วิญญูรู้จักจิรัญญาครั้งแรกจากการแนะนำของเพื่อนคนหนึ่ง ตอนนั้นหล่อนเพิ่งเลิกรากับสามีคนที่สอง ซึ่งเพื่อนบอกว่าเพราะผู้ชายเจ้าชู้มาก แถมยังมีทำร้ายร่างกายด้วย เขาได้แต่มองหล่อนด้วยความเห็นใจ หล่อนเป็นคนสวยมาก แต่ก็เป็นความสวยที่ดูเศร้าเสียจนเขาอยากเป็นคนทำให้ความเศร้านั้นหายไป เขาเริ่มต้นจีบหล่อน ท่ามกลางเสียงคัดค้านของคนในครอบครัว
‘หย่าผัวคนแรกก็ยังทำใจยอมรับได้นะ นี่ผัวสอง ลองคิดเอาเองว่าเป็นผู้หญิงแบบไหน’ นั่นคือคำพูดของพี่สาวคนโตของเขาซึ่งออกตัวคัดค้านแรงกว่าใครเพื่อน
ส่วนเพื่อนๆ แบ่งเป็นสองฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เชียร์ด้วยเห็นใจหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่ดูเป็นคนอมทุกข์ กับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งฝ่ายหลังนี่ถึงขั้นไปขุดคุ้ยข้อมูลหล่อนมาให้ฟัง
‘ผัวคนแรกเป็นนักร้องในผับ ผัวคนที่สองเป็นพนักงานบริษัทกระจอกๆ แห่งหนึ่ง เธอเห็นอะไรจากบรรดาผัวของเจ้าหล่อนไหม สองคนนี้มีความเหมือนกันคือ ไม่มีอนาคต ไม่มีความมั่นคง นั่นแสดงว่าเจ้าหล่อนเป็นคนขาดสติ ขาดความรอบคอบ ขาดวิจารณญาณ ซึ่งทำให้ชีวิตคู่พังลง’
แต่เขาในตอนนั้นเชื่อมั่นในตัวเองมากว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงหล่อนได้ เขามั่นใจว่าความรักที่เขามี มันมากพอที่จะทำให้เขาใจเย็นและให้เวลาหล่อนได้ทั้งชีวิต...แต่เขาคิดผิด!
จิรัญญาอาการหนักกว่าที่เขาและคนอื่นๆ รับรู้มากนัก หล่อนเป็นพวกต้องการความรักแบบไม่มีที่สิ้นสุด และหลับหูหลับตาเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างไม่มีวันหมด เหนือกว่านั้นคือหล่อนเป็นพวกขี้ระแวงอย่างร้ายกาจ หล่อนมักจะขอตามเขาไปที่ทำงาน เพื่อแสดงตัวและส่งสายตาจิกกัดพนักงานหญิงสวยๆ อันทำให้เขาและลูกน้องต่างอึดอัดลำบากใจ ตอนนั้นเองที่วารุณก้าวเข้ามา วารุณผู้สวย สง่า เยือกเย็น อยู่ด้วยแล้วสบายตาสบายใจ เขาจึงไม่ลังเลที่จะมีหล่อนเป็นบ้านอีกหลัง ซึ่งหล่อนก็อยู่ในที่ของหล่อนมาด้วยดี จนกระทั่งมีวิรัลยา...
วารุณเริ่มเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองเพื่อลูก ร้อนถึงเขาที่ต้องใช้เวลาตัดสินใจเรื่องนี้อยู่นานพอสมควร เพราะตอนนั้นจิรัญญาก็เพิ่งคลอดญาตาวีเช่นกัน ถึงเขาจะเบื่อหน่ายในตัวจิรัญญา แต่เขาก็จำต้องให้เกียรติเธอในฐานะเมียหลวง อีกอย่าง เขาเริ่มรู้สึกว่าวารุณเรียกร้องจนมากเกินไป ไม่เพียงอยากเปิดเผยตัวและอยากอยู่บ้านหลังใหญ่ของเขา แต่วารุณต้องการให้เขาหย่าจากจิรัญญาด้วย ช่วงเวลาคาราคาซังนี่เอง จิรัญญาก็ตั้งท้องญานีน อันทำให้วารุณโกรธและน้อยใจเขามาก หล่อนเคยจะหอบลูกหนีเพราะรู้ว่าเขารักวิรัลยาลูกของหล่อนมาก ส่วนญาตาวี เขาไม่ค่อยได้อุ้มชูเลี้ยงดู เพราะเจิมจันทร์แม่ยายของเขาไม่ให้เขาแตะ สายใยผูกพันระหว่างเขากับวิรัลยาจึงมีมากกว่าลูกสาวของจิรัญญา
ในที่สุด ด้วยความกลัวจะไม่ได้อยู่เลี้ยงดูวิรัลยา กอปรกับเจิมจันทร์ก็ไล่เขาออกจากบ้านเช้าเย็น เขาก็ตัดสินใจหย่าจากจิรัญญา โดยที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กอดญานีน...ลูกสาวคนเล็กของเขาด้วยซ้ำ แล้วมาสร้างบ้านหลังใหม่อยู่กับวารุณและวิรัลยา ซึ่งก็คือคฤหาสน์ที่เขาอยู่ตอนนี้นั่นเองเนื่องจากไม่อยากให้สองแม่ลูกต้องมาวุ่นวายกับคนในบ้านหลังใหญ่ของเขา
ถึงกระนั้น วารุณก็ไม่ได้ใจร้ายนัก หล่อนยอมให้เขาพาญาตาวีกับ ญานีนมาเล่นกับวิรัลยาที่คฤหาสน์ พยายามที่จะให้ลูกสาวทั้งสามคนของเขาสนิทสนมกัน เรื่องนี้วารุณเป็นคนแนะนำเขาเอง ซึ่งเขาก็เห็นด้วยและซึ้งใจอย่างมากที่วารุณมีน้ำใจต่อลูกสาวทั้งสองของจิรัญญามากขนาดนี้
แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาวาดฝันไว้ว่า ลูกสาวทั้งสามคนของเขาจะรักใคร่กลมเกลียวกัน เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน...กลับตรงกันข้าม
ลูกๆ ของเขาไม่ถูกกันเลย โดยเฉพาะวิรัลยากับญานีน!
‘พ่อมีนังยิหวาทีหลังหนึ่ง แม่บอกว่ามันทำให้พ่อไม่ยอมแต่งงานกับแม่ หนึ่งเกลียดมัน’
เขาได้แต่นิ่งอึ้ง พยายามเตือนวารุณหลายครั้งไม่ให้ใส่ความคิดนี้ให้ลูก แต่ไร้ผล วิรัลยายังคงจงเกลียดจงชังญานีน หาเรื่องกลั่นแกล้ง ญานีนก็เอาแต่ร้องไห้ จนเขารำคาญใจในความไม่สู้คนของลูกสาวคนเล็ก หนักเข้าเขาก็ขี้เกียจสนใจ
มาวันนี้ วิญญูจำต้องยอมรับด้วยความละอายแก่ใจว่า เขาคือต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ถ้าเขาจริงจังและเข้มงวดกับวิรัลยาไม่ให้แกล้งหาเรื่องญานีนและญาตาวี วิรัลยาก็คงไม่ลำพองใจคิดว่าตัวเองจะทำอะไรกับญานีนก็ได้แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้!
‘หนึ่งอยากได้หุ้นของยายยาหยีและยิหวาทั้งหมด แม่คิดว่าพอจะมีโอกาสไหมคะ’
วันหนึ่งเขาบังเอิญได้ยินวิรัลยาคุยกับวารุณ วันนั้นเขาไม่สบายเลยนอนพักอยู่บ้าน
‘ทำไมจะไม่ได้ล่ะลูก ไปขอคุณพ่อ เดี๋ยวท่านก็หาทางบีบให้ ทีนี้ รวมกับหุ้นของแม่ หุ้นที่ตาเดี่ยวจะให้หลังจากแต่งงาน ขอจากพ่ออีกนิดหน่อย ลูกก็มีหุ้นพอๆ กับพ่อ เผลอๆ จะมากกว่า ทีนี้ล่ะ ตำแหน่งผู้บริหารจะไปไหนเสีย’
‘ค่ะ ทีนี้แหละ หนึ่งก็จะบริหารสถานีในแบบที่หนึ่งต้องการ ไม่เอาจับฉ่ายแบบที่พ่อทำหรอก ยังไงก็สู้ช่องดังๆ เขาไม่ได้’
เขาตัวแข็งนิ่งขึง นี่...ลูกที่เขารักมากที่สุดคิดอย่างนี้จริงๆ หรือ?
‘แม่ก็เห็นด้วยกับลูก พ่อของลูกดีทุกอย่าง แต่บางทีก็หัวดื้อตามประสาคนเคยประสบความสำเร็จมาก่อน แม่ว่าคงถึงเวลาต้องผลัดเปลี่ยนผู้บริหารแล้วล่ะ’
เขาเดินออกจากตรงนั้นไปเงียบๆ จมอยู่กับความผิดหวังเสียใจในตัววารุณและวิรัลยาอยู่พักใหญ่ และคิดหาทางออกสำหรับเรื่องนี้
แน่นอนเขาบุ่มบ่ามไม่ได้ ไม่อย่างนั้นไม่เพียงเขาที่เดือดร้อน แต่ยังมีญานีนด้วยอีกคน ลูกสาวที่แม้เขาไม่ได้รักมาก แต่ก็ไม่เคยทำอะไรให้เขาเสียใจหนักขนาดนี้ เขาควรจะปกป้องลูกสาวคนเล็กของเขาบ้าง
เหตุนี้เขาถึงบังคับให้ญานีนแต่งงานกับอัคนี
ทั้งเพื่อให้อัคนีปกป้องญานีน ทั้งเพื่อดัดหลังวิรัลยากับวารุณ!
----------
“นึกยังไงถึงชวนพี่ไปทานข้าวบ้านพ่อจ๊ะ” อัคนีเอ่ยถามขึ้นในเย็นวันนั้นเมื่อเขากับภรรยาขึ้นรถแล้วเรียบร้อย และกำลังมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของวิญญูด้วยกัน
“แล้วนี่เจ้าของบ้านจะต้อนรับเราหรือเปล่าก็ไม่รู้” เขาหมายถึง ‘วิรัลยา’ นั่นเอง
“พ่อต่างหากค่ะที่เป็นเจ้าของบ้าน” วิรัลยาตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“จริงๆ ยิหวาอยากไปเยี่ยมน้าวารุณค่ะ คุณพ่อบอกว่าคุณน้ากลับ มาจากเมืองนอกแล้ว แต่เอาจริงๆ นะคะ ยิหวารู้สึกว่าคุณพ่อโกหกเรื่องที่ว่าคุณน้าไปเมืองนอก”
รถถูกเบรกกะทันหัน ก่อนที่คนขับจะหันมามองหน้าหล่อนอย่างไม่พอใจนัก “นี่ยิหวาพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า”
“ก็พูดสิ่งที่ยิหวารู้สึกไงคะ ทำไมพี่เดี่ยวต้องทำท่าโกรธขนาดนั้นด้วย”
“พี่รู้ว่ายิหวาน้อยใจพ่อที่ที่ผ่านมาท่านทำเหมือนไม่ใส่ใจยิหวากับยาหยี แต่ยิหวาก็ไม่ควรจะมองท่านในแง่ร้ายขนาดนี้ พ่อมีเหตุผลอะไรที่จะต้องโกหกเรื่องแม่วา”
“ก็มันแปลกๆ นี่คะ พี่เดี่ยวไม่รู้สึกบ้างเหรอ”
“รู้สึกสิ พี่รู้สึกมาสักพักแล้ว...”
“นั่นไง แล้วจะดุยิหวาทำไมคะ” วิรัลยาทำหน้างงๆ ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่น
“คนที่แปลกๆ คือยิหวาต่างหากล่ะ” แล้วเสียงราบเรียบของอัคนีก็ดังขึ้น นิ้วเรียวที่กำลังสไลด์หน้าจอโทรศัพท์มือถือชะงักเล็กน้อย
“ยิหวาก็แปลกมาตั้งแต่อยู่โรง’บาลแล้วนี่คะ พี่เดี่ยวก็รู้” ถึงกระนั้นหล่อนก็ทำเสียงให้เป็นปกติได้ ความคิดที่ว่าหล่อนปลอมเป็นญานีนไม่น่า อยู่ในหัวเขาอยู่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่อัคนีจะรู้ได้ง่ายๆ ด้วย ที่ผ่านมาขนาด ญาตาวี ซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของญานีนก็ยังจับไม่ได้เลย แม้หล่อนจะมีหลุดความเป็นตัวเองออกมาให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม แต่หล่อนก็อ้างได้ว่าเป็นอาการของคนความจำเสื่อม
“ใช่ พี่รู้ พี่เข้าใจ แต่สิ่งที่พี่ไม่เข้าใจก็คือ ยิหวาเป็นคนความจำเสื่อมนะ ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ พี่รู้สึกมาสักพักแล้วว่าทุกลมหายใจเข้าออกของยิหวามีแต่ความแค้นที่มีต่อหนึ่งกับพ่อและแม่วา...ที่ชวนพี่มาบ้านพ่อก็เพราะอยากมาหาเรื่องหนึ่งเขาอีกใช่ไหม ทะเลาะกันที่ทำงานยังไม่พอเหรอ”
“ที่ทำงานเขาไม่เรียกทะเลาะหรอกค่ะ เพราะยิหวายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ ยายนั่นพูดจาถากถางเหน็บแนมยิหวาสารพัด และที่ยิหวาชวนพี่มาบ้านพ่อก็เพื่อต้องการรู้เรื่องน้าวารุณจริงๆ” วิรัลยาพยายามอธิบายอย่างใจเย็น แต่ก็รู้ว่าไร้ผล เพราะเขายังทำหน้าไม่เชื่ออยู่ดี
“พ่อจะโกหกเราเพื่ออะไรเหรอ” อัคนีถามขึ้นอีก
“ก็...”
“กลับดีกว่า อย่าทำอะไรบ้าๆ แบบนี้อีกเลย” พูดจบ เขาก็เลี้ยวรถกลับบ้านตัวเองทันที โดยไม่ฟังเสียงทัดทานของหญิงสาว
วิรัลยาจึงได้แต่ทำท่าฮึดฮัดขัดใจและผิดหวัง เนื่องด้วยหล่อนนัดธนาคมเอาไว้ ให้เข้าไปช่วยมารดา แต่เขาบอกว่าจะเดินดุ่มๆ เข้าไปในบ้านไม่ได้ เจ้าที่ไม่อนุญาต จำเป็นต้องมีคนในบ้านพาเข้าไป และหล่อนนี่แหละที่จะพาเขาเข้าไป แต่ดูอัคนีสิ ทำแผนหล่อนล่มไม่เป็นท่า!
----------
เจิมจันทร์เองก็ผิดหวังเช่นกัน เพราะพรายนพรายงานไว้ว่าวิรัลยาวางแผนจะไปที่คฤหาสน์ของวิญญูเพื่อช่วยวารุณ ซึ่งงานนี้หล่อนต้องพา ‘ผู้ช่วย’ ของหล่อนไปด้วยแน่
หญิงชราโกรธอัคนีที่บังคับพาวิรัลยากลับจนแทบอยากจะสั่งสอนให้หลาบจำ หากแต่ก็ต้องอดกลั้นไว้ ต้องให้ญานีนทำ ถึงจะสะใจ
นึกถึงญานีน นางก็เพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก
เจ้าพรายทองดีมันหายหัวไปอีกแล้ว!
นางหลับตาลงเข้าสมาธิอย่างรวดเร็ว สวดเรียกวิญญาณที่อยู่ในจี้ของญานีนให้ออกมา สักพัก ร่างของเด็กชายวัยราวเก้าขวบซึ่งอยู่ในชุดโจงกระเบน ไม่ใส่เสื้อก็ปรากฏขึ้น
“มึงหายหัวไปไหน!” หญิงชราตวาดลั่น
‘หลานผิดไปแล้ว’ พรายทองดีตอบกลับเหมือนเดิม ตามมาด้วยทรุดกายลงหมอบกับพื้นและร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเดิมอีกเช่นกัน
แต่คราวนี้เจิมจันทร์ไม่เสียเวลาฟังคำแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น นางคว้าไม้เรียวอาบอาคมไว้ในมือได้ก็ฟาดลงบนแผ่นหลังของพรายทองดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในเมื่อนางยังทำกับอัคนีไม่ได้ ก็ต้องหาที่ระบาย เรียกเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
‘โอ๊ย อย่าตีหลานเลย หลานผิดไปแล้ว’
“รู้ว่าผิดก็ยังจะทำซ้ำซาก มึงมันผีตอแหล! กูบอกแล้วใช่ไหมว่ามึงต้องคอยรายงานเรื่องยายยิหวากับกู อย่าให้กูรู้นะว่ามึงคิดทรยศกู กูไม่เอามึงไว้แน่!”
‘แต่หลานไม่เคยคิดทรยศยายจริงๆ นะจ๊ะ หลานไม่มีอะไรจะรายงานจริงๆ คุณหนูยิหวาไม่ค่อยใส่จี้...’
“มึงว่าไงนะ!”
‘จริงๆ จ้ะยาย คุณหนูถอดหลานทิ้งไว้ที่บ้านตลอด ยกเว้นวันไหนที่จะพบยายถึงใส่จ้ะ’
เจิมจันทร์ถึงกับชะงักงัน จากที่กำลังโมโหพรายเด็กตรงหน้า นางก็เบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิมคล้ายนึกอะไรออกอีก ขณะที่วิญญาณหนูน้อยที่ก้มหน้าอยู่ หยุดร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้ว ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเจิมจันทร์
สายตาที่ลอบส่งไปให้หญิงชรา มีแต่ความเกลียดชังเต็มพิกัด ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างพอใจอะไรบางอย่าง!
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **