบ ไหวหวิวไปทั้งตัว คล้ายใครจุดไฟแล้วพัดให้มันโหมแรงขึ้นในทุกส่วนของร่างกาย ให้ความรู้สึกทรมานอันประหลาดล้ำ เพราะมันปนเปมาด้วยความเอิบอิ่ม ปรีดิ์เปรมจนแทบลืมทุกสิ่งทุกอย่าง
จุมพิตของบุรุษผู้นี้ลึกล้ำยิ่งกว่าเขาวงกตที่ว่าคดเคี้ยวที่สุด เจ้านางคลับคล้ายล่องลอยไปในเมฆาสูงขึ้น สูงขึ้น ความหนักอึ้งในใจมลายหาย เธอรู้แม้ความจริงของเรื่องราวที่เผชิญมันยังอยู่ แต่อย่างน้อย ณ วินาทีนี้ ประสาทรับรู้ของเธอกำลังโบยบินไปไกลแสนไกล ไปกับจุมพิตอันตราตรึงครั้งแรกในชีวิตของเธอ ที่ได้รับจากเขา...ผู้ชายที่ชื่อปณัย
** หมายเหตุ: ความเร็ว ความรัก และมายา เปิดจองตั้งแต่วันนี้ - 23 ธ.ค. 65 รายละเอียด (คลิก) **
>> eBook วางจำหน่ายแล้ววันนี้! <<
คลิกอ่านเล่มเต็ม
ดาวน์โหลด eBook ภายใน 7 วันแรก
ลดราคาพิเศษ เหลือเพียง 249฿ (จากปก 350฿)
ราคาโปรโมชั่นสิ้นสุดเที่ยงคืนวันที่ 8 ธ.ค. 65