อัคนีกระชากข้อมือญานีนออกจากห้องของเจิมจันทร์ แล้วเลี้ยวไปทางด้านหลังเรือนเสน่ห์จันทน์ ลงบันไดไป ก็จะพบสระบัวที่ตอนนี้ดอกบัวหลวงกำลังออกดอกสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมตลบ ใกล้ๆ กันนั้นมีศาลาสร้างจากไม้เอาไว้สำหรับพักผ่อน
เมื่อก่อน ญานีนกับพี่ๆ มักลงมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันที่ศาลาแห่งนี้ แม้ญาตาวีกับดมิสาจะชอบทะเลาะกันบ่อยๆ ให้บรรยากาศเสีย แต่ก็เป็นช่วงเวลาเดียวที่พี่น้องทั้งสี่จะได้อยู่กันพร้อมหน้า เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ยายก็จะเรียก ‘พี่โต’ กลับขึ้นเรือน
อัคนีพาหญิงสาวไปที่ศาลานั่น แล้วผลักร่างหล่อนแรงๆ
“หนึ่งมาทำอะไรที่นี่”
“มีธุระกับคุณยายเจิมค่ะ แล้วยายนั่นล่ะคะเข้าไปทำอะไรในห้องของยาย” หล่อนถามกลับ
ชายหนุ่มชะงัก ความสงสัยผุดขึ้นในสีหน้าเขาก่อนจางหายไป
ใช่ ‘ญานีน’ เข้าไปทำอะไรในห้องนั้น ทั้งที่เจ้าของห้องอยู่ข้างนอก
“หลานเข้าห้องยายมันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่คนอื่นนี่สิ เข้าไปทำไม ต้องการอะไร แล้วทำไมต้องทำร้ายยิหวาเขาด้วย หนึ่งทำให้พี่ผิดหวังมากขึ้นทุกวัน และพี่ก็ชักจะเหลืออดแล้ว”
ญานีนกอดอกแล้วมองเมินไปทางอื่น ไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
“เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไงว่าจะต่างคนต่างอยู่ เป็นพี่เป็นน้องที่ดีต่อกัน แต่ดูหนึ่งสิ ทำแต่เรื่องบ้าๆ ไม่ใช่แค่เรื่องที่ทำร้ายยิหวานะ ยังจะเรื่องคลิปต่างๆ อีก คนฉลาดอย่างหนึ่งต้องรู้สิว่าผลเสียจะตกที่หนึ่งโดยตรง แล้วทำไมยังทำ” เขาเอ่ยขึ้นอีก
ญานีนยังคงเงียบ
“พี่ขอร้องล่ะ หยุดทำในสิ่งที่หนึ่งพยายามทำอยู่ในตอนนี้เถอะ มันมีแต่ผลเสีย และหนึ่งก็จะเสียเวลาด้วย ถ้าทำเพื่อต้องการให้พี่กลับมารักหนึ่งเหมือนเดิมละก็ พี่...จำเป็นต้องใจร้ายที่ต้องบอกตามตรงว่าพี่รักยิหวา ยิหวาคนเดียวเท่านั้น”
คราวนี้หญิงสาวหันมาสบตาเขาตรงๆ “แล้วถ้าฉันทำเพื่อความแค้นล่ะ ฉันได้สิทธิ์ในการแก้แค้นต่อใช่ไหม”
“หนึ่ง! พี่ต้องทำยังไง หนึ่งถึงจะหยุด”
“คุณกับนังนั่นไม่ต้องทำอะไรหรอกค่ะ เพราะฉันจะเป็นฝ่ายทำเอง” พูดจบหล่อนก็ทำท่าจะผละจากมา แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกว่าร่างตัวเองถูกดึงไปกอดจากด้านหลัง
“หยุดทุกอย่างเถอะนะหนึ่ง แล้วพี่จะกลับมารักหนึ่งให้ได้เหมือน เดิม พี่สัญญา พี่จะหย่ากับยิหวา แล้วเราก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมกัน”
ญานีนตัวแข็งทื่อ ขณะที่ใจนั้นอ่อนยวบให้กับอ้อมกอดนั่น อ้อมกอดที่คุ้นเคยและปฏิเสธไม่ได้ว่าโหยหามาตลอด...
“พี่เดี่ยวพูดจริงเหรอคะ” เสียงหล่อนเบาจนแทบเป็นกระซิบ
“จริงสิ...พี่ขออย่างเดียว หยุดทำร้ายตัวเองแบบนี้เสียที”
ญานีนน้ำตาไหล ยกมือแตะแขนของเขาเบามือ แขนเขายังแข็งแรงแต่ก็เนียนลื่นมือไม่เคยเปลี่ยน แขนซึ่งเคยโอบประคองหล่อนด้วยความอ่อน โยน ให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่เวลานี้...มันเย็นเยือกนัก
คิดได้ดังนั้น หล่อนก็ผลักแขนเขาออกแรงๆ แล้วหันไปเผชิญหน้า
“ได้สิคะ ต่อไปจะหยุดทำร้ายตัวเอง แล้วก็ทำร้ายพวกคุณต่อไงล่ะ”
“หนึ่ง!”
“หึ ฉันอาจจะไม่เก่งไม่ฉลาดเท่ายายนั่นของคุณ แต่ฉันไม่โง่เหมือน เดิมแล้ว มีแต่คุณที่โง่ที่คิดว่าใช้วิธีเดิมแล้วจะได้ผล” หล่อนหมายถึงวิธีหลอกให้รัก แล้วค่อยทำในสิ่งที่ต้องการ เหมือนที่เขาเคยยอมแต่งงานกับหล่อนเพื่อจะหลอกเอาหุ้นหล่อนให้วิรัลยานั่นแหละ เขาคงเจ็บใจที่มันไม่สำเร็จ เลยพยายามอีกครั้ง
แล้วหล่อนก็ผละจากมา ไม่หันกลับไปมองหน้าเขาอีก
วิรัลยาเดินหน้าตึงลงมาพอดี “แกคิดจะทำอะไร มาหายายทำไม”
“ก็ยายฉันไหมล่ะ...ว่าแต่แกเถอะ มาหาห้องลับยายสิท่า ฉันดูแล้ว คนของแกกระจอกมาก สู้ยายฉันไม่ได้หรอก เตรียมรับมือให้ดีก็แล้วกัน!”
----------
กลางดึกคืนนั้น ณ ป่าช้าแห่งเดิมที่เจิมจันทร์เคยใช้ทำพิธีเรียกขวัญให้ญานีน
อากาศโดยรอบเงียบสงัด ไม่มีแม้เสียงแมลงไพรสักตัว อากาศเย็นจนยะเยือก ใบไม้น้อยใหญ่โบกใบตามแรงลมคล้ายการโบกมือต้อนรับจากเหล่าวิญญาณ ซึ่งหากเป็นเวลาปกติ อย่าว่าแต่มานั่งอยู่ตรงนี้เลย แค่ขับรถผ่าน ญานีนก็ไม่เอาด้วยแล้ว แต่เวลานี้ความแค้นได้ทำลายความกลัวของหล่อนจนหมดสิ้น
สองยายหลานนั่งตรงข้ามกัน ตรงกลางระหว่างทั้งคู่เป็นถาดวางกล้วยที่มีตุ๊กตาดินปั้นทำจากดินเจ็ดป่าช้าสองคู่ที่ญานีนเห็นเมื่อกลางวันวางอยู่ แต่คราวนี้นอกจากตุ๊กตานั่นแล้ว ยังมีกระดาษเขียนชื่ออัคนี วันเดือนปีเกิด รูปถ่ายรวมถึงเส้นผมของเขาวางอยู่ด้วย ซึ่งเส้นผมของเขานี้ เจิมจันทร์เป็นคนเอามาได้ นางไม่ได้บอกว่าเอามาด้วยวิธีไหน และญานีนก็ไม่ได้อยากรู้ แค่มันมาอยู่ตรงนี้พร้อมให้หล่อนแก้แค้นเขากับวิรัลยา หล่อนก็พอใจแล้ว
ข้างๆ ตัวเจิมจันทร์มีย่ามสำหรับใส่ของที่จำเป็นของนาง
เจิมจันทร์บอกให้ญานีนหลับตาทำสมาธิ รอเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเริ่มพิธี
ตอนนี้ ในความคิดของญานีนมีแต่ภาพความหลังระหว่างหล่อนกับอัคนี ภาพตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกับเขาในฐานะพี่ชายคนใหม่ของบ้าน ท่าทางเศร้าๆ ผสมกับเจียมเนื้อเจียมตัวของเขา ทำให้หล่อนเกิดความสงสาร อยากปลอบโยน ทั้งที่ชีวิตตัวเองก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ มีบิดาที่ไม่รักอาจดูแย่กว่าเขาเสียด้วยซ้ำ
เห็นภาพที่เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว มีสาวๆ ตามเขามาที่บ้านของบิดาในวันหยุดโดยมีวิรัลยาไปร่วมแจมด้วย เขาดูมีความสุขกับพวกเธอเหล่านั้นและไม่เคยหันมามองหล่อนเลย ภาพที่เขาไปไหนมาไหนกับวิรัลยาอย่างเปิดเผย สายตาบ่งบอกความรักต่อกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่มองมาที่หล่อนมีแต่ความห่างเหิน เย็นชา
ภาพที่เขานั่งเคียงข้างหล่อนบนตั่งรอรับน้ำสังข์จากญาติผู้ใหญ่ ใบหน้าด้านข้างเต็มไปด้วยความทรมานเห็นได้ชัด ภาพที่เขาออกจากบ้านทุกเย็นด้วยความรังเกียจหล่อน ภาพที่เขาเริ่มเอาใจใส่หล่อน และเริ่มมีกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน สีหน้าของเขาผ่อนคลายขึ้นมาก ความทรมานไม่มีให้เห็นแล้ว
แล้วคลิปเสียงที่เขาพูดกับวิรัลยาก็เข้ามาแทนที่ภาพเหล่านั้น ภาพที่หล่อนนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่บนเตียงด้วยฝีมือเขากับวิรัลยา และสุดท้ายภาพที่เขาพยายามส่งคนมาฆ่าหล่อนบนดาดฟ้าคืนนั้น
“สิ่งหนึ่งที่ฉันต้องบอกแกไว้ก็คือ สิ่งนี้จะกัดกินชีวิตของผัวแกไปทีละนิด” เสียงยายดังแทรกความคิดของญานีน “เขาจะค่อยๆ ผอม ไร้สง่าราศี และวันหนึ่งก็อาจไร้ลมหายใจ”
“ตายก็ได้ค่ะ แต่ก่อนตาย เขาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างที่สุด”
หล่อนตอบกลับยายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทั้งที่หลับตาอยู่
เจิมจันทร์ลืมตามองหลานสาวคนเล็ก รอยยิ้มพึงพอใจผุดขึ้นเหนือริมฝีปาก
ดี! เด็ดขาดดี ยิหวา แบบนี้ถึงเหมาะสมเป็นทายาทของฉัน
แต่วูบหนึ่ง แววตาพอใจก็เลือนหายกลายเป็นความเศร้าลึกเข้ามาแทนที่
ในอดีต...ก็เคยมีเหตุการณ์คล้ายๆ นี้ สองหญิงหนึ่งชาย การแย่งชิง ความแค้น ก่อนจะจบลงด้วยความตาย...โดยก่อนตาย หญิงคนนั้นร่ายคำสาปเอาไว้ยาวเหยียด
‘ก่อนตาย! กูขอสาปแช่งมึง และลูกหลานโคตรเหง้าของมึงทุกตัว ไอ้อีไหนที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับมึงขอให้พบแต่ความวิบัติฉิบหาย อย่าได้สมหวังในความรัก ให้ทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็นสมกับที่มึงพรากความรักไปจากกู’
ถึงจะไม่ให้ราคากับคำสาปนั่น แต่จากสิ่งที่ลูกสาวทั้งสองคนของนางพบเผชิญ และสิ่งที่ญานีนกำลังเจอก็ทำให้นางชักมั่นใจว่าคำสาปนั้นจะเป็นจริง แต่ก็ช่างสิ เรื่องของพวกมัน ไม่เกี่ยวกับนาง!
พลันนั้นเอง ก็มีเสียงเหมือนมีอะไรหนักๆ ตกลงใกล้ๆ นั้นขัดความ คิดของเจิมจันทร์ ญานีนเองก็สะดุ้งด้วยความตกใจ ลืมตาขึ้นทันที
“เสียงอะไรคะคุณยาย”
“สงสัยจะมีคนลองของ...” เจิมจันทร์เอ่ยเสียงเหมือนคำราม
“แกอยู่ตรงนี้แหละ ห้ามลุกไปไหน นั่งสมาธิไป ฉันสั่งให้เจ้านพคอยดูแลแกแล้ว ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวฉันมา”
สั่งเสร็จ หญิงชราก็ลุกขึ้นเดินไปตามเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ แล้วก็หยุดเดินเมื่อสายตาที่พิเศษกว่าคนธรรมดามองเห็นก้อนหินสีดำก้อนหนึ่งตรงหน้า
ทันใดนั้นเอง ก้อนหินดังกล่าวก็กลายร่างเป็นหมาสีดำตัวสูงใหญ่ มันสูงกว่านางอีก และมันก็โผนเข้าหานางอย่างประสงค์ร้าย เจิมจันทร์ที่เตรียมตัวอยู่แล้วรีบหยิบกริชจากย่ามแล้วแทงสวนไป แต่มันก็เตรียมตัวมาดีไม่น้อย ฉากหลบไปทางอื่น แล้วหมุนตัวกลับมาพุ่งหานางอีกครั้ง คราวนี้คมเขี้ยวของมันฝังลงบนไหล่ของนางได้สำเร็จ ความเจ็บปวดทำให้หญิงชราจอมขมังเวทย์ยิ่งโกรธ นางหยิบควายธนูออกมา พึมพำอยู่ครู่เดียวก็โยนของดังกล่าวไปเบื้องหน้า กลายเป็นควายธนูตัวใหญ่ ตาสีแดงก่ำที่ดูดุร้าย ควายธนูไม่รอช้าพุ่งเข้าหาหมาดำทันที จากนั้นสัตว์ที่สร้างจากอาคมสองตัวก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ไม่มีฝ่ายไหนเพลี่ยงพล้ำง่ายๆ และนางก็รอเวลาที่เจ้าของหมาดำจะปรากฏตัวเสียที
“กรี๊ด”
เสียงกรีดร้องของญานีนดังขึ้น เจิมจันทร์หันขวับไปมองด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบวิ่งไปที่นั่น ภาพที่เห็นทำให้นางยิ่งแค้น
ญานีนถูกรุมทึ้งจากวิญญาณร้ายสามตัว ใกล้ๆ นั้น นพถูกมัดไว้ด้วยสายสิญจน์ ทำให้ขยับตัวไม่ได้ สีหน้าเขาทั้งเจ็บปวด ทั้งเป็นห่วงผู้หญิงที่เขารัก
เจิมจันทร์รีบหยิบข้าวสารเสกออกมาซัดเข้าหาวิญญาณทั้งสาม พวกมันกรีดร้องเสียงโหยหวน ก่อนหายวับไปทิ้งไว้เพียงความน่าสะพรึงกลัวแก่ญานีน จากนั้นเจิมจันทร์ก็ใช้มีดตัดสายสิญจน์ให้นพ ตอนนั้นเองที่ควายธนูของนางร้องคำรามด้วยความบาดเจ็บ นางจึงเรียกมันกลับคืนสู่ย่าม เช่นเดียวกับฝ่ายนั้นก็เรียกหมาดำของตนกลับ แต่ไม่ยอมปรากฏตัวให้เห็น
“มึงเป็นใคร” หญิงชราตะโกนถาม
“ฮ่าๆๆ” มีเพียงเสียงหัวเราะก้องป่ากลับมา
“มึงจะขี้ขลาดหลบอยู่หลังก้นหมาทำไม แน่จริงมึงก็ออกมา”
“มึงไม่ต้องกลัว เดี๋ยวมึงเจอกูแน่อีเจิม มึงเตรียมรับมือกูให้ดีก็แล้วกัน” จบคำพูดของฝ่ายนั้น ก็ปรากฏลมกระโชกครั้งใหญ่ ใบไม้ร่วงกราวและปลิวว่อน ก่อนค่อยๆ สงบลง อันเป็นสัญญาณว่าฝ่ายนั้นจากไปแล้ว
เจิมจันทร์คุ้นเสียงนั้น แต่นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหน แต่ที่แน่ๆ นางได้รู้ว่ามันตั้งใจจะเข้าหานางโดยเฉพาะ ญานีนเป็นเพียงตัวเชื่อมเท่านั้น มันไม่ได้ตั้งใจมาขัดขวางการทำเสน่ห์ของญานีนเสียด้วยซ้ำ
มันเป็นใครกันแน่?
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **