ทดลองอ่าน Sicily...ที่นี้มีรัก : ตอนที่ 5

 

 

ตอนที่ 5

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น นานันพาระรันตาเข้าไปช่วยงานในเรือนโภชนาอีกครั้ง

“เจ้าไม่ต้องสนใจใคร ท่านเชลาลุสได้พูดไว้ให้แก่เจ้าอยู่แล้ว” นานันหันมากระซิบขณะเดินเข้าไปด้วยกัน

ทว่าสรรพเสียงแห่งการปรุงอาหารกลับหยุดลงโดยพลันที่นางกับนานันปรากฏตัว หญิงสาวเดินตามนานันไปช้าๆ แม้รับรู้ว่ามีสายตาหลายคู่มองมา เมื่อเหลียวไปก็พบดวงตาของแม่บ้านดูจะให้ความยำเกรงขึ้นบ้าง แววอย่างมิตรมีมากขึ้นกว่าวันวาน จะเว้นก็เพียงชาบีที่ยังคงมองด้วยสายตาเกลียดชัง ระรันตาพยายามเพิกเฉยอย่างที่นานันบอก แต่กลับรู้สึกอึดอัดตลอดครึ่งเช้ากับกิริยามาดร้ายของชาบี จวบจนบ่ายจึงค่อยดีขึ้นเมื่อนานันชวนไปอบขนมปัง

โรงอบตั้งอยู่ด้านหลังนอกเรือนโภชนา นางกับนานันมีหน้าที่จัดการดูแลขนมปังทั้งหมด ระรันตาชอบอยู่บริเวณนี้เพราะให้ความรู้สึกเป็นที่ส่วนตัว ไม่ต้องทนกับสายตาและท่าทีของใครต่อใครในโรงครัว

เตาอบขนมปังเล็กๆ หลายเตาตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แต่ละเตาสร้างจากดินเหนียวมีลักษณะเป็นครึ่งวงกลม ข้างในคือโพรงกว้างสำหรับวางขนมปัง มีประตูขนาดเล็กด้านหน้า กรุ่นกลิ่นหอมของแป้งอบใหม่อบอวลไปทั่ว ช่างยั่วน้ำลายนัก 

“หอมจังเลยนานัน” ระรันตาอดเปรยไม่ได้

นานันยิ้ม “ประเดี๋ยวลองชิมดูสิ”

นานันปันขนมปังก้อนกลมเล็กที่เพิ่งออกจากเตาแบ่งให้ระรันตาชิมขนมปังอุ่นๆ ในมือด้านบนสีน้ำตาลไหม้ แห้งกรอบจนเนื้อปริออก เมื่อบิจึงเห็นเนื้อในขาวฟูเนียนสวย ยิ่งสัมผัสรสชาติขณะเคี้ยวในปากทั้งเหนียวนุ่มและหอมอร่อย ระรันตาติดใจจนคิดว่าไม่เคยลิ้มรสขนมปังอร่อยเท่านี้มาก่อนเลย

“ชอบล่ะสิ” นานันยิ้มขณะเคี้ยวขนมปังตุ้ยๆ ไปด้วย

ระรันตากลืนก้อนขนมปังอร่อยนุ่มลิ้นด้วยสีหน้าเบิกบาน “อร่อยมากทีเดียวนานัน ข้าอยากรู้วิธีทำจริงๆ”

นานันยิ้มกว้างกว่าเดิม “เจ้าได้รู้แน่ เพราะข้าจะให้เจ้าช่วยอบขนมปังด้วย”

นานันแนะนำชายฉกรรจ์ที่ยืนหน้าเตาอบสองสามคนว่าคือผู้คุมเตา พวกเขาต้องทนร้อนคอยเปิดเตาตรวจแป้งว่าสุกหรือยัง บางครั้งต้องต่อเวลาไม่ก็ลดเวลาเพื่อให้แป้งได้ที่จริงๆ แต่ละคนทำงานกันตัวเป็นเกลียว หยาดเหงื่อเป็นสายบนอกและหลังอันเปลือยเปล่า ยามพวกเขาเปิดประตูเตาเห็นถ่านแดงปะทุให้แสงวาบๆ ไอร้อนจนปรากฏคลื่นใสกลางอากาศ พวกเขายังต้องแข็งแรงมากเพราะใช้เหล็กท่อนช่วยในการลำเลียงขนมปังร้อนๆ ออกจากเตาและนำแป้งชุดใหม่เข้าอบสลับกันไปทั้งวัน 

“วันหนึ่งๆ คงอบกันหลายรอบเลยซินะนานัน” นางถาม 

“ขนมปังเป็นอาหารหลักของกองทัพ เราต้องอบกันเป็นจำนวนมาก แทบจะทำกันทั้งวันทั้งคืนจนเตาร้อนตลอดเวลา” นานันตอบ

หลังจากที่เดินดูรอบโรงอบขนมปังแล้ว ทั้งสองก็กลับเข้ามาภายในเรือนโภชนา เมื่อเดินผ่านชาบี สายตาเคืองแค้นและไม่เป็นมิตรฉายชัด คล้ายมีรังสีอำมหิตแผ่มาจนระรันตาต้องเบือนหน้าหลบ

ถึงที่ประจำ ทั้งสองก็ลงนั่งบนชานตามเดิม หญิงสาวสังเกตตะกร้าใส่ผักหลากหลายชนิดวางเรียงรายอยู่หลายใบ ทุกวันจะมีพลทหารคอยนำวัตถุดิบมาให้โรงครัวสองรอบเช้ากับบ่าย อาหารถูกปรุงแทบจะตลอดเวลา พอๆ กับการอบขนมปัง เพราะเลี้ยงคนทั้งกองทัพ

“ข้าอยากให้เจ้าช่วยหั่นฝักข้าวโพดก่อนแล้วกันนะ” นานันเอ่ย

“ได้สิ ข้าทำได้ทุกอย่างบอกมาเถิด” หญิงสาวกระตือรือร้น

“ข้ายังรู้สึกว่า แม่นางที่ชื่อชาบีไม่ค่อยชอบหน้าข้า” ระรันตาพูดขณะมือหั่นฝักข้าวโพดไปพลาง

“อย่าไปสนใจมันเลย นังนี่ชอบอวดดี ทำตัวเป็นใหญ่ในโรงครัว เห็นใครมาใหม่เป็นไม่ได้ต้องวางท่า มันคิดว่ามันเป็นเด็กของท่านเชลาลุสน่ะ”

ระรันตาขมวดคิ้ว ทวนคำ “เด็กของท่านเชลาลุส?”

นานันยังคงก้มหน้าทำงานของตัวเอง ปากก็เล่าไป “พ่อของชาบีเป็นพลทหารในกองทัพมาก่อน แล้วตายในสนามรบ ตอนนั้นพ่อชาบีฝากฝังมันไว้กับท่านเชลาลุส แม่มันก็ไม่มี ท่านเลยรับให้ติดสอยห้อยตามมาอยู่ในค่ายนี้ด้วย มันก็เลยคิดว่ามันเป็นเด็กของท่าน”

เมื่อหั่นฝักข้าวโพดเสร็จนานันก็ตั้งน้ำในหม้อขนาดใหญ่ ต้มให้เดือดพลางใส่เกลือลงไปด้วย ระรันตาดูการทำอาหารของนานันอย่างสนใจ เพราะเมสซานาเมืองบ้านเกิดนั้นส่วนใหญ่รับอิทธิพลมาจากอิตาลี อาหารการกินจึงเป็นอาหารอิตาลี เมื่อมาอยู่ในค่ายแห่งโรมนางจึงสนใจอาหารของชาวโรมันนัก

“ที่นี่พวกทหารกินกันง่ายๆ มีขนมปังเป็นอาหารหลัก อย่างข้าวโพดต้มหรือหัวผักกาดต้มก็สลับกันไป” นานันเล่าขณะมือกวนข้าวโพดต้มด้วยไม้พายอันใหญ่ 

“อ้อ! ยังมีเนยแข็ง ขาดไม่ได้เหมือนกัน” 

“แล้วไม่รับประทานเนื้อกันเลยหรือ” ระรันตาถาม หันไปหยิบชามกระเบื้องใบใหญ่มารอรับข้าวโพดที่ต้มเสร็จแล้วจนเม็ดข้าวโพดออกสีเหลืองจัดน่ารับประทาน   

“เนื้อก็มี แต่เป็นบางวัน ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหรือหมูรมควันไม่ก็ย่างน่ะ” นานันใช้ที่คีบทำจากไม้ คีบฝักข้าวโพดใส่จานที่หญิงสาวเตรียมให้

“ถ้าอยู่ในโรมก็นิยมกินเนื้อแกะรมควัน” นานันหันมายิ้ม

ระรันตายิ้มรับแล้วเล่าบ้าง “อาหารคล้ายๆ กับอิตาลี แต่ของเราจะเน้นพาสตามากกว่า”

“นั่นสิ ข้าเคยได้ยินมาเหมือนกัน วันหน้าเจ้าทำพาสตาให้ข้าชิมบ้างนะ” นานันเย้า

หญิงสาวรับคำอย่างยินดี แล้วทั้งสองก็ช่วยกันใส่ฝักข้าวโพดดิบชุดใหม่ลงในหม้อ

“นี่ถ้าวันใดมีงานเลี้ยงฉลองชัย เจ้าจะได้เห็นรายการอาหารโรมันอีกหลากหลายเลยทีเดียว” นานันขยิบตาให้

“ฉลองชัย? พวกเขาจะรบกันแล้วหรือถึงจะฉลอง” นางตื่นเต้นแค่ฟังเพียงนี้

นานันหยุดคิดก่อนจะเปรย “ข้าได้ยินมาว่าอย่างนั้นนะ” 

----------

เย็นวันนั้น นานันกับระรันตารับหน้าที่นำอาหารไปส่งยังกระโจมแม่ทัพ หญิงสาวสังเกตว่า หน้ากระโจมมีทหารยามยืนเฝ้าหลายนายอย่างเข้มงวด 

เมื่อได้รับอนุญาต นานันเดินนำเข้าไปก่อน ระรันตาได้เห็นกระโจมภายในกว้างขวางกว่าที่คะเนไว้ โต๊ะขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง ทหารกว่าสิบนายนั่งรายล้อม ผู้ที่อยู่กึ่งกลางโต๊ะสวมเครื่องหนังดูมีสง่าราศีมากที่สุด นางมั่นใจว่าต้องเป็นท่านแม่ทัพแห่งกองทัพโรมเป็นแน่ ส่วนทหารด้านขวามือของท่านนั้น ระรันตาจำได้ทันที เขาคือทหารเอกคนสนิทผู้ที่ช่วยชีวิตนาง และยังช่วยนางจากเหตุการณ์เมื่อวันวานด้วย...ท่านเชลาลุส ทหารทุกนายมีสีหน้าคร่ำเคร่ง ท่าทางจริงจังจนบรรยากาศเครียดขึง คำพูดที่ยังคุยค้างขณะนางกับนานันเดินเข้าไปทำให้พอเดาได้ว่าเป็นการปรึกษาหารือวางแผนจัดวางกำลังรบ แต่แล้วท่านแม่ทัพก็เอ่ย

“พักกินมื้อเย็นก่อน แล้วค่อยคุยกันอีกที”

หญิงสาวเกร็งนักเมื่อรู้สึกได้ว่าตกเป็นเป้าสายตาของทุกๆ คน นางจัดวางสำรับบนโต๊ะตามตำแหน่งที่นานันชี้บอก อาหารคาวหลายสำรับ ขนมปังถาดใหญ่ เนยแข็งหลายชิ้นในชามกลม หมูย่างตัวใหญ่ยัดไส้เครื่องเทศถูกวางตรงหน้าท่านผู้นำ ขวดไวน์แช่น้ำแข็งในภาชนะกลมตั้งข้างโต๊ะ พลทหารรับหน้าที่เปิดไวน์แล้วรินใส่แก้วให้กับเหล่าขุนพล

ขณะที่ระรันตากำลังจะเข็นรถใส่อาหารออกจากกระโจม แม่ทัพคลอดิอุสก็เอ่ยขึ้น

“เดี๋ยวก่อนแม่นาง เจ้าเป็นใคร ข้าไม่คุ้นหน้าเจ้าเลย”

นานันได้ยินเข้ารีบหันมาตอบแทน “นางชื่อระรันตา เป็นชาวเมืองเมสซานาที่ถูกรุกรานจากพวกแมมเออร์ทีนซ์เจ้าค่ะ”

“อ้อ” แม่ทัพอุทานพลางเหลียวไปยังผู้ที่นั่งข้างๆ

“คนที่เจ้าช่วยมาใช่ไหม เชลาลุส”

ทหารหนุ่มมองนางนิ่ง “ขอรับ”

“ข้าเสียใจกับหมู่บ้านและครอบครัวของเจ้าด้วย ตอนนี้พักอยู่ในค่ายเราไปก่อนน่าจะปลอดภัยที่สุด”

ท่านแม่ทัพมีบุคลิกองอาจ หากน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาที่เต็มไปด้วยแววมุ่งมั่นแฝงความอาทรยามมองมาทำระรันตาตื้นตันรีบก้มศีรษะลง

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” 

หญิงสาวมิได้รู้ว่าเมื่อพ้นออกไป ท่านแม่ทัพก็เปรยขึ้น “ข้าเพิ่งรู้ว่า หญิงชาวเมสซานานี่งามทีเดียว เจ้าว่าไหมเชลาลุส”

ทหารเอกได้แต่มองสำรับอาหารที่ใครบางคนเพิ่งจัดวาง มิกล้าเอ่ยคำใดจนท่านถามซ้ำ

“ว่าไหม”

“ข้า...มิได้สนใจนักขอรับ” เขาตอบ

แม่ทัพคลอดิอุสยิ้มกริ่ม “อะไรกันเชลาลุส นี่เจ้าเป็นผู้ช่วยชีวิตนางมา เจ้าไม่รู้สึกถึงความงามดั่งอัญมณีน้ำเอกของแม่นางผู้นี้เลยหรือ”

เชลาลุสหัวใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างประหลาด แม้อยู่กลางศึกยังมิเคยใจสั่นเยี่ยงนี้

“...” เขาอ้ำอึ้งตอบไม่ถูกเลยทีเดียว

ท่านแม่ทัพจิบไวน์อย่างได้อรรถรส อมยิ้มก่อนจะเอ่ย

“ข้าว่า นางเป็นหนึ่งในหญิงที่งามจัดทีเดียว”

ประโยคนั้นทำเชลาลุสขมวดคิ้วมุ่น อิ่มขึ้นมาทันทีแม้อาหารตรงหน้าจะโอชาเลิศรสเพียงใด

 

 

** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com