ตอนแรกอัคนีคิดไว้ว่าเช้าวันนี้ อาจต้องมีการเรียกประชุมฝ่ายบริหารด่วน เพราะสิ่งที่ ‘วิรัลยา’ ทำนั้น นับว่าเป็นการทำลายภาพพจน์และภาพลักษณ์ขององค์กรมากพอสมควร แต่ทว่าชายหนุ่มกลับคิดผิด วิญญูไม่เพียงไม่เรียกประชุม แต่เขาไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องนี้แม้แต่คำเดียว
“คุณพ่อรักหนึ่งมาก ทำอะไรก็คงเห็นดีเห็นงามไปหมด”
วิรัลยาตัวจริงเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
“ท่านคงมีเหตุผลของท่านน่ะ ท่านไม่สน เราก็ไม่ต้องสน” อัคนีตัดบท ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในห้องทำงานของญานีน อัคนีแวะมาส่งภรรยาก่อนถึงค่อยไปที่ห้องของตน
“ไม่สนไม่ได้หรอกค่ะ มันเสียมาถึง...เราด้วย พี่เดี่ยวจะอยู่เฉยก็อยู่ไปค่ะ แต่ยิหวาไม่เฉย” พูดจบหญิงสาวก็ทำท่าจะเดินออกจากห้อง เป็นจังหวะเดียวกับที่ณัฐยาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“มีอะไรคะ พี่ณัฐ ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“คุณหนึ่งเรียกคุณยิหวาไปพบค่ะ”
ได้ยินคำตอบนั้น สองสามีภรรยาก็หันมาสบตากัน ก่อนที่วิรัลยาจะก้าวฉับๆ ออกจากห้องไป หึ หล่อนก็อยากรู้เหมือนกันว่ายายนั่นจะแผลง ฤทธิ์อะไรอีก!
อัคนีได้แต่มองตามหญิงสาวไปด้วยสีหน้าหนักใจ
“ทุกอย่างมันดูผิดที่ผิดทางยังไงก็ไม่รู้” เขาพึมพำ
“พี่เองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันค่ะ” ณัฐยาได้ยินก็หลุดปากออกมา
อัคนีหันมาสบตาเพื่อนรุ่นพี่ด้วยแววตาครุ่นคิด ส่วนณัฐยาเป็นฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่แทน
----------
วิรัลยาเดินเร็วๆ เข้าไปในห้องทำงานของหล่อน ที่ตอนนี้ญานีนในใบหน้าของหล่อนกำลังนั่งวางมาดจองหองพองขนอยู่ โดยมีไอศูรย์ยืนเยื้องไปข้างหลังเล็กน้อย
“เรียกฉันมาพบ มีอะไร” หล่อนกระชากเสียงถาม
“ฉันได้ข่าวว่าช่วงที่ฉันนอนป่วย เธอเสนอหน้ามาคอมเมนต์งานส่วนของฉัน”
“ใช่ ก็คนของเธอวางแผนงานห่วยเอง”
“ไอศูรย์เป็นผู้ช่วยของ...วิรัลยา...มานาน ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่มาตลอด เขาห่วยก็แสดงว่าเจ้านายของเขาห่วยเหมือนกัน...” ญานีนลุกขึ้นประจันหน้าศัตรูของตน
“ฉันเชื่อในเซนส์ของทีมงานของฉัน ฉะนั้น ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนที่พวกเขาวางแผนกันมา”
“แต่ช่องจะเปลืองเงินโดยใช่เหตุนะ เธอก็รู้ว่าการเงินของช่อง...”
“เชื่อสิว่าพ่อต้องยอม พ่อยอมฉันทุกอย่างอยู่แล้ว” ญานีนเอ่ยเสียงเยาะ มองหน้าอีกฝ่ายอย่างท้าทาย
“ยิ...หนึ่ง!” วิรัลยาเรียกชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงขัดใจ
“ช่วยเป็นมืออาชีพมากกว่านี้ได้ไหม จะแข่งกับฉันก็ช่วยแข่งอย่างมีสติหน่อย”
“จุ๊ๆๆ นี่เป็นคำพูดที่ฉันควรจะพูดกับเธอมากกว่านะ ญานีน...อย่าลืมว่าฉันเป็นถึงผู้อำนวยการฝ่ายข่าว ส่วนเธอก็แค่เจ้าหน้าที่คัดเลือกละคร อย่าบังอาจมาสอนฉันหน่อยเลย”
วิรัลยากำมือแน่น พยายามระงับอารมณ์และน้ำเสียงไม่ให้แข็งเกินไป “ตกลง เรียกฉันมาด้วยเรื่องแค่นี้ใช่ไหม”
“ใช่ ฉันอยากขอบใจเธอที่อุตส่าห์เข้ามาเจ๋องานของฉัน แย่งพี่เดี่ยวไปยังไม่พอ คิดจะแย่งงานฉันอีกด้วยงั้นสิ...เอาละ เธอกลับไปได้แล้ว แล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีๆ อย่าให้ฉันต้องลงไปช่วยดูล่ะ”
วิรัลยาสะบัดหน้าจากไปท่ามกลางแววตาหลากหลายความรู้สึกของเหล่าพนักงาน มีทั้งสมเพช ทั้งเยาะ และมีบางสายตาที่ว่างเปล่าไม่แสดงความรู้สึกอะไร
ทางด้านญานีน พอวิรัลยาหายไปจากสายตา หล่อนก็หันไปหาไอศูรย์
“ผ่านไหมคะไอซ์” ถามเสียงเบาเพราะไม่อยากให้พนักงานข้างนอกได้ยิน
ไอศูรย์ยกนิ้วให้หล่อน “คุณดูมั่นใจขึ้นมาก พูดจาฉะฉานขึ้น ว่าแต่คุณจะกลับไปรันงานตามแผนเดิมจริงๆ เหรอครับ ผม เอ่อ หมายถึงเรื่องพิธีกรนอก...”
“จริงสิคะ เราหาคนเก่งๆ ดังๆ เข้ามา แล้วเลือกคนของเราสักคนไปนั่งเล่าข่าวด้วย ให้เรียนรู้จากมืออาชีพ อยู่ๆ ให้ไปทำเองเลย รับรองว่าไม่รอดหรอกค่ะ ไอซ์ไปเลือกนักข่าวของเรามาให้ฉันพิจารณาสักสี่ห้าคนนะคะ ฉันจะเอาไปเสนอคุณพ่อ”
“ได้ครับ”
ไอศูรย์รับคำ และทำท่าจะผละจากไป ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้
“เอ่อ...เมื่อคืนนี้...คุณกับหมอนั่น...หายไปไหนมาเหรอครับ ผมตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ”
“เอาไว้ฉันพร้อมกว่านี้ ฉันจะเล่าให้ฟังนะคะไอซ์ ฉันรับรองว่าจะเล่าทุกอย่างอย่างไม่ปิดบังคุณเลย แต่ตอนนี้ขอให้รู้ไว้ว่า มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดหรอกค่ะ ไม่เลย”
เท่านั้นเอง เรียกรอยยิ้มกว้างจากชายหนุ่มตรงหน้าได้ทันใด เขาเดินยิ้มตาเป็นประกายออกไป ญานีนมองตามไปด้วยความสงสารเขาที่ต้องกลายเป็นหนึ่งในอาวุธที่หล่อนใช้รบกับวิรัลยา
แต่ก็ช่วยไม่ได้ คนเริ่มรบคือวิรัลยาเจ้านายของเขาเองนี่นา หล่อนก็แค่ผู้ถูกท้าทายและผู้ถูกกระทำเท่านั้น
คิดได้อย่างนั้น ญานีนก็สบายใจกับเรื่องของเขามากขึ้น และหันกลับมาครุ่นคิดเรื่องการแก้แค้นวิรัลยาและอัคนีต่อ
----------
วิรัลยาเคาะประตูห้องของบิดาแรงๆ และไม่รอให้ท่านอนุญาต หล่อนเปิดประตูเข้าไปเลย นั่นทำให้วิญญูต้องเงยหน้าจากกองเอกสารมาส่งสายตาตำหนิ
“ตอนนี้แกคือยิหวา ช่วยทำตัวให้สมกับเป็นมันหน่อย ยิหวาไม่เคยเสียมารยาทแบบนี้”
“นี่ไม่ใช่เวลาเลคเชอร์วิชามารยาทนะคะพ่อ ทำไมพ่อต้องยอมยิหวามากขนาดนี้ พ่อทำเหมือนกลัวมัน ทั้งที่พ่อก็รู้ว่าไม่มีใครทำอะไรเราได้”
“ทางเขาก็ไม่มีใครทำอะไรได้เหมือนกัน ถ้าเขาไม่เก่งจริงก็คงทำเหมือนที่ลูกทำไม่ได้ และถ้าคนของลูกเก่งจริง เมื่อคืนก็ต้องจัดการยิหวาได้สิ ที่สำคัญ เขาต้องรู้สิว่าแม่แกกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่”
“อะไรนะคะ!? แม่กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา แล้วทำไมพ่อไม่บอกหนึ่ง”
วิญญูไม่ตอบอะไร แต่มองไปด้านหลังลูกสาวด้วยแววตาหวาดกลัว วิรัลยาหันขวับตามสายตา หากไม่พบอะไร
“มีอะไรคะ”
“คนของยิหวาอยู่ตรงนั้น คอยมองพ่ออยู่ตลอด พ่อแทบกระดิกตัวทำอะไรไม่ได้เลย พ่อเคยลองดื้อ ทำอย่างอยากทำแต่กลับปวดท้องเสมอ” วิญญูลดเสียงให้เบาลงทั้งที่รู้ว่า เขาไม่อาจซ่อนเร้นอะไรจากสายตาหรือการได้ยินของวิญญาณรับใช้ของเจิมจันทร์ได้เลย
“หนูจะเรียกเดฟมาช่วย หนูไม่มีวันปล่อยให้สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดสูญเปล่าหรอกค่ะ หนูต้องทรมานตอนเปลี่ยนหน้า อดทนฝึกความเป็นยายยิหวาอยู่ตั้งครึ่งปี ต้องแกล้งเล่นละครว่าไม่ถูกกับพ่อกับแม่เพื่อตบตาคนอื่น” พูดถึงตรงนี้ หญิงสาวก็นึกถึงที่ตัวเองต้องแกล้งทำเป็นน้อยใจบิดา ทะเลาะกับบิดา เหน็บแนมมารดา ก็เพื่อความเป็นญานีนที่สมบูรณ์
“หนูต้องยอมทนนอนบนเตียงที่ยายยิหวานอน แล้วนี่หนูต้องทนให้มันเรียกหนูไปด่าต่อหน้าคนอื่นอีกเหรอคะ”
“หนึ่ง หนึ่งพูดเหมือนยิหวาเขาไม่ใช่ลูกพ่องั้นแหละ หนึ่งเจ็บปวดเสียใจ ยิหวามันก็เจ็บปวดเหมือนกัน”
“พ่อ! นี่ไม่ใช่เวลามาสวมบทพ่อดีเด่นนะคะ พ่อเลือกที่จะอยู่ข้างหนึ่งกับแม่ตั้งแต่แรก แล้วเกิดจะมาสงสารยายนั่นตอนนี้เนี่ยนะคะ”
“แต่หนึ่งก็รู้ว่าพ่อไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรก หนึ่งกับแม่ใช้เล่ห์กลกับพ่อ” วิญญูลุกขึ้นจากเก้าอี้มาประจันหน้า และนั่นทำให้ลูกสาวเงียบไป
สิ่งที่บิดาพูดนั้นไม่ผิดเลย!
ตอนที่วิญญูรู้ว่าวิรัลยาและวารุณกำลังคิดจะทำอะไร วิญญูนั้นคัดค้านทันที วารุณจึงต้องให้ธนาคมช่วยด้วยการใช้ ‘ยาสั่ง’ เพื่อให้วิญญูร่วมมือด้วย
“ระ...เรื่องนั้นมันผ่านมาแล้วค่ะพ่อ” วิรัลยาไม่กล้าสบตาบิดา
“และเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว...หนึ่งจะเข้ามาบอกว่าให้พ่อคานอำนาจของยายยิหวาหน่อย อีกหน่อย มันคงยึดสถานีไปทำพังแน่ๆ หนูไปละ จะไปหาแม่”
“เดี๋ยว...”
แต่วิรัลยาไม่ฟังอะไรอีกแล้ว หล่อนหันหลังเดินจากไปด้วยท่าทีเร่งร้อน
วิญญูได้แต่ถอนหายใจยาวๆ ด้วยความเหนื่อยหนักหัวใจ ชายวัยกลางคนทรุดกายลงนั่งพร้อมกับเปิดประตูความทรงจำออก เพื่อนึกย้อนถึงเรื่องราวระหว่างเขากับภรรยาทั้งสอง...
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **