ทดลองอ่าน ซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ : มาลีเริงไฟ : ตอนที่ 32

 

 

ตอนที่ 32

 

 

ตกเย็นวันนั้น ญานีนไปหาเจิมจันทร์ที่เรือนเสน่ห์จันทน์ตามที่นัดไว้ สายพิณซึ่งรู้จากเจิมจันทร์ว่าญานีนจะมา กระตือรือร้นออกมารอรับอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นหล่อนก็เข้ามากอดด้วยความดีใจเหลือล้น

“ได้กอดตัวจริงเสียงจริงของคุณหนูของแม่พิณแล้ว...ขวัญเอ๊ย ขวัญมา...พระคุ้มครองเทวดาปกป้องนะคะ” แม่บ้านสายพิณอวยพรพลางลูบหลังลูบไหล่ญานีนไปด้วย ไม่มีท่าทีแปลกใจกับใบหน้าที่เหมือนวิรัลยา เนื่องจากเจิมจันทร์ได้เล่าให้สายพิณฟังบ้างแล้วเพื่อที่จะได้ต้อนรับได้ถูกคน

“ดูสิ คุณหนูผอมไปตั้งเยอะ...”

“ถ้างั้นเดี๋ยวยิหวากลับมาให้แม่พิณขุนดีไหมคะ” ญานีนกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่ไหว เรือนเสน่ห์จันทน์คือบ้านที่หล่อนอยู่ตั้งแต่เด็กๆ แม้จะมีความทรงจำเลวร้ายหลายอย่าง แต่หล่อนก็ยังมีสายพิณเป็นความทรงจำดีๆ ของหล่อน สายพิณเป็นคนคอยปลอบหล่อนเวลาที่ถูกยายทำโทษ สายพิณเป็นที่พึ่งของหล่อนกับญาตาวีมาตั้งแต่เด็กจนโต ดมิสาก็ด้วย

“อุ๊ย จะกลับมาอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอคะคุณหนู ออกไปแล้วก็อย่ากลับ มาอีกเลยค่ะ พิณละกลัวแทน” สายพิณรีบสั่นหน้าไม่เห็นด้วย

“หนูมีภารกิจสำคัญกับคุณยายน่ะค่ะ”

สายพิณเบิกตากว้าง “ภารกิจอะไรคะ นี่อย่าบอกนะว่า...คุณหนูจะยอมเป็นทายาทท่านน่ะ”

“แม่พิณรู้เรื่องที่คุณยายเป็น เอ่อ เป็นแบบนี้ด้วยเหรอคะ” เป็น ญานีนที่แปลกใจ

ได้ยินคำถามนั้น สายพิณก็เพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปากออกไป รีบหุบปากฉับ ไม่วายมองซ้ายมองขวาด้วยท่าทีหวาดกลัว ก่อนกระซิบเสียงเบากว่า เดิม

“อย่าให้พิณพูดเลยค่ะ พิณไม่อยากเสี่ยงมีหนอนออกจากปากอีก...แต่พิณไม่อยากให้คุณหนูเข้ามาในวังวนนี้เลย มันน่ากลัวมาก”

“นาทีนี้ ต่อให้น่ากลัวกว่านี้ร้อยเท่า ยิหวาก็ยอมค่ะ” น้ำเสียงหล่อนเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าเดินมาหยุดตรงบันไดขั้นบนสุด สายพิณรีบผละออกห่างญานีน แล้วหลบไปอีกทางทันที

ญานีนเงยหน้ามอง รู้อยู่แล้วว่าเจ้าของเสียงฝีเท้านั้นต้องเป็นเจิมจันทร์ แววตาที่ส่งกลับไปให้ยายจึงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ไม่มีหวั่นไหว เรียกรอยยิ้มผุดที่มุมปากของหญิงชรา...เป็นรอยยิ้มของความพึงพอใจ

หลังจากนั้น ญานีนก็เดินตามยายไปยังห้องทำพิธี ซึ่งก็คือห้องพระอยู่ในเรือนนอนของยาย ตอนเด็กๆ ที่พวกหล่อนแอบเข้ามา ก็เห็นว่าเป็นห้องพระธรรมดา

แต่มาวันนี้ไม่ใช่เสียแล้ว!

เพียงญานีนย่างเท้าเข้าไป กลิ่นแปลกๆ ชวนคลื่นเหียนก็ลอยมากระทบจมูก มันคือกลิ่นแห่งความตาย กลิ่นแห่งความเกลียดชังและความคั่งแค้น และบางทีอาจเป็นกลิ่นของความเจ็บปวดแสนสาหัสด้วยกระมัง หญิงสาวถึงกับเย็นยะเยือกไปทั่วแผ่นหลัง ด้วยรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องจากสายตาหลายคู่

ญานีนมองไปที่กลางห้อง มีตั่งไม้สักวางอยู่ ปูด้วยผ้าสีดำสนิท บนตั่งมีโต๊ะเล็กๆ ตั้งอยู่ และบนโต๊ะนั่นก็มีหัวกะโหลกสีดำสนิทวางอยู่ ทำเอาหล่อนสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนสำรวจห้องต่อ

บนตั่งนอกจากหัวกะโหลกนั่นแล้ว ยังมีกระถางธูปขนาดใหญ่ซึ่งมีก้านธูปที่ถูกจุดแล้วอัดแน่น รายล้อมด้วยรูปปั้นหลายตัว มีทั้งคนในชุดโจงกระเบนไม่ใส่เสื้อ หน้าตาน่ากลัว นางรำ สัตว์ดุร้ายอย่างควาย เสือ กระทิง นกยักษ์ สุนัขตัวใหญ่ ด้านหนึ่งมีด้ายสายสิญจน์สีขาววางบนพาน เทียนแท่ง และก้อนขี้ผึ้งที่ใช้แล้ว ใกล้ๆ กันเป็นขันสีเหลืองทองเก่าคร่ำคร่า นอกจากนี้ มุมหนึ่งของตั่งยังมีผอบวางเรียงกันอยู่หลายใบอีกด้วย

บนพื้นห้องติดกับตั่ง เวลานี้มีถาดทรงกลมวางอยู่ บนถาดเป็นกาบกล้วยตัดมุมให้มนทั้งสองด้านวางอยู่สองกาบ กาบแรกวางข้าว กับข้าว และขนมหวาน ส่วนอีกกาบมีรูปปั้นชายหญิงสองคู่วางเคียงกัน คู่หนึ่งหันหน้าเข้าหากัน อีกคู่หันหลังชนกัน

ญานีนรู้ได้ทันทีว่านั่นคือสิ่งที่จะทำให้อัคนีกลายมาเป็นของหล่อน หญิงสาวใจสั่นขึ้นมา นี่หล่อนจะต้องใช้มันเพื่อแย่งชิงสามีตัวเองจริงๆ นะหรือ

ใช่! อีกใจหนึ่งขานรับ

แต่ไม่ใช่เพื่อรักนะ เพื่อแก้แค้นต่างหากล่ะ!

คิดได้ดังนั้น ญานีนก็สูดลมหายใจยาวๆ อย่างให้กำลังใจตัวเองแล้วหันไปทางยาย ซึ่งมองหล่อนอยู่ก่อนแล้ว

“เอ่อ...ทำไมเมื่อก่อน หนูไม่เห็นของพวกนี้คะ”

“ฉันร่ายมนตร์บังตาไว้” ยายตอบสั้นๆ แล้วทรุดกายลงนั่งขัดสมาธิหน้าตั่ง แล้วสั่งหล่อนโดยไม่หันมามองหน้า

“นั่งลง”

“ค่ะ” ญานีนทำตามคำสั่งนั้นทันที

เจิมจันทร์จุดเทียน ตามมาด้วยธูป จากนั้นจึงหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาลนกับเทียน ญานีนมองเห็นไม่ถนัดเพราะยายยังนั่งหันหลังให้ ครู่ต่อมา ยายจึงหันหน้ากลับมาเผชิญหน้า ญานีนก้มลงมองมือของยายก็พบว่าเป็นแท่งเหล็กสี่เหลี่ยมที่ตอนนี้แดงปลั่งจากการถูกลนไฟ ไอร้อนจากแท่งนั้นแผ่มาถึงหล่อน

“เอามือแกมา”

“คะ?” ญานีนมองเหล็กร้อนๆ นั่นอย่างไม่แน่ใจระคนหวาดหวั่น

“จะ...จะให้ยิหวาทำอะไรนะคะ”

“ฉันต้องการคำยืนยันจากแกว่า แกตกลงจะเป็นทายาทของฉันอย่างไม่มีบิดพลิ้ว”

“ยิหวายืนยันค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงมั่นคง ยอมยื่นมือไปตรงหน้าแต่โดยดี ยายคว้าหมับจับมือหล่อนหงายขึ้น จากนั้นเอาเหล็กร้อนๆ นั้นทาบลงบนผิวหนังอ่อนๆ บริเวณฝ่ามือทันทีเสียงดังฉ่า ญานีนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส

“โอ๊ย!” หญิงสาวพยายามจะดึงมือออก แต่ไม่เป็นผล ยายยังจับมือหล่อนไว้แน่น ตอนนี้กลิ่นเนื้อไหม้ส่งกลิ่นตลบทั่วห้อง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านหนักหน่วง

“มันคือสัญญาระหว่างเรา” เจิมจันทร์เอ่ยเสียงเยือกเย็น

“ทุกครั้งที่แกเห็นแผลเป็นนี้ แกจะได้สำนึกว่าอย่าริคิดทรยศฉันอีก”

“ยิหวาไม่เคยคิดจะทรยศยายเลยนะคะ ฮือๆ” ญานีนเอ่ยเสียงขาดเป็นห้วงๆ น้ำตานองอาบสองแก้ม

เจิมจันทร์ยอมปล่อยมือญานีน วางเหล็กร้อนๆ นั่นลงข้างตัวแล้วหยิบห่อผ้าเล็กๆ ขึ้นมา โยนลงตรงหน้าหลานสาว

“เอาไปโรยแผลซะ จะทำให้เจ็บน้อยลง”

ญานีนหยิบมันขึ้นมา และแกะห่อผ้าออกด้วยมือเดียว ซึ่งก็เป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ในที่สุด หล่อนก็แกะสำเร็จ เมื่อผ้าเปิดออก ก็เห็นผงสีน้ำตาลเข้มวางอยู่ ไม่รอช้า รีบหยิบมันขึ้นมาโรยใส่แผลทันที ซึ่งก็เป็นอย่างยายบอก ความเจ็บปวดของหล่อนน้อยลงและไม่นานก็หายเป็นปลิดทิ้ง แต่รอยแผลเป็นยังคงเด่นชัด

“แกไปพักผ่อนได้ ฉันให้สายพิณทำความสะอาดห้องแกไว้ให้แล้ว คืนนี้ตอนห้าทุ่ม ค่อยมาหาฉันที่นี่อีกครั้ง”

“อ้าว เราไม่ทำตอนนี้เลยเหรอคะ”

ยายไม่ตอบอะไร นอกจากลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องพระ    ญานีนรีบลุกตามทันทีด้วยไม่อยากอยู่ในห้องนี้ตามลำพัง

ออกจากห้องพระมาก็เป็นห้องนอนของยาย หล่อนกวาดตามองไปรอบๆ สำรวจห้องนอนของยายอย่างสนอกสนใจอยู่ครู่ ก็เห็นว่ายายก้าวพ้นประตูออกไปก่อนแล้ว

“จะมาทำไมไม่บอกก่อน”

หล่อนได้ยินเสียงยายถามใครบางคนอยู่นอกห้อง น้ำเสียงไม่พอใจนัก

ญานีนขมวดคิ้ว เดินเข้าไปใกล้ประตูห้องอีกนิดเนื่องจากยายแง้มเอาไว้เล็กน้อย ตามปกติแล้วเรือนเสน่ห์จันทน์ไม่ค่อยต้อนรับแขกข้างนอก ที่แวะเวียนกันมาก็มักมีแต่ลูกๆ หลานๆ ที่เข้านอกออกในเรือนเสน่ห์จันทน์อยู่แล้ว และยายก็ไม่น่าจะตั้งคำถามแบบนี้กับลูกหลานตัวเอง ญานีนจึงค่อนข้างแปลกใจพอสมควร พยายามเพ่งมองไปนอกห้อง ผ่านช่องเล็กๆ ตรงบานประตูที่ยายเปิดแง้มไว้

“ยิหวาขอโทษค่ะคุณยาย ก็ยิหวาเห็นว่าปกติคุณยายไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้วนี่คะ”

ญานีนตาโตขึ้นมาทันที เพราะเจ้าของเสียงนั้นคือวิรัลยา!

เจ้าหล่อนมาทำไมที่นี่ ในเวลานี้ ที่สำคัญ เจ้าหล่อนต้องรู้แล้วสิว่ายายรู้ว่าหล่อนเป็นใคร ธนาคมจะไม่บอกเชียวหรือว่าคนที่อยู่เบื้องหลังหล่อนก็คือยาย คนที่ต่อสู้กับเขาในคืนนั้นก็คือยาย

“ผมเป็นคนชวนยิหวามาเองครับคุณยาย”

จู่ๆ ก็มีอีกเสียงแทรกเข้ามา ญานีนถึงกับใจสั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้น...เขาก็มาด้วยหรือ?

“วันนี้ครบรอบแต่งงานของเรา ผมอยากมากราบขอบพระคุณคุณยายที่เลี้ยงยิหวามา เธอเป็นภรรยาที่ดีของผมมากเลยครับ”

ญานีนหลับตาลงเพื่อข่มความเจ็บปวดและน้ำตาไม่ให้ตีตื้นขึ้นมา

‘ภรรยาที่ดีของผม’ คำนี้เขาไม่เคยเอ่ยให้หล่อนได้ยินมาก่อน แต่เวลานี้เขากลับพูดได้เต็มปากเต็มคำ ใช่สิ ผู้หญิงอย่างหล่อนจะเป็นภรรยาที่ดีของเขาได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่เคยรักหล่อน!

“อันที่จริง ฉันก็ไม่ได้เลี้ยงมันดีเท่าไหร่หรอก ยิหวาน่ะมันดีได้ด้วยตัวมันเอง”

“ผมยังเชื่อว่าคุณยายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ยิหวาเป็นยิหวาอย่างทุกวันนี้ครับ” เสียงของเขาดังขึ้นอีก ญานีนเพ่งมองหน้าเขาผ่านช่องบานประตู แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวเดียว หล่อนก็รู้ว่าเขากำลังยิ้มหน้าบาน

“นะคะ คุณยาย ยิหวาเองก็อยากขอบคุณคุณยายมากๆ เหมือนกัน ที่ตอนนั้นยอมให้ยิหวาแต่งงานกับพี่เดี่ยว ไม่อย่างนั้น ยิหวาคงไม่มีความสุขมากอย่างนี้” เสียงอ้อนๆ ของวิรัลยาดังขึ้นอีก “แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารนะคะ เราสองคนเตรียมมาแล้วค่ะ”

“แกเป็นคนรอบคอบอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ยิหวา”

“เอ่อ...ไม่ใช่ยิหวาหรอกค่ะ พี่เดี่ยวต่างหากคะ”

เสียงสนทนาเงียบลง พร้อมด้วยเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไป...

คราวนี้ญานีนไม่เสียเวลาคร่ำครวญหรือปล่อยตัวเองให้น้ำตารินไหลออกมา หล่อนก้มลงมองฝ่ามือที่มีรอยแผลเป็นของตัวเอง ถ้าน้ำตาจะหยดก็ให้หยดลงบนรอยแผลเป็นนั่น ที่ชีวิตของหล่อนต้องมาเป็นแบบนี้ก็เพราะคนเลวพวกนั้น ไม่อย่างนั้น หล่อนก็คงไม่ต้องมาพบเจอกับความเจ็บปวดแสนสาหัสเช่นนี้

ญานีนถอยไปนั่งที่เก้าอี้หวายซึ่งเป็นเก้าอี้ประจำตัวของยาย เห็นทีหล่อนคงจะกลับไปห้องนอนของตัวเองตอนนี้ไม่ได้แล้ว เนื่องจากทางเดินต้องผ่านโต๊ะทานข้าวที่พวกเขาจะนั่งทานกันเย็นนี้

พอนั่งลงบนเก้าอี้ของยาย สายตาหล่อนก็ปะทะเข้ากับภาพถ่ายของคุณตาเดชสิทธิ์ที่ติดอยู่กับผนังข้างห้องพอดี

ภาพนั้นคุณตายังอยู่ในวัยหนุ่มดูหล่อเหลาเอาการ ท่าทางเคร่งขรึมและสุภาพ หล่อนไม่ค่อยรู้เรื่องของคุณตานัก เพราะยายไม่เคยเล่าให้ฟัง แต่มักรู้จากการหลุดปากของสายพิณเล็กๆ น้อยๆ เช่นว่า สมัยก่อนคุณตาเป็นหนุ่มเนื้อหอม ฐานะ หน้าที่การงานก็ดี แต่คุณตาก็เลือกผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างยายเป็นคู่ครอง โชคร้ายคุณตาอายุสั้น หลังจากนั้นยายก็ครองตัวเป็นโสด ไม่แต่งงานกับใครอีกเลย

หล่อนก็คงเหมือนยาย ชาตินี้คงจะรักใครไม่ได้อีกแล้ว

ญานีนหลับตาลง จากที่ตั้งใจว่าจะเข้มแข็งกลับปล่อยน้ำตารินไหลออกมาช้าๆ ให้กับความอาภัพของตัวเอง...

 

 

** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com