ทดลองอ่าน ซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ : มาลีเริงไฟ : ตอนที่ 17

 

 

ตอนที่ 17

 

 

“ทำไมจะไม่ใช่คะ” หญิงสาวแผดเสียงด้วยความหงุดหงิด

“นี่หนูจริงๆ ยายยิหวามันฟื้นแล้ว และมันก็หนีไปแล้ว”

สองสามีภรรยาหันมาสบตากันอีกครั้งด้วยความรู้สึกเดียวกัน

มันจะเป็นไปได้อย่างไร มะ...มันจะเป็นไปได้หรือ?

“หนี?” วิญญูทวนคำ

“ค่ะ หนีไปแล้ว”

“จะหนีไปได้ยังไง...” วารุณยังคงส่ายหน้าไม่เชื่อ

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้คะ หรือคิดว่ายิหวาจะต้องนอนเป็นผัก ปล่อยให้คนใจดำอำมหิตเสวยสุขตามสบายงั้นเหรอคะ”

“ยิหวา!” วิญญูอุทานเรียกชื่อนั้น วูบหนึ่งแววตาของเขาเต็มไปด้วยความดีใจก่อนเปลี่ยนเป็นรู้สึกผิด

“ทำไมหนูถึงกลายเป็นลูกหนึ่ง” วารุณถาม คราวนี้สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

“คิดว่าพวกตัวเองเก่งอยู่ฝ่ายเดียวเหรอคะ” ญานีนเอ่ยเสียงเยาะ วารุณทำท่าจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายตัวเองคล้ายกับจะหยิบอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับโดนญานีนผลักกระเด็นไปทางประตู และตรงนั้น เจิมจันทร์ยืนรออยู่แล้วด้วยสีหน้าเยือกเย็น

“คุณยาย!” วารุณอุทานเสียงตระหนก

วิญญูเองก็ตระหนกตกใจไม่แพ้กัน ทำท่าจะเข้าไปประคองภรรยา แต่ถูกญานีนก้าวขวาง เลยตำหนิลูกสาวเสียงเขียว

“ทำไมต้องทำกันรุนแรงแบบนี้ด้วยยายยิหวา!”

“พ่อยังกล้าถามคำถามนี้กับยิหวาอีกเหรอคะ ต้องทำเหมือนที่พ่อทำกับยิหวาใช่ไหม ถึงจะเรียกว่าไม่รุนแรง” ญานีนเค้นเสียงเจ็บปวด มองบิดาด้วยแววตาตัดพ้อ

“ตอบยิหวามาสิคะพ่อ”

“ฉัน...” วิญญูอึกอัก

“ที่ผ่านมา พ่อไม่เคยดูแลหนูกับพี่ยาหยี พวกหนูก็เจ็บปวดกันมากพออยู่แล้ว มาวันนี้ พ่อยังไปร่วมมือกับเมียน้อยพ่อแล้วก็ยายหนึ่ง ทำร้ายหนูอีก พ่อต้องการให้หนูเจ็บปวดใจอีกแค่ไหนถึงจะสาสมใจพ่อ พ่อไม่รักหนู ไม่เคยเห็นหนูเป็นลูกพ่อเลยใช่ไหม!”

“นี่ ยายยิหวา แกจะคร่ำครวญให้เสียเวลาทำไม สิ่งที่ผู้ชายคนนี้ทำมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว” เจิมจันทร์แทรกขึ้นอย่างรำคาญ

ญานีนตัดพ้อต่อว่าบิดาเสียงเครือจัด แล้วต้องกรีดน้ำตาทิ้ง

ความอ่อนแอและอ่อนไหวไปกับอารมณ์ของตัวเองมลายหายพลัน กลายเป็นความเย็นชาที่แสนห่างเหิน ระหว่างนั้น วารุณค่อยๆ สอดมือเข้าไปในกระเป๋าตัวเองอีกครั้งเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แต่ญานีนเห็นเข้าเสียก่อน

หล่อนแสยะยิ้มร้าย

“โทร.สิคะ โทร.เลย...”

วารุณชะงัก ด้วยไม่แน่ใจในคำยุนั้น

“ถ้าไม่โทร.จะต้องเสียใจนะคะ” ญานีนเอ่ยขึ้นอีก จากนั้นจึงก้าวประชิดตัวผู้สูงวัยกว่าเพื่อกระชากมือถือออก แต่วารุณก็ไม่ยอมง่ายๆ จึงเกิดการยื้อแย่งกันเกิดขึ้น แต่แรงคนวัยกลางคนหรือจะสู้แรงสาวผู้เต็มไปด้วยไฟแค้นได้

ในที่สุดโทรศัพท์มือถือของวารุณก็ตกมาอยู่ในมือของญานีน

“อ้อ จะโทร.หาลูกสาวสุดที่รักให้กลับมาจัดการฉันเหรอคะ...คุณยายคะ” ตอนท้ายญานีนหันไปเรียกยาย พลางพยักหน้าน้อยๆ

วารุณกับวิญญูไม่ทันจะได้นึกด้วยซ้ำว่าญานีนเรียกหญิงชราทำไม ร่างของวารุณก็กระตุกแรงๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนล้มลงไปกับพื้น

“คุณวา โอ๊ย!”

วิญญูจะปราดเข้าไปช่วยภรรยา แต่ขาของเขากลับก้าวไม่ออก

ญานีนไม่สนใจบิดา หล่อนทรุดกายลงนั่งตรงหน้ามารดาเลี้ยงที่ยามนี้ดูเหมือนจะสิ้นฤทธิ์ของจริง เพราะได้แต่นั่งหมดสภาพอยู่บนพื้น โดยมีเจิมจันทร์จิกกลุ่มเส้นผมของอีกฝ่ายแรงจนต้องผงกศีรษะขึ้นมา สบตากับ ญานีน

“ผู้ช่วยของคุณเป็นใคร” ญานีนเอ่ยถามเสียงเย็น

“ผู้ช่วย? ผู้ช่วยอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง” วารุณสั่นหน้า พยายามยันกายลุกขึ้นสู้แต่ไร้ผล เรี่ยวแรงของเธอเหือดหายไปจนหมด

“เขาบอกเขาไม่รู้เรื่องค่ะคุณยาย” ญานีนเงยหน้าเอ่ยยิ้มๆ กับผู้เป็นยาย

“หนูคิดว่า งั้นเราทำให้เขาไม่รู้เรื่องไปเลยจริงๆ ดีไหมคะ”

เจิมจันทร์ยิ้ม “ฉันเห็นด้วยกับแก”

พูดจบ ร่างของวารุณก็กระตุกอีกครั้ง คราวนี้จากนั่ง กลายเป็นนอนลงกับพื้นและขยับร่างกายไม่ได้อีกเลย เช่นเดียวกับวิญญูที่ยังอยู่ในสภาพ ราวกับถูก ‘มือของใครบางคน’ จับตรึงขาเขายึดไว้กับพื้น

ญานีนไม่รอช้าจัดการลากร่างวารุณไปตามพื้นเหมือนลากตัวอะไรสักอย่างที่แสนไร้ค่า!

“คุณวา!” วิญญูร้องเรียกภรรยา พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะวิ่งไปช่วย แต่ด้วยความที่ขาของเขายังคงขยับไม่ได้จึงได้แต่ฮึดฮัดขัดใจ

“ยายยิหวา อย่าทำอะไรคุณวานะ มีอะไรค่อยคุยกัน!”

ไม่มีใครสนใจเขาอีกเลย ญานีนยังคงลากวารุณต่อ จุดหมายคือเตียงที่หล่อนเคยนอน เมื่อไปถึงก็พยายามจะดึงร่างนั้นขึ้นเตียงอย่างทุลักทุเล เห็นอย่างนั้นเจิมจันทร์ก็ตามไปช่วย ซึ่งก็เป็นการช่วยที่เต็มไปด้วยการกระแทกกระทั้น ไม่ปรานีปราศรัยสักนิด

ครู่ต่อมา วารุณก็นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง เตียงเดียวกับที่ญานีนเคย นอน ทำได้แค่กลอกตาไปมาเท่านั้น และตอนนี้ดวงตาของวารุณก็แดงก่ำมาก จ้องญานีนด้วยความโกรธและเกลียดชังรุนแรง

“ให้เวลานอนคิดไงคะคุณเมียน้อย เผื่อนึกคำตอบออก” ญานีนก้มหน้าลงไปเอ่ยเยาะ

“อื้อ อ้า...” วารุณพยายามเปล่งเสียงพูด

“อะไรนะคะ หิวน้ำเหรอคะ” ญานีนเงี่ยหูถาม ถามเสร็จหล่อนก็หันไปหยิบเหยือกน้ำจากข้างเตียงมาราดลงบนใบหน้าอีกฝ่ายทันที!

พลันนั้น ภาพแต่หนหลังที่หล่อนเคยถูกวารุณกับวิรัลยาทำแบบนี้ ก็ผุดขึ้นในความทรงจำ

ตอนนั้นญานีนอายุได้แปดขวบ ส่วนญาตาวีอายุสิบขวบ

วิญญูมักมารับญานีนกับญาตาวีออกไปเที่ยว ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ว่า ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์เป็นหน้าที่ของท่านที่จะดูแลพวกหล่อน

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ญานีนกับญาตาวีรู้ดีว่าบิดามารับไปอย่างนั้น เขาไม่เคยพาไปเที่ยวที่ไหน ไม่เคยดูแล แต่จะเอาพวกหล่อนไปแหมะไว้ที่บ้านของตัวเองต่างหาก ส่วนตัวเองก็สนใจแต่งานหรือไม่ก็ออกไปทำธุระข้างนอกต่อ

บิดาไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่า ทุกครั้งที่เอาหล่อนกับพี่สาวไปแหมะไว้ที่บ้าน วารุณกับวิรัลยาทำอะไรกับพวกหล่อนบ้าง

ครั้งหนึ่ง หล่อนกับญาตาวีนั่งเล่นของเล่นที่เอามาจากบ้านด้วยกันในห้องโถงใหญ่ แล้ววิรัลยาก็เข้ามา เพื่อแย่งตุ๊กตาในมือหล่อน

‘ของเรา เราไม่ให้’ หล่อนพยายามยื้อเอาไว้โดยมีญาตาวีคอยช่วย

วิรัลยาร้องไห้เสียงดังลั่น เรียกมารดาของเจ้าตัวซึ่งก็คือวารุณให้มาหา พอทราบเรื่อง วารุณก็หยิบน้ำเย็นจากบนโต๊ะสาดเข้าหน้าญานีนทันที!

‘เด็กไม่มีน้ำใจ มาเล่นบ้านคนอื่นเขาแท้ๆ ลูกสาวเขาขอเล่นด้วยก็ไม่ให้เล่น ฉันต้องสั่งสอนพวกแก ก่อนพวกแกจะโตขึ้นกลายเป็นคนมีปัญหา อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้’

นั่นคือเหตุผลที่วารุณอ้างกับเด็กอายุแปดขวบกับสิบขวบในตอนนั้น

ญานีนยังจำภาพเหตุการณ์ทุกอย่างที่สองแม่ลูกทำกับหล่อนและญาตาวีได้ขึ้นใจ และมาวันนี้ ตอนนี้ หล่อนได้มีโอกาสกลับมายืนอยู่ตรงหน้าวารุณอีกครั้ง หล่อนก็อยากที่จะหวนรำลึกความหลังกันสักหน่อย ดั่งตอบแทนพระคุณท่านในวันนั้น!

“คุณนั่นแหละที่อยู่ร่วมโลกกับฉันไม่ได้...” ญานีนเค้นเสียงลอดไรฟัน แล้วส่งยิ้มสมเพชให้หญิงวัยกลางคนที่ได้แต่นอนแบ็บอยู่บนเตียง

“เอาไว้ฉันคิดอะไรสนุกๆ ได้ จะมาเล่นด้วยใหม่นะ”

จากนั้นญานีนก็หันขวับไปทางบิดาผู้ให้กำเนิด ใช่ เขากำลังมองหล่อนอยู่เช่นกัน แววตาโกรธจัดเสียด้วย

“โอ๊ะ อย่ามองหนูแบบนั้นสิคะคุณพ่อ จริงๆ ต้องชื่นชมหนูถึงจะถูกนะ เพราะตอนนี้หนูไม่โง่เหมือนยิหวาคนเก่าแล้ว แถมยังมีใบหน้าเหมือนลูกสาวสุดที่รักของคุณด้วย”

“ยิหวา...หยุดประชดพ่อแล้วเรามาคุยกันดีๆ ดีไหม”

วิญญูพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ

“ก่อนอื่น บอกพ่อมาก่อนว่าใช่คุณยายลูกไหมที่ทำให้น้าวากับพ่อต้องเป็นแบบนี้”

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากคุยกับอดีตแม่ยาย เพราะขณะที่เอ่ยถึงวิญญูกลับสบมองแต่ลูกสาว ไม่รู้ว่าไม่กล้าหรือไม่อยากสบตากับอดีตแม่ยายอย่างเจิมจันทร์กันแน่

“งั้นคุณก็บอกมาก่อนสิคะว่า ใครเป็นคนช่วยให้ยายหนึ่งมีหน้าเหมือนหนู”

“พ่อไม่รู้ พ่อไม่รู้จริงๆ ทุกอย่างคุณวากับหนึ่งเป็นคนจัดการ”

“งั้นเหรอคะ” ญานีนแสยะยิ้มกับการพยายามเอาตัวรอดของคนเป็นพ่อ

“จริงๆ นะลูก พ่อไม่รู้เรื่อง แต่พ่อบังเอิญไปได้ยินคุณวาคุยกับหนึ่ง จึงเข้าไปห้าม แต่ทั้งสองคนก็ไม่ฟัง ตอนแรกพวกเขาจะฆ่าลูกด้วยซ้ำเพื่อที่หนึ่งจะได้กลายเป็นลูกอย่างสมบูรณ์ แต่พ่อขอร้องไว้”

“โอ้ ฟังดูเป็นคุณพ่อที่อบอุ่นจังเลยนะคะ...ว่าไหมคะคุณยาย”

“เหอะ ถ้าแกเป็นคนดีได้สักเสี้ยวสิ่งที่แกพล่ามออกมา ลูกสาวฉันก็คงไม่ฆ่าตัวตาย และเรื่องบ้าๆ วันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก” เจิมจันทร์เองก็เคียดแค้นวิญญูไม่ต่างจากญานีน

“จะมาโทษผมคนเดียวก็ไม่ถูก...โอ๊ย!” ตอนท้ายวิญญูร้องลั่น รู้สึกเหมือนมีเข็มนับร้อยเล่มปักลงตามเนื้อตัวเขา

“โอ๊ย เจ็บ ยิหวา ช่วยพ่อด้วย บอกยายให้หยุดทำร้ายพ่อที”

ญานีนกอดอกมองคนที่กำลังขอร้องด้วยสายตาที่ไม่ต่างจากการมองคนแปลกหน้าขอร้องให้ช่วย ซึ่งจริงๆ แล้วบิดาก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับหล่อนมาตลอดนั่นแหละ ไม่ว่าจะสายตาที่ว่างเปล่ายามมองหล่อน หรือคำพูดดุ ด่า ว่า บ่นอยู่ตลอดเวลายามที่อยู่ด้วยกัน ไร้ซึ่งรอยยิ้มอาทร ปราศจากความใส่ใจ ไม่เคยมีแม้แต่อ้อมกอดอบอุ่นให้หล่อนและญาตาวี

“หุ้นส่วนของคุณครึ่งหนึ่ง กับตำแหน่งผู้บริหารเทียบเท่านายอัคนี”

ญานีนยื่นข้อเสนอด้วยน้ำเสียงฉาดฉาน

“ตกลงๆ พ่อตกลง โอ๊ย!” วิญญูยอมรับเงื่อนไขโดยไม่เสียเวลาคิดก่อนร้องลั่นเมื่อรู้สึกว่าเข็มทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง

“ถ้าแกเล่นตลกกับยิหวาเมื่อไหร่ แกจะเจ็บปวดขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดร่างกายแกก็จะทนไม่ไหว...และอาจจะตาย...เหมือนหมาข้างถนนตัวหนึ่ง” เจิมจันทร์เอ่ยเสียงเยียบเย็น จ้องวิญญูเขม็งด้วยแววตาที่ทำให้เขาถึงกับขนลุก...

 

 

** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com