ทดลองอ่าน อลเวงนัก รักของมาริสา : ตอนที่ 15

 

 

ตอนที่ 15

 

 

วิชุดาอึ้ง รูมเมตของมาวินนี่ไม่ธรรมดา เคยเจอกันบ้างตอนที่ตามมาวินมาที่นี่ แต่ไม่เคยร่วมโต๊ะกัน ทีแรกไม่พอใจหรอกที่ต้องยกเลิกดิลิเวอรีจากโรงแรม แต่สลัดกับพาสต้าเนื้ออบแบบมีเดียมแรร์ของการเตยั่วน้ำลายหล่อนจริงๆ แล้วพอได้ลิ้มรสก็บอกได้เลยว่าอร่อยเหาะ

แต่จะมีรำคาญบ้างก็ที่พ่อเชฟมือหนึ่งนี่มาร่วมโต๊ะ หล่อนเลยไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับมาวินอย่างเป็นส่วนตัว

“จริงด้วย ดินเนอร์ทั้งที ผมก็ลืมไปว่ามีของดี” เจ้าของฝีมืออาหารเลิศรสเอ่ยขึ้น

“อะไรอีกล่ะทีนี้” มาวินถาม

การเตเดินหายไปในครัว ครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมขวดไวน์แดงกับแก้วสามใบ จัดแจงรินเสิร์ฟให้ทุกคนอย่างคล่องแคล่ว

“นี่เราไปซื้อไวน์มาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมพี่ไม่เห็น ยังเรียนหนังสืออยู่ หัดดื่มแล้วเหรอเนี่ย”

“โธ่ พี่วิน อย่าเพิ่งบ่นสิคร้าบ”

การเตรีบพูดพลางนั่งลงที่เดิมตรงข้ามสองหนุ่มสาว

“ผมซื้อขวดนี้มาตั้งนานแล้วเก็บไว้ในตู้ในครัว ร้อยวันพันปีนอกจากของในตู้เย็นพี่เคยรู้ว่าอะไรเก็บไว้ตรงไหนด้วยเหรอ แล้วอีกอย่างนี่ผมก็ซื้อมาเพื่อทำอาหาร ยังไม่เคยเอามาเปิดดื่มเลย อาทิตย์ที่แล้วที่ผมทำไก่อบซอสไวน์แดงให้พี่กิน พี่คิดว่าผมเอาไวน์ปลอมมาทำให้พี่กินหรือไงครับ ฮ่าๆๆ”

“เออๆ ใครจะไปรู้ล่ะ พี่ก็คิดว่ากลิ่นผสมอาหาร แบบกลิ่นวานิลลาอะไรอย่างนี้”

“โหย พี่ก็คิดได้เนอะ”

ระหว่างนั้นวิชุดาลองจิบไวน์ อืม ก็รสชาติโอเคนะ กลางๆ ไม่ได้ละมุนลิ้นแบบยี่ห้อดังขวดละหมื่นที่บ้านหล่อน

“แล้ววันนี้ที่มหา’ลัยเป็นไง ไม่มีเรียนเซกบ่าย ก็น่าจะไปเที่ยวไปดูหนังกับเพื่อนบ้างนะ”

“ไม่อะ ไม่มีเพื่อนไปด้วย เซ็ง”

“เออ ไว้วันไหนพี่เลิกงานเร็วแล้วเราว่างก็บอก จัดไปสักเรื่อง ว่าแต่ช่วงนี้มีหนังอะไรดีๆ เข้าบ้าง”

แล้วการเตกับมาวินก็คุยกันถึงหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้ สองหนุ่มวิจารณ์กันอย่างออกรส การเตเล่าเรื่องที่มหาวิทยาลัย มาวินเล่าเรื่องที่ทำงาน แต่ไม่มีเรื่องไหนที่วิชุดาเกี่ยวข้องหรือจะหาจังหวะแทรกได้เลย สองคนดูคุยกันอย่างสนุกสนาน คุยไปด้วยกินไปด้วย จิบไวน์ไปด้วย วิชุดารู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินอย่างไรไม่รู้

“พี่ดาว่ายังไงครับ เห็นเงียบตลอดเลย”

ก็จะไม่เงียบได้ยังไงล่ะยะ ก็เธอเล่นจ้อกับวินอยู่สองคน ไม่ให้หล่อนได้พูดเลย แล้วนี่เขาคุยกันถึงเรื่องไหนแล้วเนี่ย

วิชุดาไม่รู้จะตอบอะไรเลยยิ้มแห้งๆ ดื่มไวน์จนหมดแก้ว มาวินจับได้ถึงรังสีบางอย่าง จึงก้มหน้าเอาส้อมจิ้มเนื้อส่งเข้าปากเงียบๆ

วิชุดาวางแก้วไวน์ไว้ข้างๆ เป็นเชิงให้ชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ เติมไวน์ให้ แต่เขากลับก้มหน้าเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่สนใจว่าไวน์หล่อนหมดแก้วแล้ว ขัดใจจริง หล่อนมาดินเนอร์ที่บ้านเขา เขาควรเอาใจหล่อนหน่อยนะ

“จะเติมไวน์เหรอครับ ผมเติมให้นะ” กลายเป็นการเตที่อาสาเติมให้ วิชุดาถึงกับชักสีหน้า

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไวน์ยี่ห้อถูกๆ แบบนี้ พี่ดื่มแก้วเดียวก็พอ”

สถานการณ์เริ่มอึดอัดหลังจากที่เมื่อครู่ยังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ มาวินเองได้ยินเช่นนั้นก็หันมา จึงเพิ่งสังเกตเห็นแก้วเปล่าที่วางอยู่ข้างแขนตัวเอง

“อ้อ ขอโทษนะครับดา มันอยู่ข้างๆ ผมเลยไม่เห็นว่าดาดื่มหมดแล้ว”

“พี่วินเขามัวแต่คุยกับผมน่ะครับ เลยไม่ได้หันไปมอง พี่ดาอย่างอนพี่วินเลยนะครับ”

ฉันงอนแล้วไปเกี่ยวอะไรกับเธอมิทราบยะ วิชุดาอยากจะพูดใส่หน้าเด็กนี่ แต่เลือกที่จะนิ่งเอาไว้ ยกน้ำขึ้นจิบแทน

“พี่ดาเริ่มอิ่มแล้วใช่ไหมครับ อย่าเพิ่งอิ่มนะครับ ผมมีไอศกรีมร็อกกี้โรดอยู่ พี่ดาต้องชอบแน่ๆ”

“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะน้อง แค่สลัดกับพาสต้านี่ก็แคลอรีเกินที่พี่คำนวณไว้ต่อวันแล้ว” วิชุดาตอบไปอย่างไม่สนว่าจะหยาบคายหรือไม่

“งั้นก็ไม่เป็นไรครับ เผอิญผมติดหวาน พี่วินกินเป็นเพื่อนผมนะ” การเตทำเป็นไม่รู้สึกรู้สากับคำพูดห้วนๆ นั่น หันไปทำตาปริบๆ ชวนมาวินแทน

“อืม เอามาสิ”

วิชุดาหันมาค้อนขวับใส่มาวิน แทนที่เขาจะอยู่ข้างหล่อน ไม่มีล่ะ! ผู้ชายนี่ไม่เข้าใจอารมณ์ผู้หญิงเลยจริงจริ๊ง...

นั่นก็อีกคน การเตถือถ้วยแก้วใส่ไอศกรีมสีน้ำตาลเข้มจัดลูกกลมๆ มาเสิร์ฟให้มาวินเรียบร้อย ที่ครัวคงมีสกูปตักไอศกรีม หน้าตาออกมาถึงเป็นทรงกลมสวย แต่วิชุดาไม่มีอารมณ์มานั่งสนความน่ากินของมันหรอก หล่อนรู้สึกขัดหูขัดตาอย่างไรไม่รู้ที่นายรูมเมตคนนี้ยังหน้าระรื่น มาวินก็เหมือนกัน ขณะที่หล่อนหน้าบูดสนิท

“เขาว่ากันว่าสำรับอาหารในวัง มีคาวก็ต้องมีหวานด้วยถึงจะครบ ผมเลยมีของหวานติดตู้เย็นตลอดน่ะครับ” การเตหันมาพูดกับวิชุดา

วิชุดาอ้าปากค้าง น้ำเสียงการเตนั้นเป็นมิตร ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม แต่ประกายในตานี่วาววับเชียวแหละ วิชุดาสัมผัสได้ทันทีว่าไอ้เด็กนี่มันหลอกด่าหล่อน ‘กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่’ สำนวนนี้ ทำไมหล่อนจะไม่รู้จัก!

แล้วมาวินก็ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้อีกตามเคย นี่หล่อนกำลังถูกรูมเมตเขาด่าอยู่นะ เขาเอาแต่กินเอาๆ อยู่ได้

“ขมสะใจดีแฮะ อัลมอนด์กับมาร์ชแมลโลว์ก็เยอะ พี่ชอบ ยี่ห้ออะไรเนี่ยเต”

การเตบอกชื่อยี่ห้อดังอิมพอร์ตให้ฟัง ทำให้วิชุดากลืนน้ำลายแม้ว่าจะอิ่มไปกับอาหารจานหลักแล้วก็ตาม แต่ถึงยังไงหล่อนก็ไม่กลับคำหรอก บอกไปแล้วว่าไม่กินก็คือไม่กิน!

สองหนุ่มแลดูมีความสุขกับการกินของหวานแล้วคุยกันต่อ ส่วนวิชุดานั้นเป็นหัวหลักหัวตอ ของหวานไม่ได้กินกับเขา แต่ยังนั่งเสนอหน้าอยู่บนโต๊ะอาหาร หล่อนจึงเติมไวน์ให้ตัวเอง ทั้งๆ ที่พูดไว้เองก่อนหน้านี้ว่าไวน์นี้ราคาถูก แล้วซัดจนหมดแก้ว แทนที่หล่อนจะได้พูดคุยหัวเราะไปกับมาวิน มาวินดันมาพูดคุยหัวเราะกับเด็กนี่ บ้าชะมัด!

“กินเสร็จแล้วขับรถไปส่งดาที่บ้านด้วยนะคะวิน” วิชุดาพูดสะบัดหางเสียง ไม่คิดจะสื่อออกมาให้เป็นประโยคขอร้อง แต่เป็นประโยคคำสั่ง

แต่ก่อนที่มาวินจะพูดอะไร การเตชิงพูดขึ้นก่อน “เออ จริงสิ พี่วิน ดื่มไปกี่แก้วเนี่ย”

“ไม่รู้อะ จำไม่ได้ แต่มีเติมไปบ้าง”

“ไม่บ้างละมั้ง นี่ก็สองสามขวดแล้ว ผมว่าพี่กินไปเยอะสุดเลยมั้ง”

“เว่อร์ละ”

“ไม่เว่อร์อะ หน้าแดงยันหู ขับรถไม่ไหวแน่ๆ พี่”

----------

ขณะที่นั่งอยู่บนแท็กซี่ที่มาวินโทร.เรียกให้ วิชุดาอยากจะกรีดร้อง นี่มันอะไรกันนักกันหนา น่าเบื่อน่ารำคาญจริงๆ คิดผิดสุดๆ ที่ดันเลือกมาคอนโดฯ มาวิน ครั้งหน้าไม่เอาแล้ว

ส่วนหนึ่งวิชุดาหน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ อีกส่วนหนึ่งเพราะความโกรธ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาเพื่อนสนิท

“ฮัลโหล ยายฟ้า ฉันเกลียด เกลียดๆๆๆๆๆ มัน”

“นี่อะไรยังไงหา ดา อยู่ๆ โทร.มาก็มาบอกเกลียดๆๆๆ ฉันช่วยกันมาริสาออกจากคุณมาวินไปให้เมื่อตอนเย็นแล้วนี่ จะยังหงุดหงิดอะไรอีก”

“ไม่ใช่มาริสา ไอ้เด็กเตต่างหาก”

“เตไหน ฉันไม่รู้จัก”

“โอ๊ย! ก็ไอ้เต รูมเมตวินอะ”

“ฉันเคยเจอนางเสียเมื่อไรกันล่ะ มีอะไร เล่ามาซิ”

วิชุดาระบายความคับอกใส่คนในสายไม่ยั้ง เล่าเหตุการณ์ละเอียดยิบในสิ่งที่เพื่อนร่วมห้องของมาวินทำ แล้วมาวินเองก็ไม่เทกแคร์ดูแลหล่อนเลย เอาแต่สนใจรูมเมตตัวเอง

“มันด่าฉันหน้าตายมาก แล้วเรื่องเปิดไวน์น่ะ ฉันมั่นใจว่ามันคิดไว้ล่วงหน้าแล้ว วินจะได้เมา มาส่งฉันกลับบ้านไม่ได้”

“...”

“ยายฟ้า นี่เธออย่าเงียบใส่ฉันสิ”

“แปลกอะ”

“แปลกยังไง”

“ก็ที่เธอเล่ามา ฟังๆ ดูมันเหมือนผู้หญิงทะเลาะกันแย่งผู้ชายยังไงไม่รู้”

“...”

“อ้าว ว่าฉันเงียบ แล้วเธอทำไมถึงเงียบไปซะเองล่ะทีนี้” ปลายสายเหน็บกลับ

“แค่นี้นะฟ้า ฉันปวดหัวละ สงสัยดื่มไปมาก”

พูดจบวิชุดาก็ตัดสายทิ้งดื้อๆ อย่างนั้น ที่เฟื่องฟ้าพูดมา ถึงจะฟังดูพิกลแต่มันก็น่าคิด แต่...คงไม่หรอกมั้ง แค่มาริสาคนเดียวหล่อนก็รับมือจนประสาทจะกินอยู่แล้ว ขออย่าให้มีเคสที่มันหนักกว่าเข้ามาเลย

วิชุดาเสือกมือถือกลับใส่กระเป๋าถือแรงๆ แล้วเหวี่ยงลงไปบนเบาะเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์ จนคนขับแท็กซี่ถึงกับเหลือบมองผ่านกระจกมองหลัง

“มองอะไรยะ ขับไปสิ! ไม่เคยเห็นคนอารมณ์เสียหรือไง”

 

 

** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com