คอกม้าใหญ่หลังค่าย เชลาลุสสั่งพลทหารที่ดูแลคอกเตรียมเจ้าบาราม ส่วนตัวเขาเข้าไปเลือกม้าให้กับระรันตา ครู่ใหญ่เขาจึงจูงม้าขนาดกลางสีน้ำตาลอ่อนตัวหนึ่งออกมา
“ตัวนี้ชื่อแอทิส ค่อนข้างเชื่อง ฝีเท้าดี วิ่งเรียบ เจ้าลองทำความคุ้นเคยกับมันก่อนไหม”
หญิงสาวเดินช้าๆ เข้าไปหาม้าตัวนั้น ค่อยๆ ลูบไปบริเวณหลัง เพื่อบอกให้มันรู้ว่านางไม่มีอันตรายใดๆ เมื่อเห็นว่าม้าไม่มีอาการตื่นกลัว นางจึงเอาลำตัวพาดหลังมันเบาๆ แล้วค่อยๆ ถ่ายน้ำหนักลงไปสองสามครั้ง เจ้าแอทิสนิ่ง ไม่มีท่าทีปฏิเสธ ระรันตาจึงค่อยพลิกตัว เอาขาคร่อมไปสู่ท่านั่งขี่อย่างสวยงาม เห็นสายตาของเชลาลุสมองมาอย่างชื่นชม
เขานำทางให้นางขี่ตาม ม้าทั้งสองวิ่งเหยาะไปรอบกำแพงค่าย ผ่านทหารโรมันที่ทำการฝึกเดินแถวอยู่ แล้วเชลาลุสก็บังคับบารามให้เหยาะเคียงข้างนาง
“กิจวัตรของทหารเหล่านี้ จะเริ่มออกกำลังตอนเช้าด้วยการเดินแถว เราจะให้พวกแนวหน้าเดินรอบกำแพง ประมาณยี่สิบกิโลเมตรต่อวัน”
หญิงสาวมองตามแนวแถวทหารที่ดูเป็นระเบียบยิ่ง นึกชื่นชมในวินัยของชาวโรมันจริงๆ
“ข้าเห็นเหล่าทหารต้องเก็บที่หลับนอนของตัวเองในตอนเช้า และมาปลูกใหม่อีกทีในตอนเย็นเพื่ออะไรท่าน”
เชลาลุสอมยิ้ม มองกลุ่มทหารหนุ่มที่ทำการฝึกอยู่
“เรามีกฎว่า ห้ามทิ้งสิ่งของให้ศัตรู ดังนั้นเวลาออกรบจริง เมื่อมีการย้ายภูมิลำเนาก็ต้องเก็บที่นอน ของส่วนตัวในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อได้ทำเลเหมาะสม ก็ต้องสามารถตั้งค่าย กางเต็นท์ที่หลับนอนได้อย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน เราจึงฝึกให้พวกเขาทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทุกวัน เพื่อให้เกิดความเคยชิน พอถึงสถานการณ์จริงจะทำได้อย่างคล่องแคล่ว”
เชลาลุสบังคับม้าเยื้องไปเบื้องหน้าพลางพูดต่อ
“ชีวิตของทหารโรมันสมบุกสมบันนัก ในฤดูร้อนพวกเขาก็ต้องทำการก่อสร้างค่าย ฤดูหนาวก็ต้องเผชิญกับความอดอยากและความเหน็บหนาวอันแสนทรมาน ฉะนั้นกองทัพที่ถูกฝึกฝนอย่างดีเท่านั้น ที่จะสามารถรับสภาวการณ์เหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
“ข้าเชื่อแล้วว่า กองทัพโรมันมีประสิทธิภาพเป็นเลิศที่สุดในเพลานี้” นางเอ่ย
ม้าทั้งสองเยื้องย่างมาจนถึงอีกด้านหนึ่งของค่าย บริเวณที่ยังมีการสร้างกำแพงเสริมเพื่อความแข็งแรง ระรันตาสังเกตทหารแต่งชุดเกราะพร้อมออกศึก มากไปกว่านั้นยังแบกอาวุธหนักข้างกายตลอดเวลาทั้งๆ ที่กำลังต่อเติมรั้วกำแพงของค่ายตนเองแท้ๆ
“พวกเขาต้องใส่ชุดพร้อมรบอยู่ตลอดเวลา อย่างนั้นหรือท่าน” นางอดถามไม่ได้
เชลาลุสมองผู้ที่กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น “ถูกต้องแล้ว เราฝึกพวกเขาให้เตรียมพร้อมเสมอ พวกเขาจะต้องรบได้ทันทีที่มีคำสั่ง” เขาว่า แล้วผินมองนาง
“ระรันตา ในยามศึกสงครามเราไม่สามารถคาดเดาได้ดอกนะว่าศัตรูจะมาเมื่อใด ดังนั้นเราต้องพร้อมรบตลอดเวลาในทุกสถานการณ์”
หญิงสาวสบดวงตาคมนั้น แล้วมองเหล่าทหารอีกครั้งอย่างครุ่นคิด “ข้าคิดว่าเสื้อเกราะน่าจะหนักนัก”
เชลาลุสพยักหน้า “เฉพาะเสื้อเกราะเองหนักประมาณเจ็ดถึงแปดกิโลกรัม”
หญิงสาวตาโตเมื่อได้ยินค่าน้ำหนักและยังเห็นใจเมื่อได้ยินต่อว่า
“ช่วงพักพวกเขาก็ต้องใส่ชุดแบบนี้จะถอดไม่ได้ เราจะมีทหารระดับเซนทูริโอ (centurio) หรือผู้นำกองร้อย คอยตรวจตราว่าชุดที่ใส่พร้อมรบและถูกต้องตามกฎระเบียบหรือไม่”
หญิงสาวถึงกับถอนใจ “ช่างเป็นการฝึกที่ทรหดจริงๆ”
เชลาลุสเหยาะม้าเดินต่อ ระรันตาบังคับแอทิสให้เดินตามไปช้าๆ
“ที่นี่เราเน้นเรื่องระเบียบวินัยยิ่ง เพราะเราปกครองคนหมู่มาก เจ้าคะเนได้ไหมว่า ในค่ายนี้มีจำนวนทหารเท่าไร”
ระรันตาเอียงศีรษะ แล้วส่ายหน้า “ข้าไม่แน่ใจ น่าจะหลักพัน ข้ารู้สึกว่ามีผู้คนมากมายเหลือเกินในค่ายแห่งนี้”
ทหารหนุ่มยิ้ม “มากกว่านั้นโขนัก กองทัพโรมันเราแบ่งเป็นลีเจียนก็คือกองพล กองทัพหนึ่งมีประมาณสามสิบลีเจียน แต่ละลีเจียนมีกำลังพลสี่พันถึงหกพันนาย”
นางถึงกับเผยอปาก “ข้าไม่คิดว่าจะมีคนจำนวนมากมายขนาดนั้น”
เขากระตุกบังเหียนให้บารามเดินต่อ “ครั้งนี้เรายกทัพมาเพียงสองลีเจียนเท่านั้น เพราะบนเกาะซิซิลีไม่มีพื้นที่ราบมากพอ เป็นปัญหากับการจัดตั้งค่าย”
“ถึงจะแค่นั้นก็จำนวนคนมากนัก ท่านแบ่งการปกครองกันอย่างไรจึงทำได้ทั่วถึง”
เชลาลุสอ้อมม้ามาด้านหน้าทำให้นางต้องหยุดไปด้วย
“การศึกครั้งนี้ นำทัพโดยท่านคลอดิอุส ท่านค่อนข้างเฉียบขาด ส่วนในการดูแล เราแบ่งเป็นกองกำลังย่อยๆ ถ้าเจ้าอยากฟังจริงๆ เราไปหาที่ร่มๆ คุยกันดีกว่า”
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **