พอเห็นว่าน่าจะสงบแล้ว เจิมจันทร์ก็กลับมานั่งที่บริเวณทำพิธีดังเดิม โดยไม่สนใจที่จะปลอบหลานสาวที่กำลังอกสั่นขวัญแขวนแม้แต่คำเดียว
“รวบรวมสมาธิให้เร็วที่สุด เรามีเวลาไม่มากแล้ว” นางบอกห้วนๆ
ญานีนที่ยังตัวสั่นใจสั่นทำอย่างที่ยายบอกได้ยากเหลือเกิน หล่อนไม่คิดว่าตัวเองจะได้พบอะไรที่น่าขนพองสยองเกล้าขนาดนี้มาก่อน ใบหน้าพวกมันทั้งสามดำสนิท แต่ดวงตาเป็นสีเหลืองจัด เนื้อตัวเหม็นเน่า เล็บยาวเฟื้อยนั่นพยายามจะกรีดลงบนเนื้อตัวหล่อน
“นังยิหวา!” เจิมจันทร์ดุ เมื่อเห็นหลานสาวเอาแต่ตัวสั่น มองทางนั้นทีทางนี้ทีด้วยความหวาดกลัว
ญานีนสะดุ้ง “ขอโทษค่ะ คุณยาย”
“เมื่อกี้ก็เป็นฝีมือคนของพวกมัน มันตั้งใจจะฆ่าแก นังหนึ่งจะได้เป็นแกตลอดไป” หญิงชราเติมเชื้อไฟแค้นลงไปอีกครั้ง ซึ่งมันก็ได้ผล ญานีนยืดกายขึ้นตรงและหลับตาลงด้วยท่าทีมุ่งมั่น
ไม่นาน เจิมจันทร์ก็เริ่มต้นบทสวดที่ญานีนฟังไม่ออก เสียงนั้นต่ำลึกฟังคล้ายเสียงคำรามของภูตพราย และเป็นอีกครั้งที่ญานีนรู้สึกว่าตรงนั้นไม่ได้มีแต่หล่อนกับยาย แต่มี ‘สิ่งอื่น’ เดินวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวหล่อนด้วย
ครู่ต่อมา ยายก็เอ่ยกับหล่อน “ท่องตามฉัน...”
“โอม...อัญเชิญโหงพรายใจกล้าเมตตาลูกหลาน จงดลบันดาลให้มันลุ่มหลง ศรีกูงามคือฟ้า หน้ากูงามฤทธิ์กูงามคือพระจันทร์ มันเห็นหน้ากูก็อยู่ไม่ได้ ลืมตาหลับตาให้มันคิดถึงหน้ากู ดังช้างรักงา ดังปลารักน้ำ อย่างหงส์รักถ้ำ ข้าวอยู่ในคอก็ลืมกลืน ให้สะอื้นคิดถึงตัวกูอยู่ทุกทิวาและราตรี”
ญานีนท่องตามไม่มีผิดเพี้ยนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ฟังชัด
จบประโยคยาวๆ นั้น ยายก็บอกให้หล่อนลืมตา แล้วยื่นตุ๊กตาดินปั้นทั้งสองคู่มาตรงหน้าหล่อน
“เอาไปฝังข้างในโน้น”
ข้างในโน้นของยาย หมายถึง ด้านหลังของยาย ซึ่งเป็นป่าลึกและทึบ ใจญานีนไหววูบด้วยความกลัว แต่ครู่ต่อมา หล่อนก็รับมันจากมือยาย แล้วลุกขึ้นเดินไปตามทางที่ยายชี้บอกด้วยท่าเดินอันเต็มไปด้วยความมั่นคง โดยที่หล่อนไม่รู้ว่า มีนพเดินไปเป็นเพื่อน
----------
ญานีนกลับเข้าคฤหาสน์หลังงามของบิดาในตอนสายของวันต่อมา และหล่อนก็เดินเข้าไปบอกเขาซึ่งอยู่ในห้องทำงานว่า หล่อนจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก
“ฉันไม่อนุญาต” วิญญูตอบกลับโดยไม่เสียเวลาคิด
“หนูไม่ได้มาขออนุญาต แค่มาบอกคุณแค่นั้น” หญิงสาวตอบห่างเหินและก็ผละออกมาจากห้องทำงานของบิดาดื้อๆ
“แล้วเมื่อคืนแกไปไหนมา อย่าบอกนะว่าออกไปมั่วผู้ชายให้คนอัดคลิปลงเน็ตอีกน่ะ...แกจะทำอะไรก็ช่วยนึกถึงหน้าฉันหน่อย ตอนนี้ฉันเหมือนตัวอะไรสักอย่างที่เวลาเดินไปไหนคนก็ซุบซิบนินทาว่ามีลูกสาวทำตัวเหลวแหลก” คนเป็นพ่ออดรนทนไม่ไหวเดินตามออกมาพูดถึงนอกห้อง
“เมื่อไหร่แกจะหยุด ตอนนี้สถานีของเราเรตติ้งก็ไม่ดีอยู่แล้ว แกกะให้มันจมลงดินเลยหรือไง”
“ก็พ่อเซ็นยกให้หนูหรือยังล่ะคะ”
วิญญูชะงักไป
“เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่นะยายยิ...หนึ่ง” วิญญูรีบเบาเสียงลงเพราะไม่อยากให้เด็กรับใช้ในบ้านได้ยิน ก่อนเอ่ยต่อว่า
“ถึงฉันจะถือหุ้นเยอะที่สุด แต่ก็ต้องผ่านความเห็นจากผู้ถือหุ้นคนอื่นด้วย”
“ยกแค่ส่วนของพ่อให้หนูก็พอ”
“แล้วแกจะหยุดทุกอย่างที่แกทำ?”
“ยังไม่ได้ตัดสินใจค่ะ แต่เรื่องโอนหุ้น พ่อตัดสินใจว่าจะให้หนูแล้ว”
“ยิหวา ฉันขอร้อง...”
“เซ็นเถอะค่ะ อย่าให้ต้องถึงมือยายเลย หนูไม่ได้ขู่นะคะ แต่พ่อก็รู้ว่ายายเกลียดพ่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว”
วิญญูทำท่าฮึดฮัด ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานของตน คราวนี้เป็นฝ่ายญานีนที่ตามบิดากลับเข้าไปในห้องทำงานอย่างไม่ไว้ใจ แล้วเห็นเขาหยิบเอกสารบางอย่างในลิ้นชักใต้โต๊ะทำงานขึ้นมา พร้อมปากกา
“ถ้ายายแกเก่งนักละก็ ทำไมไม่บังคับให้ฉันเซ็นให้แกเลยล่ะ จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว” เขายังไม่วายบ่น
“แบบนั้นจะสะใจอะไรล่ะคะ...ต้องเซ็นตอนที่พ่อมีสติครบถ้วนทุกประการสิ” ญานีนเดินตามไปที่โต๊ะ “เซ็นยกให้ญานีนนะคะ ไม่ใช่วิรัลยา”
“ฉันรู้น่า...ว่าแต่แกย้ายออกไปข้างนอก แล้วคุณวา แกจะทำยังไง”
“ก็ไม่เห็นต้องทำยังไงนี่คะ เขาอยู่ได้ พ่อไม่ต้องห่วงเขาหรอก”
วิญญูไม่เอ่ยอะไรอีก จัดการเซ็นชื่อลงตรงช่องลายเซ็นผู้โอน แล้วยื่นให้ลูกสาวคนเล็กดู
ญานีนรับมากวาดตาอ่าน พิจารณาอย่างรอบคอบ แม้จะแปลกใจอยู่ก็ตามทีที่บิดายอมเตรียมเอกสารโอนหุ้นไว้ให้หล่อนก่อนหน้าแล้ว แต่ก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจสุดๆ
“ขอบคุณนะคะ...คุณพ่อ ที่เหลือหนูจะได้ไปจัดการต่อเอง และอีกไม่นาน ‘วิรัลยา’ กับวารุณ ก็จะโอนหุ้นของตัวเองให้ ‘ญานีน’ เช่นกัน...ด้วยใจเสน่หา” หล่อนยิ้มเหี้ยม ก็ตอนนี้หล่อนเป็นวิรัลยา เรื่องจะเซ็นยกหุ้นให้ตัวเองนั้นไม่ยากสักนิด ยิ่งวารุณยิ่งง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก!
ญานีนไม่รู้เลยว่าพอหล่อนเดินตัวปลิวออกจากห้องไป บิดาของหล่อนก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจเช่นกัน!
----------
คอนโดฯ ที่ญานีนย้ายมาอยู่นั้นเป็นของวิญญู ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจ มีสองห้องนอน หนึ่งห้องรับแขกและห้องครัว เฟอร์นิเจอร์ครบครัน ด้านหลังมีระเบียงเอาไว้ชมทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน
“ความจริง คอนโดฯ ของผมก็มีห้องว่าง อยู่ใกล้ที่ทำงานกว่าอีก ผมจะได้ดูแลคุณสะดวกๆ ด้วย” ไอศูรย์เอ่ยขณะที่กำลังช่วยญานีนลากกระเป๋าเสื้อผ้าล้อเลื่อน ตามเข้าประตูห้องมา
“ถึงจะไกลที่ทำงานหน่อย แต่ก็ไปไหนมาไหนสะดวกค่ะไอซ์ อีกอย่าง ฉันขี้เกียจทำสัญญาใหม่น่ะค่ะ ใช้ห้องของพ่อสะดวกดี”
ญานีนหันไปยิ้มให้เขา
“ขอบคุณไอซ์มากนะคะที่คอยดูแลฉัน อยู่ข้างๆ ฉันเสมอ แม้ในเวลาที่ฉัน เอ่อ ทำอะไรแย่ๆ”
ไอศูรย์วางกระเป๋าไว้ แล้วเดินเข้ามาใกล้หล่อน “ผมคิดว่าคุณคงรู้ว่าที่ผมทำไปเพราะอะไร”
ญานีนลอบถอนใจหนักใจ ใช่ หล่อนรู้อยู่เต็มอกเลยล่ะ
“ฉันรู้ค่ะ แล้วก็รู้สึกดีแทนวิรัลยาคนนั้นมาก...”
มือใหญ่เอื้อมมาหามือหล่อน “แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกดีกับวิรัลยาที่อยู่ตรงหน้านี้มากกว่า”
“ไอซ์...” หญิงสาวเงยหน้าสบตาเขาตรงๆ ก็เห็นความจริงใจในแววตา อันทำให้หล่อนยิ่งหนักใจขึ้นอีก
“คุณหนึ่งคนก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ผมทึ่งได้เสมอ ทำให้ผมอยากมาทำงานทุกวัน ช่วยกันคิดทำนั่นทำนี่ไปด้วยกัน ทำให้ผมพลอยมีพลังและกระตือรือร้นตามไปด้วย แต่คุณคนนี้ คุณไม่ได้เก่งมาก ทำเรื่องผิดพลาดบ่อย อ่อนแอบ้าง เข้มแข็งบ้าง ทำเรื่องแย่ก็ไม่น้อย แต่มันทำให้คุณกลายเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ผมจับต้องได้ ผมอยากดูแล ปกป้องคุณ และอยากใช้เวลานอกเหนือเวลางานกับคุณให้มากที่สุด” เสียงเขาอ่อนโยนนัก ยิ้มนั้นก็กว้างขวางชวนให้ยิ้มตาม แต่ญานีนยิ้มไม่ออก
“ไอซ์คะ ฉัน...”
“คุณหนึ่งครับ...ให้เกียรติผมได้ดูแลคุณได้ไหมครับ”
“ฉัน...ฉันมีความลับจะบอกคุณ...” ญานีนดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา แล้วเดินไปยืนอีกทางพลางใช้ความคิดอย่างหนัก
“ความลับ? ความลับอะไรครับ” เขาเดินตามมาหยุดยืนใกล้ๆ มองหล่อนลุ้นๆ
“คือฉันไม่...”
ระหว่างนั้นเอง เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น สองหนุ่มสาวชะงัก แล้วก็เป็นญานีนที่เดินไปเปิดประตู ไอศูรย์เดินตามไปดูด้วยความแปลกใจ
ประตูเปิดออก ร่างสูงใหญ่ของอัคนียืนอยู่ตรงนั้น แววตาที่มองหญิงสาวเต็มไปด้วยความรักความหลงสุดหัวใจ
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **