๒๖๔ ปี ก่อนคริสตกาล เสียงหวีดร้องร่ำไห้ ตะโกนเรียกหาลูกหลานอย่างกระโชกเพื่อให้หลีกลี้หนีภัย เสียงชายฉกรรจ์รวบรวมไพร่พล สั่งการและบุกโรมรันดังระงม ดาบเหล็กกระทบกันดังก้องทั่วบริเวณหมู่บ้านหนึ่งริมฝั่งทะเล ชาวบ้านที่เป็นหญิง เด็ก และผู้ชรา ต่างวิ่งหนีกันสับสนอลหม่าน ฟากชายชาตรีทั้งวัยกลางคนและมีอายุต่างตั้งมั่นรวมกลุ่มต่อสู้กับผู้บุกรุกหมู่บ้านอย่างเต็มกำลัง แม้เตรียมตัวมาโดยตลอด แม้คาดการณ์มาก่อน แต่เมื่อความจริงอันโหดร้ายมาถึง ก็หลีกเลี่ยงความโกลาหลไม่ได้เลย
“พาพวกผู้หญิงกับเด็กหลบไปก่อน ระรันตา!”
“ไม่! ท่านพ่อ ข้าจักอยู่เคียงข้างท่าน” นางโผกอดแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามไว้มั่น
แววตาอ่อนโยนของบิดาในวัยห้าสิบมองมา “ระรันตา เจ้ารู้ พ่อต้องรวมพลโดยด่วน และคุมกำลังพวกผู้ชายต่อกรกับพวกมันอยู่ที่นี่” น้ำคำท่านเต็มไปด้วยความห้าวหาญ มิมีซึ่งความหวาดหวั่นใดๆ
“แต่...” หญิงสาวเสียงเครือ เอ่ยได้เพียงนั้นน้ำตาก็รินหลั่ง อยากสะอื้นแต่ต้องกลั้นไว้สุดใจ
มือกร้านของท่านโอบนางเข้าหาร่างกำยำอันเกิดจากการตรากตรำทำงาน “ระรันตา เจ้าเป็นลูกพ่อ เจ้าต้องเข้มแข็ง ชาวบ้านอีกหลายสิบคนต้องการผู้นำ เจ้าต้องทำได้”
หญิงสาวหายใจเข้าลึก บิดาสอนให้แข็งแกร่งกล้าหาญมาโดยตลอด แทรกซึมอยู่ในนิทานที่เล่ากล่อมก่อนนอน ในโมงยามที่ได้มีเวลาเดินเล่นในชายทุ่งด้วยกัน บิดามักมีคำคม คติสอนสั่งนางมาทั้งชีวิต ระรันตาปาดน้ำตาพยายามข่มใจ แล้วสวมกอดแน่น
“ท่านพ่อ ข้ารักท่าน”
สัมผัสอบอุ่น สายโยงใยแห่งรักพันผูกด้วยสายเลือดส่งผ่านผสมกับความอาลัยอย่างสุดซึ้ง หากเวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดคือมือที่กระชากให้ทั้งสองต้องจำผละจากกัน ท่านเดินดุ่มออกไปทันที นางรู้ ทำไมบิดาไม่แม้แต่เหลียวกลับมามองสักนิด ท่านไม่อยากเห็นภาพบุตรสาวน้ำตานองหน้าสะอื้นไห้แม้พยายามกลั้นอย่างสุดกำลังแล้วก็ตาม
ระรันตากอบความเข้มแข็งที่ยังพอมีเหลืออยู่ภายในกายคืนมา หันไปเรียกผู้หญิง เด็ก คนเฒ่าคนแก่ให้มารวมตัวกัน จากนั้นพากึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังทางสำหรับหลบหนี ทางที่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้ามาพักใหญ่ เมื่อทุกคนต่างรู้ดีว่าสถานการณ์บ้านเมืองกำลังระส่ำระสายหนัก คล้ายฝีหนองที่รอวันแตก...เช่นวันนี้
“ตามข้ามาทุกท่าน” นางกู่ก้องให้ได้ยินถ้วนทั่ว “เราต้องรีบเดินให้เร็วที่สุดเพื่อให้ทันขึ้นเรือ ช่วยเร่งฝีเท้ากันอีกสักนิดเถิด”
ทางเดินธรรมชาติแม้ถากถางไว้บ้างแต่ก็ยังมีลุ่มดอน เนินน้อยและดงไม้ขวางเป็นระยะ ระรันตากระชับมือที่อุ้มเด็กน้อยวัยสองขวบลูกของชาวบ้านไว้มั่นมิให้คมหนามและใบหญ้าบาดผิวอ่อนได้ นางเดินอย่างทะมัดทะแมง คอยหันมองชาวบ้านที่รวบรวมได้กลุ่มสุดท้าย ทุกคนต่างพยายามเร่งฝีเท้ากันเต็มที่เพื่อหลีกหนีให้พ้นเงื้อมมือศัตรู เกือบห้าสิบชีวิตนี้นางต้องนำพาทุกคนรอดไปให้ได้
เพื่อ...ไม่ให้ท่านพ่อผิดหวัง ท่านพ่อ นางคิดถึงบิดาหมดใจ
ไม่นานทั้งหมดก็มาถึงชายฝั่งทะเล ม้วนคลื่นปะทะหาดแรงเป็นระลอก ดั่งรับรู้ความวิปโยคที่กำลังโรมรัน ฟ้าคลับคล้ายจะมีสีแดงผสานครามน้ำเงิน บ่งบอกว่าทั้งเบื้องบนและใต้หล้าต่างรับรู้ถึงกาลวิบัตินี้ เรือขนาดกลางสองลำลอยขึ้นลงรออยู่พร้อมชายฉกรรจ์ พวกเขาต้องใช้กำลังอย่างมากจับพายคัดท้ายเรือต้านแรงคลื่นลมที่ซัดเข้าฝั่งคลื่นแล้วคลื่นเล่า เพื่อพยุงให้เรือจอดเทียบท่าอยู่ได้
“ขึ้นเรือเลยทุกคน แบ่งจำนวนให้เท่าๆ กัน” หญิงสาวเอ่ยฉะฉาน
ผู้อพยพต่างกุลีกุจอขึ้นเรือ เบียดเสียด แต่ก็เป็นไปอย่างมีน้ำใจ คนสาวช่วยพยุงคนแก่ มิใช่ญาติพี่น้องโดยสายเลือดแต่ก็คือพี่น้องร่วมถิ่นที่อยู่เดียวกัน เด็กน้อยมีมืออันอบอุ่นของเพื่อนบ้านคอยช่วยอุ้มส่งแก่ครอบครัว กระนั้นก็ยังร้องกระจองอแงจนต้องปลอบขวัญพัลวัน ระรันตาส่งเด็กน้อยในอ้อมแขนให้เมื่อเห็นว่าคนเป็นแม่ขึ้นบนลำเรือเรียบร้อยแล้ว จนส่งหญิงชรานางหนึ่งเป็นคนสุดท้าย หญิงสาวจึงย่ำลงน้ำจับกราบเรือช่วยฝีพายดันออกจากฝั่งอีกแรง มือเหี่ยวย่นนั้นเอื้อมมาจับมือนาง
“ระรันตา เจ้าต้องลงเรือมากับพวกข้าด้วยนะ”
หญิงสาวมองนัยน์ตาฝ้าฟางคู่นั้น ทว่าความคิดนึก ความรู้สึกบางอย่างกลับพลุ่งพล่านขึ้นในใจ ใบหน้าของบิดาผุดขึ้นมา นางส่ายหน้า
“ไม่ ท่านลัชตรา ข้าไปไม่ได้”
หญิงชราบีบมือระรันตาแน่น “แต่เจ้าจะกลับไปไม่ได้นะ มันอันตราย!” ความตระหนกของผู้เฒ่าแทรกผ่านมาในเนื้อเสียงที่แหบแห้ง
ระรันตาเม้มริมฝีปาก เอื้อมกุมมือผู้อาวุโส “ข้าขอบคุณในความห่วงใยของท่านที่มีให้แก่ข้า แต่ข้ามิอาจทิ้งท่านพ่อไปได้”
ลัชตราน้ำตาคลอ น้ำเสียงสั่นเครือ “ระรันตา เจ้ารู้ใช่ไหม เจ้ากลับไปก็คือ...เจ้ากลับไป...ตาย!”
นางสบตาผู้อาวุโสแน่วแน่ ตอบอย่างมั่นคง “ข้ารู้ ข้าเลือกแล้วท่านลัชตรา หากเบื้องบนลิขิตชีวิตข้าไว้แค่เพียงเท่านี้ข้าก็ยอมรับ อย่างไรข้าก็จักอยู่สู้เคียงข้างท่านพ่อ ข้ามีท่านพ่อเพียงผู้เดียว ไม่มีใครอีกแล้ว”
หยดน้ำตารินผ่านแก้มอันเหี่ยวย่นและเต็มไปด้วยริ้วรอย “ระรันตา เจ้าช่างกล้าหาญนัก ข้าขอให้เทพยดาอำนวยพรให้เจ้าแคล้วคลาดอยู่รอดปลอดภัย”
ระรันตายกมือหญิงชราแนบอก “ขอบคุณท่าน ขอบคุณ ข้าฝากท่านดูแลและเป็นศูนย์รวมใจให้แก่พวกเราชาวเมสซานาที่เหลืออยู่นี้ด้วย”
“อย่ากังวล ข้าจักทำหน้าที่นั้นอย่างดีที่สุด ข้าจักสวดมนต์ภาวนาทุกวันให้เราได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า”
นางปล่อยน้ำตาไหลเป็นสาย “ขอบคุณจริงๆ ท่านลัชตรา”
ระรันตาดึงมือหญิงชราออกอย่างอ่อนโยน “ขอให้ท่านและทุกคนโชคดี”
หญิงสาวให้สัญญาณแก่ฝีพาย เรือทั้งสองลำเริ่มลอยห่างออกจากฝั่งท่ามกลางริ้วคลื่น ลมดูเหมือนจะสงบลงชั่วครู่ พระพายคงเมตตาให้ทั้งหมดนี้ออกสู่ทะเลกว้าง ทวยเทพคงโอบรับผู้คนทั้งหมดทั้งมวลด้วยไมตรี ขอได้โปรดทรงคุ้มครองผองเพื่อนและพี่น้องของข้าด้วยเถิด ระรันตาประสานมือขึ้นภาวนา ดวงตาจ้องเขม็งไปที่สองนาวานั้น
ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าจากกันครานี้คือจากเป็น หรือ...จากตาย
“ท่านระรันตาขึ้นมาด้วยกันเถิด”
“ขึ้นมา แม่นางระรันตา”
เสียงชาวบ้านบนลำเรือเรียกขานซ้ำๆ
หญิงสาวยังคงยืนมองนิ่งด้วยแววตามุ่งมั่นจากริมฝั่ง ป้องปากตะโกน “ขอให้พวกท่านโชคดี”
เรือค่อยๆ ลอยไกลจากฝั่งไปเรื่อยๆ จนเห็นเป็นจุดเล็กๆ เมื่อมั่นใจว่าเรือสองลำนั้นไปไกลมากแล้ว ไกล...เกินกว่าจะกลับเข้ามาได้อีกนางก็หันหลังออกวิ่งกลับไปยังหมู่บ้าน มิสนใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลังใดๆ อีกเลย
----------
ที่หมู่บ้าน เหล่าชายฉกรรจ์กำลังปะทะกับกลุ่มผู้บุกรุก เสียงดาบเคร้งคร้าง เสียงร้องบ่งบอกความเจ็บปวดดังระงม ผสมไปกับเสียงฮึกเหิมกู่ก้อง ไม่ก็สาแก่ใจที่ได้เห็นผู้คนล้มตาย ได้เห็นเลือดสาดกระเซ็น
ระรันตาหลบหลังกองฟางใหญ่ มองหมู่บ้านที่เคยอยู่กันมาอย่างผาสุข บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสมรภูมิรบเพียงชั่วพริบตา ผู้บาดเจ็บและล้มตายมากขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวพยายามวิ่งไปหลบไปตามกองฟางบ้าง หลังเกวียน หลังตัวบ้านบ้าง จนเห็นบิดากำลังต่อสู้อยู่กลางวงล้อมของข้าศึกพร้อมๆ กับลูกบ้านชายสองสามคน สภาพแต่ละคนร่างเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล หากมือที่ถืออาวุธยังคงค้างสูงอย่างไม่หวั่นเกรง
การต่อสู้ของบิดาและลูกบ้านเพลี่ยงพล้ำข้าศึกลงเรื่อยๆ แล้วหญิงสาวก็ได้ยินเสียงปะทุไม่ห่างจากที่ซ่อนตัว เสียงปะทุแบบนี้...มันคือลูกไฟ! พลันหันไปมองท้ายหมู่บ้านก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเปลวเพลิงลุกโหมอย่างหนัก
เพียงไม่นาน สายลมที่พัดแรงก็ทำให้ไฟสีส้มแดงโหมโชติช่วงลามตามบ้านไม้แต่ละหลังที่ปลูกชิดติดกันอย่างรวดเร็ว ระรันตารู้สึกได้ถึงไอร้อนที่กำลังคืบคลานเข้ามาจนแสบผิวแม้ยังมีระยะห่าง
“ท่านพ่อ ไฟไหม้! ท่านพ่อ ระวัง!” ระรันตาตะโกนและวิ่งออกจากที่ซ่อนตัวด้วยความตะหนก บิดาหันมาเห็นก็เบิกตาโพลง เสียงดังปานตวาด
“ระรันตา! หนีไปเจ้า หนีไป!”
ทันใดนั้นดาบของข้าศึกฟันเข้าที่กลางอกบิดาเมื่อไม่ทันระวังตัว
ภาพเลือดไหลทะลักออกจากอกท่านแล้วเอ่อท่วมร่างอย่างรวดเร็วทำนางตะลึง ร่างกำยำที่นางเพิ่งสัมผัสไออุ่นทรุดลงกับพื้น ระรันตาวิ่งเข้าไปเพื่อโผกอด แต่กลับถูกชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ดั่งยักษ์ปักหลั่นฉุดแขนกระชากไว้อย่างแรง
“มากับข้าซะดีๆ!!” เสียงเหี้ยม ไร้ความปรานี
“ไม่! ปล่อยข้า ท่านพ่อ ท่านพ่อ ไม่!!!” นางร้องเสียงหลง มิอาจต้านทานแรงได้ มันผลักจนนางหงายหลังนอนลงกับพื้นแล้วอสูรตนนั้นก็ขึ้นโถมทับร่างแบบบางทันที
“กรี๊ด! ปล่อยข้า ปล่อย ออกไป!!” นางร้องและดิ้นรนสุดชีวิต
“หยุด!!” เสียงตะคอกตอกกลับดังพร้อมหลังมือฟาดเข้าที่ใบหน้า
หญิงสาวรับรู้กลิ่นคาวเลือดและของเหลวคล้ายยางเหนียวออกจากมุมปาก หัวมึนงงดวงตาพร่าพราย แต่ฝืนตั้งสติให้ได้ รวบรวมแรงดิ้นรนขัดขืน มิยอมให้สัตว์ร้ายหื่นกระหายพรากพรหมจรรย์ไปได้อย่างเด็ดขาด หากแม้นพยายามเพียงใดก็ยากจะต่อกรได้
กายอันหยาบโลนเคลื่อนเข้าใกล้เหลือเกินแล้ว มันจับขานางกางออก ระรันตาหมดสิ้นเรี่ยวแรง ได้แต่ปล่อยน้ำตารินไหลในใจร่ำร้องเรียกหาพ่อ
...พ่อจ๋าช่วยลูกด้วย...
โสตประสาทที่ใกล้ดับด้วยความเจ็บปวดและแพ้พ่ายแก่กามราคะ หากกลั้นใจตายได้ระรันตาก็ประสงค์เหลือเกิน ในภวังค์สีดำมืดนางได้ยินเสียงฝีเท้าม้าฝูงใหญ่ควบดังใกล้เข้ามา
“โอ๊ย!” เสียงร้องจากคนที่กำลังทับตัวนาง พร้อมเสียง
ฉับ!
เลือดสาดกระจายจนระรันตาต้องหลับตา รับรู้ถึงร่างใหญ่ฟุบแน่นิ่งทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนตัวจนแทบหายใจไม่ออก นางลืมตาอีกครั้งเมื่อใครบางคนดึงร่างนั้นเหวี่ยงออกไปพ้นตัว ยามนั้นบุรุษร่างสูงกำยำปรากฏตรงหน้า เขาอยู่ในชุดนักรบ ผ้าขาวสั้นเหนือเข่าพันรอบเอวมีสายหนังเส้นเล็กๆ ห้อยโดยรอบ ลำตัวหนา บึกบึนด้วยกล้ามเนื้อสมส่วน สวมเพียงเกราะโลหะสีทองหุ้มไปถึงไหล่ทั้งสองข้าง ในมือยังกำมีดเล่มใหญ่ยกสูง ใบหน้าคร้ามแดดแต่คมเข้มด้วยดวงตาดุดันเขม้นมองมา
“ขอบคุณ” นางเอ่ยแล้วรีบลุก โผเข้ากอดศพบิดาที่นอนอยู่ไม่ห่าง ร่ำไห้อย่างไม่อายผู้ใด
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ อย่าทิ้งข้าไป”
มือกร้านแตะลงบนไหล่ข้างหนึ่งของหญิงสาวพร้อมเสียงเอ่ยทุ้มห้าว
“แม่นางลุกขึ้น เราต้องไปจากที่นี่แล้ว ไฟกำลังไหม้ทั้งหมู่บ้านของเจ้า”
คำพูดนั้นทำให้นางตระหนักถึงความร้อนระอุที่ใกล้เข้ามาเหลือเกิน เปลวเพลิงโหมกระหน่ำเกือบทั่วทุกเรือนแล้วจริงๆ หากนางยังคงกอดร่างบิดาร่ำไห้อยู่อย่างนั้นไม่มีกำลังไม่มีความคิดจะลี้หนีไปแห่งใด ก็นี่คือบ้านของนางนี่
“ลุกขึ้นเจ้า เราต้องไปแล้ว!” น้ำเสียงของผู้มาช่วยดุดันขึ้น
ระรันตามิสนใจสิ่งใด ยังคงคร่ำครวญอยู่กับร่างไร้วิญญาณของบิดาไม่ยอมขยับเขยื้อน แต่แล้วควันไฟก็แผ่คลุมดังปีกปีศาจ สยายจนบรรยากาศมืดมัว กลิ่นไหม้รุนแรงระคายเคืองจนนางไอโขลก
“ออกมาเจ้า!” บุรุษผู้นั้นตวาดพร้อมกระชากตัวนาง
หญิงสาวสะบัด “ปล่อยข้า! ข้าจักตายที่นี่ ข้าไม่ไปไหน!”
“โง่หรืออย่างไรกันนี่!” เขาสบถ
แล้วแขนอันแข็งแกร่งดังคีมเหล็กก็โอบเข้าที่เอวนางอุ้มจนตัวลอย เขาแบกนางขึ้นพาดบ่า แม้พยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่สามารถหลุดจากวงแขนแข็งแรงนั้นได้
เขาวิ่งฝ่าเปลวเพลิงและควันที่หนามากขึ้นเรื่อยๆ แรงกระแทกเป็นจังหวะจนจุก นางมึนงงหนักกว่าเดิม รู้สึกเหมือนอะไรทับอกจนกระสับกระส่าย
“หายใจไม่ออก ข้าหายใจไม่ออก” ระรันตาร้อง
นักรบผู้นี้วิ่งเร็วขึ้นๆ สติของหญิงสาวเริ่มวูบดับเป็นห้วง ไม่รับรู้สิ่งรอบข้าง จนในที่สุดทุกอย่างก็มืดสนิทไปจากความทรงจำ
----------
อาชาสีขาวปลอดตัวใหญ่ยืนรออย่างสงบนิ่ง แม้ควันไฟและความร้อนจะโหมใกล้เพียงใด เมื่อมันเห็นผู้เป็นนายวิ่งเข้ามาพร้อมแบกใครบางคนมาด้วยก็ยอบตัวให้ขึ้นหลังได้โดยสะดวก ก่อนจะออกวิ่งเต็มฝีเท้า
“เร็วกว่านี้เจ้าบาราม! ไฟใกล้ถึงตัวแล้ว”
เขาตะโกนสั่งม้าคู่ใจพลางกระทุ้งเท้าทั้งสองเข้าที่สีข้างของมัน มือข้างหนึ่งจับบังเหียนแน่น ขณะอ้อมแขนกระชับร่างหญิงสาวไว้ไม่ให้ร่วงหล่นลงไปได้ ด้านหลังมีม้าอีกหลายตัวควบตามกันมาด้วยความเร็วปานสายลม
จนพ้นออกมาในระยะที่ปลอดภัย กลุ่มม้าทั้งหมดก็หยุดลง คนบนหลังม้าต่างเหลียวกลับไปมองเบื้องหลัง ทั้งหมู่บ้านจมอยู่ในทะเลเพลิง เปลวไฟแดงฉานเกรี้ยวกราดดั่งวิญญาณร้ายกำลังกลืนกินทุกสรรพสิ่งด้วยความโกรธา
“ช่างโหดร้ายโดยแท้” หนึ่งในกลุ่มนักรบเปรย
“มันฆ่าผู้ชายทุกคน ส่วนหญิงก็ปล้ำแล้วฆ่าทิ้ง” นักรบอีกผู้หนึ่งสำทับ พลางสังเกตเห็นใครอีกคนบนหลังม้าสีขาวปลอดของผู้ที่มียศใหญ่ที่สุดในกลุ่ม
“ท่านเชลาลุส นั่นท่านช่วยผู้ใดมา”
นักรบผู้องอาจก้มมองร่างอรชรในอ้อมแขน
“ไม่รู้เหมือนกัน นางเกือบจะไม่ยอมออกมาจากหมู่บ้านด้วยซ้ำ”
เขาว่าแล้วมองพรรคพวกด้วยสายตาคมกล้าพลางถาม “มีใครที่พวกเจ้าช่วยได้อีกหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ”
----------
ทหารม้าฝีมือดีสิบกว่านายบังคับม้ากลับเข้ามายังที่พักชั่วคราวบนเกาะซิซิลี
เชลาลุสหยุดม้าที่หน้าเรือนพยาบาล อุ้มหญิงสาวเดินอาดเข้าไปภายในเรือนมีลักษณะเป็นกระโจมขนาดใหญ่ ทันทีที่ผ้าใบกระโจมเปิดออก ชายในชุดขาวที่อยู่ด้านในก็เงยหน้าขึ้นจากการตรวจรักษาผู้ป่วยรายหนึ่ง แล้วรีบเดินเข้ามาดูอาการของผู้ที่เขาวางลงบนเตียงหมาดๆ
“ใครเป็นอะไรมาหรือ ท่านเชลาลุส”
ทหารหนุ่มยืดตัวขึ้นมองใบหน้านวลที่หลับตาพริ้ม ใบหน้าดั่งหยดน้ำ ผิวขาวนวลเปื้อนไปด้วยเขม่าควันไฟ ริมฝีปากแดงทำให้เขานึกถึงตอนที่นางร้องโวยวาย ดื้อดึงนัก ดวงตาที่ขนตาดำขลับงามงอนยังมีคราบน้ำตาเกาะเป็นทาง เขายกมือขึ้นตั้งใจจะปัดให้แต่กลับชะงัก วางมือลงแนบตัวตามเดิม
“นางเป็นคนของหมู่บ้านในเมืองเมสซานา ที่ถูกรุกรานจากพวกแมมเออร์ทีนซ์ (Mamertines) นางเกือบโดนขืนใจแต่ข้าไปช่วยไว้ทัน นางหมดสติจากควันไฟที่โหมและเผาหมู่บ้านจนราบคาบ”
แม้เป็นคำเล่าแต่ความหดหู่กลับประดังประเดซัดสาดความรู้สึกให้หม่นหมอง
“โอ...” ผู้อยู่ในชุดขาวอุทาน
เชลาลุสสบตาเขม็งดั่งกำชับย้ำไปกับคำพูด “ท่านหมอดาปิโอรุส กรุณาช่วยดูแลนางต่อทีเถิด ข้าจักไปรายงานข่าวแก่ท่านแม่ทัพ”
“ขอรับ” นายแพทย์ประจำกองกำลังก้มศีรษะลงเล็กน้อย
เชลาลุสอดมองดวงหน้างามนั้นอีกครั้งไม่ได้ สายตาเลื่อนไปยังเรือนกายแห่งอิสตรีที่เขาได้สัมผัสแนบชิดมาตลอดบนหลังม้า นักรบหนุ่มข่มใจให้กับความรู้สึกแปลกประหลาดที่วาบขึ้นมาในตัว รีบเดินออกจากสถานพยาบาลไป
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **