ที่ลานประหารท้ายค่าย พลทหารทั้งสี่นายถูกจับมัดแขนไพล่หลังติดอยู่กับหลัก ท่านแม่ทัพคลอดิอุสนั่งบนเก้าอี้ภายในปะรำหน้าลาน เอ่ยคำเมื่อเห็นเชลาลุสเดินเข้ามา
“ข้าคุยกับทหารรัฐธรรมนูญแล้ว การกระทำของไอ้พวกนี้ ผิดด้านวินัยอย่างร้ายแรง ต้องโทษประหารหรือมิเช่นนั้นก็ติดคุกไปตลอดชีวิตของมัน ขึ้นกับความต้องการของแม่นางผู้เสียหายด้วย ข้าเห็นว่าแม่นางก็เจ็บหนักอยู่ จึงอยากให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจว่าต้องการให้พวกนี้มันต้องโทษใด”
เชลาลุสมองพลทหารเหล่านั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ท่านขอรับ ข้าจักขอให้แม่นางระรันตาเป็นผู้ตัดสินได้หรือไม่ ในเพลานี้ขอให้ขังพวกมันไว้คุกหลังค่ายก่อน เมื่อนางหายดี ข้าอยากจะขอให้ทำการตัดสินโทษในเพลานั้นอีกครา”
ท่านแม่ทัพพยักหน้ารับ “ได้สิเชลาลุส ข้าว่าแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน”
เขากวาดตามองเมื่อไม่เห็นใครอีกคนจึงถาม “ข้าได้ให้ทหารไปนำตัวนางชาบีมาด้วยขอรับ”
ประจวบกับทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาข้างปะรำพอดีเพื่อแจ้งข่าว
“นางชาบีหายตัวไปขอรับ ที่เรือนโภชนาไม่มีใครทราบสักคนขอรับว่านางหายไปที่ใด”
“เจ้าหาทั่วค่ายหรือยัง!” เชลาลุสเอ่ยเสียงกระด้าง อย่างลืมตัวว่าอยู่กับท่านแม่ทัพ
“ขอรับ ข้าให้ทหารเวรยามตามจุดต่างๆ กระจายกันหาทั่วแล้วขอรับ”
เขากำหมัดแน่น ความแค้นคับอก
“ขอบใจ เจ้าไปได้แล้ว” แม่ทัพเอ่ยแทนแล้วลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเขา
“เชลาลุส ข้ารู้ว่าเจ้าร้อนใจนัก แต่ข้าคิดว่าเจ้าชาบีมันคงไหวตัวก่อนและออกนอกค่ายไปแล้ว”
เชลาลุสก้มศีรษะ “ข้าเพียงกังวล ว่านางอาจจะย้อนกลับมาเป็นอันตรายได้อีกขอรับ”
“ก็จริง แต่นางคงไม่กล้าย้อนมาในเพลาอันใกล้นี้ดอก” ท่านแม่ทัพเดินมายืนตรงหน้าเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เชลาลุส หากเจ้ามีใจกับนางก็จงรับเป็นภรรยาให้เรียบร้อยเถิด จะได้ดูแลปกป้องได้อย่างเต็มที่”
“ท่าน...” เชลาลุสอ้ำอึ้ง ไม่คาดคิดว่าจะเป็นท่านแม่ทัพที่แนะนำเขาตรงๆ เช่นนี้ ที่สำคัญเขาเองยังคลางแคลงใจท่านด้วยซ้ำ
แม่ทัพคลอดิอุสวางมือบนบ่าของเขาอย่างไม่ถือตน “เชลาลุส วันก่อนข้าได้เรียกแม่นางมาถามไถ่ความรู้สึกที่นางมีต่อเจ้า”
เชลาลุสใจเต้นแรงแทบไม่เป็นจังหวะเมื่อรู้ความจริงว่าคืนนั้นท่านเรียกหานางด้วยเหตุใด
“จงรู้ไว้เถิดว่า เจ้ารู้สึกกับนางเช่นไร นางก็คิดกับเจ้าเช่นนั้นเสมอกัน และสำหรับข้า” ท่านแม่ทัพกระซิบใกล้ๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอย่างไรกับนางตั้งแต่วันแรกที่ข้าเอ่ยชื่อนางแล้ว สายตาของเจ้ามันฟ้องชัดเจนนัก”
----------
กระโจมพยาบาล
นานันกำลังเช็ดหน้าให้กับหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง ขณะที่หมอดาปิโอรุสตำสมุนไพรในครกยาเล็กๆ นานันมองนางที่ยังคงหลับใหล ใบหน้าที่ถูกเช็ดแล้วดูผ่องใสขึ้นจนอดเปรยไม่ได้
“นางงามจริงๆ ความงามของนางคงต้องใจท่านเชลาลุส ถึงได้มีใจให้นางเยี่ยงนี้”
หมอดาปิโอรุสบรรจงพอกยาสมุนไพรตามรอยแผลและรอยฟกช้ำบนแขนหญิงสาว เงยหน้าขึ้นมองนานัน “ท่านเชลาลุสมิได้เพียงมีใจแก่นางดอก ท่านรักแม่นางผู้นี้สุดหัวใจเลยทีเดียว”
แล้วทั้งสองก็ต้องสะดุ้งเมื่อคนที่ถูกเอ่ยถึงปรากฏกายข้างเตียง “เป็นอย่างไรบ้าง นางรู้สติหรือยัง”
ท่านหมอพยักหน้า “นางเหมือนจะพึมพำเป็นช่วงๆ แต่ยังไม่ตื่นดีซะทีเดียวขอรับ”
หากเพียงครู่ ระรันตาก็เริ่มขยับไปมา “ไม่ ไม่ อย่าทำข้า อย่าทำ”
เชลาลุสรีบโน้มตัวไปหากระซิบข้างหูนาง “ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว เจ้าอย่าได้กลัว”
เขารวบมือระรันตาที่ยกปะป่ายมากุมไว้ “แม่นาง ข้าอยู่ตรงนี้ ข้าไม่ทิ้งเจ้าไปไหนอีกแล้ว”
หญิงสาวยังคงกระสับกระส่าย “ไม่ อย่าทำ ข้ากลัวแล้ว” นางยังคงดิ้นรนไปมา “ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ท่านเชลาลุส”
เมื่อได้ยินชื่อตนหลุดจากปากนาง เขาก็ช้อนลำตัวแบบบางขึ้นกอดเอียงหน้าซบไปกับเรือนผมสวย
“โธ่! ระรันตา ข้าอยู่ข้างเจ้า มิได้ห่างหายไปไหนเลย”
เชลาลุสพรมจุมพิตลงบนหน้าผากนาง เอียงใบหน้าแนบแก้มนวลอยู่อย่างนั้นจนระรันตาเริ่มสงบและหลับลงได้อีกครา
เขาอยู่เฝ้าข้างเตียงไม่ยอมไปไหน แม้ระรันตาจะนิ่งแล้วและนานันอาสาคอยดูแล
หมอดาปิโอรุสยังคงนั่งผสมยาเพิ่มเติม ลอบมองใบหน้าของเขาแล้วเปรย “ท่านควรพักผ่อนบ้างท่านเชลาลุส ท่านเองก็เพิ่งกลับจากทำศึก สีหน้าอิดโรยนัก”
ทหารหนุ่มยังมิทันตอบ ระรันตาก็ขยับตัวอีกครั้ง สุ้มเสียงแผ่วเบาลอดริมฝีปาก
“ท่าน...เช...ลา...ลุส”
เขาถลันไปอยู่ข้างๆ ถามอย่างปรีดาเมื่อเห็นนางลืมตา
“ระรันตา เจ้าฟื้นแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง”
หมอดาปิโอรุสตรวจดูอาการ เมื่อเห็นว่านางคืนสติขึ้นมากแล้วก็ขอตัวออกไปพร้อมกับนานัน อย่างต้องการให้ความเป็นส่วนตัวแก่เขา
“เจ้าเจ็บตรงไหนอยู่อีกบ้างไหมระรันตา” เชลาลุสถามเมื่อขยับขึ้นไปนั่งบนเตียงชิดใกล้คนเจ็บ
หญิงสาวส่ายหน้าเอ่ยเสียงเครือ “ข้า...กลัว กลัว...เหลือเกิน”
เชลาลุสโอบนางไว้ “ไม่มีใครล่วงเกินเจ้า ระรันตา ไม่มีใครหน้าไหนที่จะมาทำแบบนี้กับเจ้าได้อีก ข้าให้สัญญา”
หญิงสาวยอมซบศีรษะทุยสวยลงบนแผ่นอกของเขา เชลาลุสดึงมือนางขึ้นกุมแล้วจุมพิตเบาๆ ยกหลังมืออันแบบบางแนบแก้มหนุ่ม
“ข้าอยากให้เจ้าลืมทุกสิ่งที่เลวร้ายไป และข้าอยากให้เจ้าระลึกไว้เสมอว่า เจ้ามีข้าอยู่ข้างกายเจ้า”
เสียงนางตอบยังแผ่วเบา แต่ชัดเจนเหลือเกินในหัวใจของเขา
“ขอบคุณท่าน ขอบคุณท่านมากจริงๆ”
----------
เมืองไซราคิวส์
กษัตริย์เฮียโรที่สองยืนมองจากพระบัญชรบานใหญ่ของห้องทรงงาน พระพักตร์วิตกกังวล ไม่นานทวารห้องทรงงานก็เปิดออก ทหารม้าเร็วเข้ามาถวายรายงาน
“ขอเดชะ ท่านอัลบุสให้ถวายรายงานว่า กองทัพโรมสามารถยึดเมืองฮาดรานอนและเมืองเคนโทริปาได้สำเร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กษัตริย์เฮียโรถอนพระปัสสาสะแรงกลั้นพระทัยฟังม้าเร็วรายงานต่อ
“ขณะนี้เมืองคาทาเนียได้ส่งสารขอสงบศึกกับโรมแล้วด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ!” สุรเสียงไม่พอพระทัย พระพักตร์เครียดจัด พระกรทุบลงบนโต๊ะทรงงานดัง
“คาทาเนียมันกล้าขอสงบศึกเป็นพันธมิตรกับโรมอย่างนั้นหรือ!”
พระองค์ทรงพระดำเนินไปหยุดยังแผนที่ผืนใหญ่แขวนมุมห้อง แล้วตรัสด้วยพระสุรเสียงกริ้ว
“โรมยึดฮาดรานอน เคนโทริปาได้ ส่วนคาทาเนียขอสงบศึก ไอ้พวกขี้ขลาด!”
ทหารม้าเร็วได้แต่ยืนนิ่ง ก้มหน้าลงรับฟังเมื่อทรงมีพระราชดำรัส
“เจ้าจงไปบอกอัลบุสว่า ข้าขอให้ทัพไซราคิวส์จงหยัดยืนต่อสู้กับกองทัพโรมจนถึงที่สุด ข้าเชื่อว่าทัพใหญ่ของเราร่วมกับทัพเสริมที่อัลบุสนำไปจะสามารถต้านทานกองทัพโรมันได้ และจงย้ำกับเหล่าทหารหาญแห่งข้า ให้สู้เพื่อคงความเป็นเอกราชแห่งไซราคิวส์!!”
ติดตามต่อในฉบับเต็มทั้งแบบ หนังสือเล่ม และ อีบุ๊ก