วันรุ่งขึ้น ระรันตาตื่นแต่เช้าตรู่ กลิ่นควันเตาถ่านและขนมปังอบใหม่หอมกรุ่น ต้นทางคงเป็นโรงครัวซึ่งอยู่ไม่ห่าง กลิ่นอาหารดึงความหิวให้ออกมาทักทายกับน้ำย่อยในกระเพาะ เมื่อล้างหน้าล้างตาแล้วนางจึงเดินออกจากกระโจมพยาบาลพบหญิงร่างท้วมท่าทางใจดีรี่เข้ามาทักทาย
“อรุณสวัสดิ์แม่นาง ข้าชื่อนานัน”
รอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบทุกซี่ และรอยย่นบนใบหน้า ทำให้นางรู้สึกถึงความกันเองและจริงใจของผู้ที่เข้ามาทัก
“อรุณสวัสดิ์ท่านนานัน ข้าระรันตา” หญิงสาวแนะนำตัวเองกลับ
“โอ...ไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านดอก เรียกข้าแค่นานันเถิด ข้าอยู่ที่เรือนโภชนาใกล้ๆ นี่เอง” นานันมองนางอยู่ครู่ใหญ่ๆ เลยทีเดียว มองบนมองล่างมองหน้าและอ้อมไปด้านหลังก่อนจะกล่าว
“แม่นางช่างงามนัก ผิวพรรณละเอียดลออดีจริง”
ระรันตายิ้มรับเพียงนิด ไม่คิดว่าตนจะสวยตามคำเยินยอนั้น
“ท่านเชลาลุสบอกข้าว่า อาการบาดเจ็บของแม่นางดีแล้ว และท่านหมอดาปิโอรุสก็อนุญาตให้ออกมาได้แล้ว” หญิงที่ชื่อนานันพูดอย่างคล่องปาก
หญิงสาวขมวดคิ้ว “แล้ว...ข้าต้องไปอยู่ที่ใดหรือ”
หรือแท้จริงแล้วเมื่อวานเขาคนนั้นจะมาดูให้แน่ใจว่านางควรจะออกจากค่ายแห่งนี้ไปได้แล้ว ภายในค่ายของทัพใหญ่แห่งโรมคงไม่ต้อนรับคนนอก
นางรู้สึกเศร้าใจนัก มองไปข้างหน้าไม่เห็นทางใดๆ ในชีวิตตนเองเลย “ข้า...ข้าไม่มีที่ไป บ้านข้าถูกไฟไหม้ไปหมดแล้ว” นางเสียงสั่น น้ำตาคลอ
นานันก้าวมาโอบไหล่ “แม่นางก็ไม่ต้องไปอยู่ที่ใดนี่ ท่านเชลาลุสแค่อยากให้แม่นางมาอยู่กับข้า กระโจมข้าอยู่ข้างๆ เรือนโภชนานั่นแล ถ้าพร้อมแล้ว ข้าจักนำทางไปเอง”
กระโจมนานันเป็นกระโจมเล็กๆ ที่อยู่ได้พอดีสองคน เมื่อจัดการวางข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว นานันก็พาระรันตาไปที่เรือนโภชนาซึ่งเป็นโรงเรือนใหญ่มีหลังคาปิดมิดชิด ด้านในมีหญิงวัยกลางคนหลายคนกำลังทำอาหารกันอย่างขะมักเขม้นเพื่อเลี้ยงเหล่าทหารทั้งกองทัพ
หม้อแกงหม้อใหญ่หลายหม้อวางอยู่เหนือเตาไฟ ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งเรือน แม่บ้านทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ตนเอง บ้างล้างผักถาดใหญ่ บ้างนั่งหั่นผักและเนื้อบนเขียงอันโต ได้ยินเสียงผักสดๆ ถูกหั่นดังกรอบๆ เห็นความฉ่ำน้ำของก้านใบ บ้างก็ยืนคนแกงหม้อใหญ่เห็นควันฉุยและกลิ่นหอมอวลมา
ระรันตาเดินเรื่อยเข้าไปภายในเรือนโภชนาที่นางเรียกในใจเองว่าโรงครัวพร้อมกับนานัน แม่บ้านหลายคนมองมาอย่างสนใจใคร่รู้ จะว่าไปหน้าตาของนางแตกต่างจากคนโรมอยู่บ้างที่มักจะกระดูกค่อนข้างใหญ่ จมูกจึงดูป้าน โครงหน้าเห็นกรามและโหนกแก้มยกสูง ส่วนใบหน้าระรันตาเล็ก คางมนและเรียวกว่า หลายๆ คนส่งยิ้มทัก แต่บางคนก็ปั้นหน้าบึ้งตึงโดยเฉพาะหญิงสาววัยสะพรั่งนางหนึ่งที่หน้าตาไม่ต้อนรับเอาซะเลย ระรันตาพยายามไม่ใส่ใจกับสายตาไม่เป็นมิตรคู่นั้น
นานันพาหญิงสาวเดินมาจนถึงด้านในสุดของเรือน มีชานไม้ยกสูงคล้ายตั่งขนาดใหญ่ อุปกรณ์ทำครัวหลายอย่างทั้งชามจานกระเบื้อง กระชอนตะกร้าที่มีผักสดวางพร้อมพูน หม้อไห กระทะเหล็กที่มีหูจับสองข้างและขาสามขาเพื่อวางเหนือเตาถ่าน
“ที่ของเราจะประจำอยู่ตรงนี้นะ” นานันขึ้นไปนั่งบนชาน เขยิบไปมุมหนึ่งแล้วบอก “ส่วนใหญ่ข้าก็จะนั่งทำครัวอยู่ในนี้เกือบตลอดวัน ขึ้นมานั่งกับข้าสิ”
เมื่อระรันตานั่งลง นานันก็เริ่มหยิบจับผักใบเขียวกำใหญ่จัดเรียงใส่ชามกลมใบเขื่อง
“ให้ข้าช่วยนะ” นางบอกอย่างมีไมตรี
นานันยิ้ม “ตามสบายเถิดแม่นาง ข้าตั้งใจจะเด็ดผักก่อน”
ระรันตาเขยิบเข้าไปให้ใกล้นานันอย่างกระตือรือร้น ทว่าพอกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบผักเท่านั้น แม่บ้านสามสี่คนนำโดยแม่บ้านวัยสาวผู้มีสีหน้าไม่ต้อนรับแต่แรกก็ก้าวมายืนเชิดอยู่ตรงหน้า ตวาดเสียงดัง
“หยุดนะ! อย่าแตะอะไรเป็นเด็ดขาด!”
ระรันตามองกลุ่มแม่บ้านเหล่านั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่นานันพยายามประนีประนอม
“ไม่เอาน่า ชาบี”
แม่บ้านสาวแขวะทันที “นานัน! เจ้าจะให้เชลยอย่างนาง มาแตะต้องอาหารของพวกเราหรือ เกิดมันใส่ยาพิษให้ท่านแม่ทัพขึ้นมาจะว่ากระไร”
นานันถึงกับเงียบไป ระรันตาลุกขึ้นยืนเพื่อต้องการเดินออกไป นางไม่คิดปะทะคารมหรือปะทะกำลังกับใคร และถ้าไม่เป็นที่ต้องการรังเกียจเดียดฉันท์ขนาดนี้ก็ไม่อยากจะอยู่ตรงนี้ด้วย แต่ชาบีกลับเดินอาดเข้ามาขวางมองด้วยสายตาหยามเหยียด
“หยุดก่อน จะไปไหน!”
ระรันตาเชิดหน้าขึ้น “อ้าว ก็ไม่ให้ข้ายุ่ง ข้าก็กำลังจะไปอย่างไรล่ะ”
พอนางจะก้าวไปข้างหน้า ชาบีก็เข้ามาขวางอีก คราวนี้ไม่ขวางเปล่าผลักไหล่นางแรงอย่างที่ระรันตาไม่ทันตั้งตัวจนล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น แต่นางก็รีบลุกยืนไม่อยากตกเป็นเบี้ยล่าง
“คิดจะออกไปง่ายๆ หรือ” ชาบีขึงตาย่างสามขุมเข้ามา
นานันรีบขวางด้วยท่าทีลนลาน “อย่านะชาบี ท่านเชลาลุสเป็นคนให้นางเข้ามาช่วยงานในครัว”
ชาบีชะงักงันสีหน้าเปลี่ยนไป แต่เพียงชั่วครู่นางก็หัวเราะด้วยสำเนียงเสแสร้งอย่างที่สุด “เป็นไปไม่ได้ ท่านเชลาลุสไม่เคยสนใจเชลยหน้าไหน!”
ชาบีหันไปสั่งกลุ่มแม่บ้านพวกเดียวกันที่ยืนอย่างเตรียมพร้อมรับคำสั่ง
“พวกเราค้นตัว!”
พวกแม่บ้านเดินอาดเข้ามาประชิดตัว นางถอยกรูดแล้วร้องขู่ “อย่าเข้ามานะ!”
หนึ่งในแม่บ้านหญิงร่างอวบก้าวถึงตัวนางพลางคว้าจับแขน ระรันตาสะบัดออกและผลักเต็มแรงจนแม่บ้านคนนั้นเซไป
ชาบีตะโกน “ทหาร! จับนางเชลยที”
ทหารยามสองนายเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วตรึงตัวระรันตาไว้แน่นจนนางมิอาจขยับเขยื้อนได้ นายหนึ่งจับแขนนางบิดไพล่หลังเจ็บจนนางต้องร้องเสียงหลง
“โอ๊ย!”
“หยุดเดี๋ยวนี้ ปล่อยนางซะ!” เสียงห้วนดังขึ้นกลางกลุ่มแม่บ้านที่ชุลมุนในเรือนโภชนา
ทหารยามปล่อยนางทันควันจนระรันตาแทบล้มเพราะตั้งตัวไม่ทัน มือแกร่งเอื้อมรับตัวนางไว้ประคองมิให้ล้มลง ระรันตาเงยหน้าสบตากับทหารนายนั้นที่ช่วยชีวิตนางไว้ หากเมื่อทรงตัวได้เขาก็ก้มมองข้อมือของนางเห็นรอยแดงปรากฏชัด แล้วเขาก็ปล่อยมือก้าวห่างออกไปอย่างว่องไว
ระรันตากุมข้อมือที่ยังเจ็บ มองใบหน้าของทหารหนุ่มที่ช่างบึ้งตึงจนน่ากลัว นางยังเห็นเขาขบกรามแน่นจนสันนูนขึ้นข้างใบหน้า
“พวกเจ้ามีหน้าที่ฟังคำสั่งจากข้ามิใช่หรือ หรือเดี๋ยวนี้ฟังคำสั่งจากนางก้นครัวด้วย!”
เขาตวาด ทหารสองนายก้มหน้านิ่งยังกับถูกสาปขณะที่ชาบีก้มหน้างุด
ใบหน้าบึ้งตึงหันมองนานัน เพื่อนใหม่ต่างวัยของนางหน้าซีดเผือด ตัวสั่นงันงกละล่ำละลักบอก “ข้าขอประทานโทษท่านเชลาลุส ข้าดูแลนางไม่ดี”
ทหารหนุ่มละสายตาจากนานันมองมาที่ระรันตาอีกครั้งก่อนประกาศก้อง
“ข้าขอบอกว่า นางผู้นี้มิใช่เชลยแห่งโรม นางคือผู้ที่รอดชีวิตจากหมู่บ้านท้ายเกาะ ที่ถูกรุกรานจากพวกแมมเออร์ทีนซ์ ข้าต้องการให้พวกเจ้าต้อนรับนาง ให้อยู่ในค่ายแห่งโรมอย่างเป็นมิตร เพราะนางไม่เหลือญาติพี่น้องใดๆ อีกแล้ว”
ระรันตารู้สึกอุ่นขึ้นในดวงตาทั้งสองข้าง มองนายทหารหนุ่มผู้นั้นด้วยความตื้นตัน เขารู้ เขาเข้าใจถึงในหัวใจของนางเลยทีเดียว ว่ามันเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเพียงไร
เชลาลุสสบตานางอยู่ห้วงเวลาหนึ่ง ก่อนตวัดสายตาอันทรงพลังยังทหารสองนายที่ลงนั่งคุกเข่าตรงหน้า
“ต่อไปนี้ อย่าให้ข้ารู้ว่าใครทำอะไรโดยพลการอีก มิเช่นนั้นจะต้องโทษสถานหนัก และข้าจะรายงานแก่ท่านแม่ทัพทันที”
เขาสั่งการเสร็จก็ผละจากไปอย่างรวดเร็ว ระรันตารีบวิ่งตามหลังไปมิสนใจใครอื่นที่ยืนนิ่งเป็นหินปั้นกันไปทุกผู้ทุกคน
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนท่าน!” นางเรียก
เชลาลุสหยุดเดินทันควันแล้วหันมา หากเป็นระรันตาที่หยุดไม่ทัน ชนเข้ากับแผงอกอันกำยำของเขาอย่างจัง ทหารหนุ่มจับแขนนางไว้ค่อยๆ ดันตัวออก ระรันตาถึงกับแก้มร้อน
“เจ้ามีอะไรกับข้าหรือ” เขาถาม น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนผิดกับเมื่อครู่หน้ามือเป็นหลังมือ
หญิงสาวต้องเงยหน้ามองเขาทีเดียวเมื่ออยู่ชิดใกล้ เพิ่งตระหนักว่าทหารหนุ่มแห่งโรมผู้นี้ร่างสูงสง่าและกำยำยิ่ง
“ข้า...เอ่อ...ข้าเพียงแค่...ต้องการเอ่ยคำขอบคุณแก่ท่าน” นางเอ่ยตะกุกตะกัก
เขาไม่พูดคำใด แต่ดวงตาทรงเสน่ห์ที่สบอยู่เนิ่นนานฉายแววยินดี แล้วร่างงามสง่าก็ก้าวจากไป
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **