ทดลองอ่าน โคเฒ่าสายเปย์ : ตอนที่ 9

 

 

ตอนที่ 9

 

 

“ซิ่นตัวนี้คุณย่าให้หนูค่ะ บอกว่าเป็นซิ่นทอมือที่คุณย่าได้มาจากบุรีรัมย์ หนูชอบมากที่ตัวซิ่นเป็นสีดำแต่ตีนซิ่นเป็นสีแดงสด” รตาพูดพลางใช้มือจับซิ่นอย่างชอบใจ

“ชอบหรือ”

“ค่ะ” รตาพยักหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แม้เธอจะเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยแต่เธอไม่ใช่เด็กสาวที่ไม่ประสา เธอรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรกับเธอ อย่างคราวก่อนที่เธอบอกว่าชอบกินผลไม้ เขาก็ขนผลไม้ไปที่บ้านเธอแทบทุกวันจนกินไม่ไหว คราวนี้หากเธอบอกว่าเธอชอบผ้าถุง คุณลุงยิ้มยากจะทำอย่างไรนะ

“คุณแม่ของฉันเก็บผ้าถุงใส่หีบไม้ไว้เกือบสิบหีบ พอท่านเสียก็ไม่มีใครเอามาใส่หรือเอามาดูแลอีกเลย ฉันกับปู่ก็เป็นผู้ชายทั้งคู่ ไม่มีใครสนใจเรื่องผ้าผ่อน ถ้าวันไหนว่างๆ เธอก็ไปเลือกผืนที่ชอบมาใส่สิ หรือจะยกไปหมดทั้งสิบหีบเลยก็ได้ ฉันจะให้คนงานยกไปให้”

“จะ...จะให้หนูทั้งสิบหีบเลยเหรอคะคุณลุง ผ้าถุงเก่าเก็บบางผืนถ้าเอาไปขายนี่ได้ราคาหลายหมื่นเลยนะคะ” หญิงสาวรีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวันไม่คิดว่าชายหนุ่มรุ่นลุงจะเปย์หนักถึงขนาดนี้

“ผ้าพวกนี้จะมีค่าก็ต่อเมื่อมีคนสวมใส่ไม่ใช่เหรอ แล้วฉันก็เห็นว่าเธอใส่ได้สวยมาก” พูดเสร็จอาชวินทร์ก็เสมองไปทางอื่น ปล่อยให้คนตัวเล็กอมยิ้มมองใบหูที่แดงก่ำของเขาด้วยความเอ็นดู

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหนูขออนุญาตไปเลือกผ้าถุงที่บ้านคุณลุงนะคะ”

“ได้สิ มาได้ตลอดเลย ไม่ต้องเกรงใจ” เขาหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ซึ่งนั่นทำให้รตามองว่าการพยายามสำรวมกิริยาของเขาเป็นอะไรที่น่ารักน่าชังจนอยากยื่นมือไปบีบจมูกโด่งๆ ของเขาเสียเหลือเกิน

“ค่ะคุณลุง หนูไม่เกรงใจแน่นอน”

บทสนทนาจำต้องหยุดอยู่เพียงเท่านั้น เมื่อพระคุณเจ้าเดินเข้ามาในศาลา ทุกคนต่างประนมมือแล้วขยับเตรียมตัวฟังเทศน์ แต่หากถามอาชวินทร์ว่าวันนี้หลวงปู่เทศน์เรื่องอะไรบ้าง แน่นอนว่าเขาตอบไม่ได้ เพราะแทบไม่ได้ยินเสียงหลวงปู่ที่เทศน์ใส่ไมโครโฟนกระจายเสียงจนดังไปทั่ววัดเลยสักคำเดียว

ความรักทำให้อาชวินทร์หูหนวกไปเสียแล้ว...

----------

แสงสีเสียงในงานวัดนั้นทำให้หนุ่มใหญ่ที่ไม่ค่อยชอบความวุ่นวายเท่าใดนักถึงกับขมวดคิ้วมุ่น แต่เมื่อเหลียวไปเห็นสาวน้อยหน้าหวานเดินกินสายไหมพลางยิ้มร่าจนตาหยี ก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่างานวัดที่แสนอึกทึกจอแจก็สนุกดีเหมือนกัน

ขาสองข้างกำลังจะย่างก้าวไปข้างหน้า ไม่ได้หวังเข้าไปทักทายสาวน้อย แต่จงใจจะเดินไปเฉียดใกล้ๆ เพื่อให้เธอเห็นแล้วเป็นฝ่ายโบกมือทักก่อนเช่นทุกครั้ง แต่...

“ไอ้วินทร์ ทางนี้โว้ย”

กลุ่มชายวัยดึกหกเจ็ดคนนั่งจับกลุ่มกันอยู่ที่ร้านยาดองของตาชื่น แน่นอนว่าในกลุ่มนั้นมีไพโรจน์กำลังนั่งตาแดงก่ำหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดี อาชวินทร์จึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินจะเดินหนี แต่กลับถูกเพื่อนอีกคนวิ่งมาดักหน้าแล้วลากเขาเข้าไปนั่งรวมกลุ่มเฉย

“อะไรวะไอ้วินทร์ นี่แกไม่คิดจะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงบ้างเลยหรือไง วันๆ เอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในไร่ น่าเบื่อจะตายชัก” เพื่อนคนหนึ่งโวย ขึ้นพลางรินยาดองสูตรเด็ดของตาชื่นใส่แก้วใบเล็กแล้วยื่นให้อาชวินทร์

พวกเขาเป็นเพื่อนกลุ่มก๊วนเดียวกันสมัยประถมฯ วิ่งเล่นน้ำแก้ผ้าล่อนจ้อนกระโดดลงห้วยโครมๆ อีกทั้งยังวิ่งลุยท้องนามาด้วยกัน ไล่ต้อนวัวควายเข้าคอกสนุกสนาน พอโตขึ้นต่างฝ่ายต่างมีครอบครัวมีความรับผิดชอบที่ต้องแบกไว้บนบ่า จึงไม่ค่อยได้พูดคุยรวมกลุ่มสังสรรค์กันเท่าใดนัก

“ไม่ดื่ม” อาชวินทร์ส่ายหน้าไม่รับแก้วเหล้า ไพโรจน์เห็นดังนั้นจึงคว้าแก้วเหล้ามาจากมือเพื่อน แล้วเป็นฝ่ายส่งให้อาชวินทร์ด้วยตนเอง

“กูให้มึงดื่มไอ้วินทร์ นี่เป็นคำสั่งของกู” ไพโรจน์ที่เมาจนได้ที่ออกคำสั่ง นัยน์ตาแดงก่ำจ้องมองเพื่อนคล้ายมีเรื่องบางอย่างค้างคาใจ

“เออก็ได้ แต่แก้วเดียวพอนะโว้ย เดี๋ยวขับรถกลับบ้านไม่ไหว”

อาชวินทร์รับแก้วมาถือไว้ก่อนจะยกกรอกปากรวดเดียวหมด ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่กล้าขัดใจไพโรจน์ หรือเพราะการที่เขาแอบรักลูกสาวของมันทำให้เขากลายเป็นเบี้ยล่างของมันไปโดยปริยาย

“แก้วเดียวไม่ได้ มึงต้องนั่งดื่มเป็นเพื่อนกู ดื่มโว้ย!”

ไพโรจน์ยังคงเทยาดองใส่แก้วอย่างสนุกสนาน บ้างก็ลุกขึ้นเต้นตามจังหวะเสียงเพลงจากเวทีร้องรำ ในขณะที่อาชวินทร์เริ่มเมาบ้างแล้ว แต่การเมาของเขานั้นคือการนั่งหน้านิ่งๆ แล้วเหม่อมองชิงช้าสวรรค์ที่หมุนไปมาอย่างตั้งอกตั้งใจ ขณะที่คนอื่นๆ เริ่มเมารั่วไหลลงไปเกลือกกลิ้งที่พื้น ยิ่งดึกยิ่งออกอาการเมาเหมือนหมาไม่มีผิด

ชายหนุ่มเห็นว่าเหล่าเพื่อนวัยดึกคงได้นอนเลื้อยหลับอยู่ในวัดอย่างไม่ต้องสงสัย เขาจึงเดินโซซัดโซเซกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ ยืนโงนเงนอยู่หลายชั่วอึดใจก่อนจะตัดสินใจทิ้งมอเตอร์ไซค์ไว้ที่วัดแล้วเดินกลับบ้านแทน เพราะถือคติเมาไม่ขับ เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ถนนคนอื่นต้องมาเดือดร้อนกับความมักง่ายของตนเอง

แต่ทว่า...ระยะทางจากวัดกลับบ้านนั้น ไม่ได้ใกล้เลยสักนิด

ยิ่งออกเดินยิ่งรู้สึกเมา พื้นดินผืนหญ้ามันโคลงเคลงไปมาชอบกล ออกเดินไปข้างหน้าสามสี่ก้าวแต่กลับเดินถอยหลังอีกสองก้าว โอนเอนเสียยิ่งกว่าต้นไผ่ไหวลู่ไปกับสายลมเสียอีก

ปี๊นๆ

เสียงแตรมอเตอร์ไซค์ดังมาจากด้านหลัง กระตุกต่อมอารมณ์ร้อนของคนเมาให้คุกรุ่น “คราย...ครายมาบีบแตรวะ! ถนนมีตั้งเยอะตั้งแยะมาบีบแตรทำมาย บีบทำมาย!” เขาโวยวายก่อนจะหันขวับอย่างหาเรื่อง

“คุณลุงมาทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ”

ปากที่อ้าค้างถึงกับหุบฉับ ร่างที่ยืนเอนสี่สิบห้าองศากลับมายืนตั้งตรงได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ตนเองหลงรัก

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com