ณ เมืองไซราคิวส์ นครทางตอนใต้ของซิซิลี
โต๊ะประชุมใหญ่กลางห้องทรงงานของผู้ปกครองนครเดิม ที่บัดนี้ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์เฮียโรที่สอง แห่งไซราคิวส์ หลังจากการชนะศึกกับแมมเออร์ทีนซ์ ที่แม่น้ำลองกานุส
พระองค์ทรงนั่งอยู่หัวโต๊ะ มีแผนที่ภูมิศาสตร์ของเกาะซิซิลีและอาณาเขตโดยรอบกางอยู่ นายทหารระดับแม่ทัพและขุนพลทหารหน่วยต่างๆ เหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นั่งรายล้อม
“มีรายงานความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ล่าสุดใช่ไหม ท่านอัลบุสว่าไป” พระสุรเสียงทรงอำนาจของกษัตริย์ผู้ครองนครตรัสถาม
อัลบุสขยับตัวก่อนเริ่มกล่าวรายงาน “ขอเดชะ ม้าเร็วส่งข่าวว่า โรมตีคาร์เธจแตกพ่ายออกไปจากเมืองเมสซานา และได้เข้ากวาดล้างพวกแมมเออร์ทีนซ์จนราบคาบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กษัตริย์เฮียโรที่สองมีพระพักตร์เคร่งเครียด “กองทัพไซราคุสซันของเราล่ะ”
อัลบุสถึงกับกลืนน้ำลายฝืดคอ “กองกำลังของเราถูกตีพ่าย ถอยร่นลงมาทางตอนใต้พ่ะย่ะค่ะ”
พระเนตรวาวโรจน์อย่างไม่สบพระทัย
“ทำไมกองกำลังของเราผนึกกับกองกำลังคาร์เธจ ยังต้านทานมันมิได้อย่างนั้นหรือ ข้าไม่เข้าใจ!”
ห้องทั้งห้องเงียบสนิท เมื่อพระสุรเสียงดังขึ้นอย่างกริ้วนัก ที่สุดทรงประกาศกร้าว
“ส่งกองกำลังของเราไปสมทบกับกองกำลังเดิม สั่งให้ต้านทานโรมให้ได้มากที่สุด ข้าอยากรู้นักว่า ทหารหาญของเราผู้คุ้นเคยกับภูมิประเทศแห่งเกาะซิซิลีเป็นอย่างดี จะสู้กองกำลังโรมที่ถนัดการสู้รบในพื้นที่ราบได้หรือไม่!”
อัลบุสขยับตัวอย่างอึดอัด “หามิได้พระเจ้าค่ะ แต่กำลังของเรามิได้รับการฝึกหนักหน่วงและมีวินัยที่เคร่งครัดอย่างกองทัพโรม ข้าเกรงว่าเราจะสูญเสียกำลังพลมากกว่าที่จะได้รับชัยชนะ”
พระองค์ผินพระพักตร์มายังอัลบุส “เราจะได้รู้ประสิทธิภาพของกองทัพ และกำลังพลของเราก็ครานี้ล่ะ”
อัลบุสสบพระเนตรกษัตริย์เฮียโรอย่างภักดี “ถ้าเช่นนั้น ข้าจักคุมทัพไปด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี!!” กษัตริย์แห่งไซราคิวส์ตรัสอย่างพอพระทัย
----------
เช้าวันหนึ่ง ระรันตาต้องแปลกใจที่ทหารเอกแห่งกองทัพโรมมายืนรอพบอยู่หน้ากระโจม เขาพานางมายังคอกม้าหลังค่าย เพื่อเตรียมม้าและออกเดินทาง นางขี่เจ้าแอทิส ขณะที่เขาขี่เจ้าบารามม้าประจำตัวเช่นเดิม เหยาะย่างกันมาได้พักใหญ่เขาก็เอ่ย
“ข้าคงไม่ต้องบอกเจ้ากระมัง ว่ากำลังจะพาเจ้าไปที่ใด”
ระรันตาใจเต้นแรงตั้งแต่เห็นทางที่เขาพามาแล้ว น้ำตายิ่งรื้นเมื่อคิดถึงที่ที่กำลังจะไป นางผินมองเขาที่บังคับบารามอย่างชะลอฝีเท้าให้เคียงคู่กัน
“ข้ารู้ ขอบคุณท่านมากเหลือเกิน”
“เจ้าอยู่ที่หมู่บ้านนี้มาตลอดหรือ” เชลาลุสถาม
“เจ้าค่ะ ข้าเกิดและเติบโตที่นี่” ระรันตาตอบ เผลอมองร่างกำยำบนหลังม้าสีขาวตัวงาม
“แต่...มารดาข้าจากไป ตั้งแต่ข้ายังจำความไม่ได้” แม้นานแค่ไหนแต่เมื่อเอ่ยถึงก็นำพาความเศร้ากลับคืนมาเสมอ นางเหม่อมองท้องทะเลกว้างขณะม้าทั้งสองกำลังขี่เลียบชายหาด
“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเอ่ยถึง” แปลกนัก เพียงน้ำเสียงอ่อนโยนของเขาก็ให้ความรู้สึกปลอบประโลมใจ
“มิเป็นอันใดดอกท่าน เรื่องมันเนิ่นนานมาแล้ว ท่านพ่อเลี้ยงข้ามาโดยลำพังตั้งแต่นั้น”
“เจ้าคงใกล้ชิดกับบิดาเจ้ามากสินะ” เขาถาม
ระรันตาพยักหน้า “ข้าขี่ม้าเป็นก็เพราะท่านพ่อคะยั้นคะยอฝึกฝนให้ ท่านให้เหตุผลว่าวันหนึ่งข้างหน้าข้าอาจมีความจำเป็นต้องใช้”
เชลาลุสยิ้ม “บิดาเจ้าช่างมองการณ์ไกลนัก”
ระรันตาทอดสายตาไปยังเวิ้งทะเลสีครามอีกครั้ง “ชั่วชีวิตข้า เติบโตมาก็เห็นแต่ท่านพ่อ ที่คอยทำหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านอย่างขยันขันแข็งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”
“บิดาเจ้าน่าจะเป็นบุคคลที่เข้มแข็งและเป็นผู้นำที่ดี”
คำพูดนั้นทำนางยิ้มได้ นึกถึงท่านพ่อผู้มีแต่คนรัก ท่านช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกบ้านได้ทุกคน ไม่ว่าปัญหาใดจะกล้ำกรายเข้ามา ท่านจัดการได้ทั้งหมด
“ท่านกล่าวได้ถูกต้องทีเดียว บิดาข้ามิเคยย่อท้อต่ออุปสรรคใด เมื่อครั้งที่เรารู้ว่าพวกกบฎแห่งซิซิลีเริ่มบุกเมืองเมสซานา ท่านพ่อก็ประชุมกับลูกบ้านเพื่อเตรียมที่จะรับมืออยู่ตลอดเวลา”
ระรันตานิ่งไปเมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เพราะปัญหาสุดท้ายนี้ที่มันใหญ่หลวงเกินไป จนท่านต้องแลกกับ...ชีวิต น้ำตาเอ่อขึ้นอีกครั้งจนมิอาจเอ่ยสิ่งใดได้อีกต่อไป
เชลาลุสบังคับเจ้าบารามเข้าใกล้เจ้าแอทิส
“แต่เมื่อวันนั้นมาถึง พวกเราก็ไม่สามารถ...สู้ได้...จริงๆ” เสียงนางสั่นเครือปนสะอื้น
เขาสั่งบารามขึ้นขวางเจ้าแอทิส ม้าทั้งสองหยุดลง ใบหน้าคมเข้มมองมาด้วยแววตาอ่อนโยน “บิดาเจ้าทำดีที่สุดแล้ว”
ระรันตาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ แต่แล้วความรู้สึกภายในก็มิอาจปิดกั้น
“ข้า...ข้า...ไม่เหลือใครอีกแล้ว” นางก้มหน้าสะอื้นฮัก
เชลาลุสดึงสายบังเหียน ม้าประจำตัวรู้ใจขยับยืนเคียงข้างม้าของนาง จนเขาสามารถเอื้อมมือแตะแก้มแล้วโอบนาง เพื่อส่งผ่านกำลังใจและความอบอุ่นทั้งหมดที่มีให้
“ระรันตา เจ้าอย่าได้ห่วง อย่าได้มีความกังวลใดๆ อีกเลย”
เขาประคองใบหน้านางขึ้น “ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้ ว่าเจ้ามีข้าที่จะอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆ เจ้าตลอดไปนับแต่บัดนี้”
ระรันตานิ่งงัน นี่คือโชคชะตาหรืออย่างไร ที่นำพาเขาคนนี้มาในวันนั้น และยังนำพาหัวใจของเขาให้เข้ามาในหัวใจของนาง นางมิเคยหวั่นไหวกับชายใด ไม่เคยใจเต้นแรง แก้มผะผ่าว ประหม่า หากกับบุรุษผู้นี้...นางไหวหวั่นเหลือเกิน หรือนี่จะคือ...
----------
ร่องรอยของไฟที่ไหม้ลามเลียไปทั่วพื้นที่เหมือนปูพรม ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเถ้าถ่านกองใหญ่กระจายทั่ว แทบไม่เหลือซากของความเป็นหมู่บ้านหลงเหลืออยู่เลย
แม้วันเวลาจะผ่านไปนานหลายเดือน หากกลิ่นควันไฟยังคงอยู่ มันย้ำเตือนให้ระรันตาระลึกถึงไออันร้อนระอุในวันอันแสนเลวร้ายนั้นไม่คลาย ด้วยบ้านที่สร้างจากไม้ กองฟาง รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้หลายอย่างคือเชื้อไฟชั้นดี และ...ทุกอย่างก็มอดไหม้ลงอย่างไม่เหลืออะไรไว้ให้เห็นอีกเลย แม้แต่จุดสุดท้ายที่บิดานางหมดลม ก็ไม่สามารถบอกตำแหน่งแห่งที่ใดๆ ได้
ทั้งสองลงจากหลังม้าหยุดยืนมองซากหมู่บ้านอยู่นาน ระรันตาน้ำตาเอ่อท้น นางปล่อยให้มันไหลรินเปรอะเปื้อนใบหน้า ทรุดลงนั่งกับพื้นสะอื้น เชลาลุสรีบเข้าประคองดึงตัวนางไปกอดแล้วกดศีรษะทุยสวยไว้แนบอก
“ร้องวันนี้แล้วก็อย่าได้มีน้ำตาอีกเลยนะเจ้า ข้าสัญญา จะอยู่เป็นที่พักพิงให้กับเจ้า ตลอดทุกเมื่อที่เจ้าต้องการ”
เขาจุมพิตลงบนหน้าผากมน มือที่จับแต่คมหอกคมดาบกำลังปาดน้ำตาให้นางอย่างอ่อนโยน แววตาคมคายของทหารหนุ่มฉายความรู้สึกจากภายในอย่างไม่ปิดบัง
จนนางคลายสะอื้นและพอทำใจได้เขาจึงจับจูงพาเดินช้าๆ เคียงคู่กันเข้าไปในหมู่บ้าน ผ่านเศษซากที่ถูกพระเพลิงแผดเผาทิ้งไว้แต่เถ้าถ่านและความเสียหายอย่างสุดประมาณ กลิ่นแห่งความมอดไหม้ยังคงฝังอยู่รอบบริเวณดุจวิญญาณร้ายสิงสู่ไม่ยอมจากไปไหน
“ไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ” ระรันตาเปรย น้ำเสียงยังเครือไม่จาง
เขากระชับมือส่งผ่านกำลังใจให้นางได้รับรู้ หญิงสาวผินมองคนข้างกาย ดวงตาอันดุดันแต่อ่อนโยนเสมอเมื่อสบตากัน วันนี้ใบหน้าสง่างามของเขาทำให้ความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวที่คอยเกาะกินในหัวใจนางจางลง ดั่งถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่นจากบุรุษผู้นี้...ทหารเอกแห่งโรม
“เย็นมากแล้ว ข้าว่าเรากลับกันเถิด คืนนี้มีงานสำคัญจักไปไม่ทัน” เชลาลุสเตือน
เมื่อจวนถึงม้าทั้งสองที่ยืนรออยู่ ระรันตาก็ย่อตัวลงนั่งยองกับพื้น คลี่ผ้าเช็ดหน้าผืนสี่เหลี่ยมออก กอบดินจากพื้นขึ้นมาหนึ่งกำมือ วางไปบนผ้าผืนเล็กนั้น ผูกมุมผ้าทั้งสี่เข้าหากัน นางกำมันแน่นในมือแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ท่านพ่อ ข้าจักเก็บดินจากบ้านเกิดของข้านี้ไว้ เพื่อรำลึกถึงท่าน ไม่ว่าภายภาคหน้าข้าจะต้องไปอยู่แห่งหนใด ก็เสมือนท่านอยู่กับข้าตลอดเวลา”
น้ำตานางรื้นขึ้นอีกครั้ง ระรันตาหายใจเข้าลึก เก็บห่อผ้านั้นแล้วเดินไปขึ้นหลังเจ้าแอทิสอย่างรวดเร็ว
“ข้าพร้อมแล้ว ท่านกรุณานำทางกลับค่ายด้วยเถิด”
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **