ญานีนมีเลือดอาบไปทั้งร่าง คลานกระเสือกกระสนไปบนพื้นห้อง ทิ้งรอยเลือดไว้เป็นทาง
หญิงสาวมาหยุดลงตรงปลายเตียงซึ่งเจิมจันทร์นั่งอยู่ แล้วก้มลงกราบแทบเท้า ร่างทั้งร่างสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดเหลือแสน ก่อนเงยหน้าที่นองด้วยน้ำตาขึ้นมองอีกฝ่าย
“คุณยายขา ยิหวาขอโทษ ยกโทษให้ยิหวาด้วย ยิหวาสัญญาค่ะว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว แต่คุณยายอย่าทิ้งยิหวานะคะ ช่วยยิหวาด้วย”
เจิมจันทร์เงียบ มองเมินไปทางอื่น สีหน้าบึ้งตึง
“ที่ยิหวาทำไปเพราะอยากเป็นคนเก่งเร็วๆ อยากเก่งมากกว่านังหนึ่ง ยิหวาไม่เคยคิดจะทรยศยายเลยนะคะ” ญานีนกระเถิบเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อกอดขาผู้เป็นยายเอาไว้
“นะคะ คุณยาย อย่าทิ้งยิหวา ช่วยยิหวาแก้แค้นคนพวกนั้นด้วย พวกเขาทำให้ยิหวาเจ็บเหลือเกิน พวกเขาทำให้ยิหวาต้องกลายเป็นแบบนี้ ยิหวาสัญญาค่ะ แก้แค้นพวกเขาเสร็จเมื่อไหร่ ยิหวาจะเป็นทายาทให้คุณยายทันทีเลย”
ได้ยินคำว่าทายาท เจิมจันทร์ก็มีสีหน้าอ่อนลงมานิดหนึ่ง
จริงสิ ญานีนเป็นว่าที่ทายาทของนาง นางจำเป็นต้องทะนุถนอมเจ้าหล่อนให้ดีๆ หน่อย
“ได้ ฉันจะลองเชื่อใจแกอีกสักครั้ง พรุ่งนี้ตอนเย็นๆ แกไปหาฉันที่บ้าน ไปให้ตรงเวลาล่ะ ถ้าฉันจับได้ว่าแกตุกติกอีก แกได้ไปอยู่กับไอ้นพแน่” พูดจบนางก็ลุกออกจากห้องไป
ญานีนยังคงร้องไห้ กระทั่งยายพ้นประตูห้องไปแล้ว รอยเลือดเป็นทางบนพื้นก็ค่อยๆ จางหาย รวมถึงตามเนื้อตัวของหญิงสาวด้วย หากแต่ความเจ็บปวดจากไม้เรียวยังฝังอยู่ในจิตใจ และหล่อนก็กลัวยายมากขึ้นกว่าเดิมมากจริงๆ หล่อนนึกว่าตัวเองจะต้องตายด้วยไม้เรียวของยายเสียแล้ว ตายโดยที่ยังไม่ได้แก้แค้นหญิงโฉดชายชั่วสองคนนั้น
ญานีนเดินด้วยท่าทีอ่อนระโหยโรยแรงไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบจี้ที่ยายให้ไว้ขึ้นมาสวมลงบนลำคอระหงของตัวเองด้วยความเต็มใจมากขึ้น จากนั้นก็สบตาตัวเองในกระจก
เจ็บนี้ของหล่อนจะต้องไม่สูญเปล่า!
----------
กระแสข่าวผู้หญิงที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้บริหารของวายอีเอสทีวียังคงร้อนแรง เนื่องจากมี ‘ล็อกอินลึกลับ’ เข้าไปโหมไฟว่าตอนนี้วิรัลยากำลังพยายามแย่งคนรักเก่าคืนจากพี่สาวต่างมารดา ทั้งที่ตัวเองก็กำลังคั่วกับผู้ช่วยคนสนิทอยู่ด้วย
วันนี้เป็นวันหยุด ญานีนนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงด้วยความสบายใจ ไม่นานเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“เห็นที่ล็อกอินนั้นโพสต์หรือเปล่าคุณหนึ่ง...แจ้งความไหมครับ” ไอศูรย์นั่นเองที่เป็นคนโทร.มา น้ำเสียงของเขาร้อนรนไม่น้อย
“ปล่อยไปเถอะค่ะ ฉันขี้เกียจไปโรงพัก ใครจะพูดอะไรก็พูดไป”
“แต่ภาพลักษณ์คุณ...”
“เราอยู่เงียบๆ ไม่นานเรื่องก็คงซาค่ะ ฉันไม่อยากออกไปดิ้นให้เรื่องมันยิ่งดัง” หล่อนไม่ทำ เพราะมี ‘ข่าวใหญ่’ รออยู่แล้ว
ไอศูรย์ตามใจหล่อน ก่อนจะอึกๆ อักๆ จนหล่อนต้องออกปากถาม
“มีอะไรคะ จะพูดก็พูดมา มัวแต่อ้ำอึ้ง ฉันไม่รู้หรอกนะคะ”
“เอ่อ...ไปกินข้าวแล้วก็ดูหนังด้วยกันสักเรื่องไหมครับ” เขาพูดรัวเร็ว และญานีนก็ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจโล่งอก
หญิงสาวเผลอยิ้ม นี่เขาคงรวบรวมความกล้าอยู่นาน
“เอาสิคะ ฉันเองก็ไม่ได้ดูหนังนานแล้วเหมือนกัน ครั้งสุดท้ายก็กับพี่เดี่ยว...เอ่อ ก็นานมากๆ แล้ว”
“งั้นผมจองตั๋วเลยนะครับ แล้วจะให้ผมไปรับกี่โมงดีครับ” น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นเหลือเกิน
ตอนสายๆ ญานีนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินลงมาชั้นล่าง หล่อนพบบิดานั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น หญิงสาวเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ไม่ออกข้างนอกเหรอคะวันนี้”
“เดี่ยวกับยิหวาเขาจะมากราบน่ะ วันนี้วันครบรอบแต่งงานของ...แกกับเดี่ยว ว่าแต่แกเถอะ จะไปไหนอีกล่ะ” พ่อตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ ญานีนมองออกว่าพ่อดูตื่นเต้นอย่างไรพิกล
“นัดเพื่อนไว้ค่ะ” หล่อนว่าพลางทรุดกายลงนั่งตรงข้ามบิดา
“แต่รอพบพวกเขาก่อนก็แล้วกัน...เอางี้ดีกว่า หนูขอชวนเพื่อนมาทานที่นี่ด้วยก็แล้วกันนะคะ”
ไม่รอให้บิดาอนุญาต ญานีนก็จัดการโทร.หาไอศูรย์ทันที ซึ่งเขาก็ไม่ติดขัดอะไร คนที่ดูจะมีปัญหาคือวิญญู
“พ่อไม่อยากให้ไอซ์มาที่นี่ หรือกลัวว่าหนูกับยายนั่นจะตบกันคะ”
“ก็พวกแกมีปัญหากันทุกครั้งที่เจอกันนี่นา ฉันก็อดกังวลไม่ได้”
“สัญญาว่ารอบนี้จะไม่มี ตกลงไหมคะ”
“ฉันมีสิทธิ์ปฏิเสธเหรอ” วิญญูตอบเสียงลอดไรฟัน ญานีนหัวเราะด้วยความสบายอกสบายใจ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีเสียงรถแล่นเข้ามาในคฤหาสน์ของวิญญู
----------
อัคนีกับวิรัลยาชะงัก เมื่อลงจากรถแล้วพบว่าไม่ใช่แค่วิญญูที่ยืนรอต้อนรับ
“แม่วาล่ะครับพ่อ” อัคนีเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ พร้อมกับชะเง้อมองหาวารุณ เพราะไม่เห็นยืนรออยู่ด้วยทั้งที่ก็กลับจากต่างประเทศแล้ว
“แม่ไม่สบายน่ะ พักผ่อนอยู่บนห้อง แต่รู้แล้วว่าลูกๆ จะมา ฝากพ่ออวยพรให้ลูกๆ ด้วย” วิญญูตอบไม่เต็มเสียงนัก
“ผมขอเยี่ยมท่านหน่อยได้ไหมครับ”
ได้ยินคำถามนั้น วิญญูกับวิรัลยาก็พร้อมใจกันมองไปทางญานีนอัตโนมัติ
“แม่ต้องการพักผ่อนค่ะ ไม่อยากให้ใครรบกวน” ญานีนจึงต้องเป็นคนตอบ
“เป็นหนักมากเหรอครับ ให้หมอตรวจหรือยังครับ” อัคนีถามขึ้นอีก
“ถามแบบนี้แปลว่าคิดว่าพวกเราไม่สนใจแม่งั้นเหรอคะ” ญานีน ย้อนถามอย่างต้องการหาเรื่อง หล่อนปรายตาไปทางวิรัลยาแวบหนึ่งก่อนเอ่ยต่อ
“ฉันไม่ใช่คนอกตัญญู แม่ป่วยก็ต้องดูแลอย่างดี ชีวิตแม่ก็สำคัญไม่น้อยกว่าชีวิตตัวเอง ใช่ไหมยิหวา”
“ไม่รู้สิ แม่ฉันฆ่าตัวตายไปก่อนที่ฉันจะได้ตอบแทนท่านนี่” วิรัลยาเน้นคำว่า ‘ฆ่าตัวตาย’ เพื่อต้องการเยาะเย้ยญานีน
“วันนี้เป็นวันดี หยุดหาเรื่องกันสักวันได้ไหม” วิญญูดุลูกทั้งสอง
สองสาวไม่เอ่ยอะไรอีก นอกจากต่างคนต่างมองเมินไปทางอื่นเสีย อัคนีอาศัยจังหวะนั้นเปิดท้ายรถเพื่อหยิบตะกร้าผลไม้ออกมา คนรับใช้ที่อยู่แถวนั้นปราดเข้ามาช่วย ทั้งหมดจึงเคลื่อนขบวนเข้าด้านใน
มาถึงห้องนั่งเล่น วิญญูก็ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ ญานีนนั่งตัวถัดไป ส่วนอัคนีกับวิรัลยาลงนั่งกับพื้นตรงหน้า เพื่อไหว้ขอบคุณที่ท่านทำให้งานแต่งงานเกิดขึ้น
“ถ้าพ่อไม่บังคับผมกับยิหวาในตอนนั้น เราคงไม่ได้มีความสุขกันขนาดนี้ ขอบคุณมากนะครับพ่อ พ่อไม่แค่ให้ชีวิตใหม่ผม แต่ยังให้ชีวิตที่สมบูรณ์แก่ผมด้วย ชีวิตผมสมบูรณ์ขึ้น เพราะมียิหวา”
ชายหนุ่มหันไปมอง ‘ญานีน’ ที่นั่งยิ้มหน้าแดงอยู่ข้างๆ แต่ที่อัคนีไม่เห็นก็คือ ‘ญานีน’ ส่งสายตาหยามเยาะไปให้ ‘วิรัลยา’ ส่วน ‘วิรัลยา’ ทำหน้าเฉยๆ คล้ายไม่ใส่ใจ
วิญญูพูดไม่ออก จะอวยพรกลับได้อย่างไรในเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าที่นั่งอยู่ตรงหน้าเวลานี้ไม่ใช่ญานีน
“จะไม่อวยพรพวกเราเหน่อยเหรอคะพ่อ” วิรัลยาสวมบทบาทเป็นญานีนได้แนบเนียนนัก หล่อนมองผู้ให้กำเนิดด้วยแววตาตัดพ้อกลายๆ
“ก็...ขอให้เดี่ยวกับยิหวารักกันไปอย่างนี้ ดูแลกันไปอย่างนี้นะ อยู่ด้วยกันทุกวันก็มีเรื่องให้เรียนรู้กันทุกวัน ขอให้เรียนรู้ด้วยความสุข อย่าทิฐิ อย่าอีโก้ พ่อดีใจที่วันดีๆ ของเราแล้วยังนึกถึงพ่อ”
“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ทั้งคู่เอ่ยพร้อมกัน แล้วก้มลงกราบเท้าท่าน
แต่แล้วพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อปรากฏเท้าเรียวของใครคนหนึ่งตรงนั้นด้วย เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเจ้าของเท้ายืนยิ้มอยู่
“ฉันก็มีส่วนทำให้พวกคุณได้เสวยสุขด้วยกันนะ กราบฉันด้วยก็ถูกแล้ว”
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **