“เอาเป็นว่า ดาอย่าพูดเรื่องที่ทำให้อารมณ์ไม่ดีอีกเลยครับ เดี๋ยวอีกสักพักวงบลูส์เขาก็จะมาบรรเลงสดแล้ว ดาชอบดนตรีสดไม่ใช่เหรอครับ”
ก็จริง วันนี้มีนักดนตรีต่างชาติมาแสดง เรื่องมาริสาเอาไว้ก่อนก็ได้ ตอนนี้วิชุดาพอใจแล้วที่ได้มาดินเนอร์หรูที่ดาดฟ้าใจกลางกรุงแบบนี้กับคนพิเศษ
ระหว่างที่วิชุดาเพลิดเพลินกับเพลงเบิกโรงของวงดนตรีต่างชาติ มาวินแอบหยิบมือถือมาดู เผื่อมีข้อความเร่งด่วนอะไร ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากนอกจากเฟื่องฟ้าไลน์มาถามว่าดินเนอร์เป็นอย่างไรบ้าง วิชุดาหายอารมณ์เสียหรือยัง มาวินก็แค่ตอบสั้นๆ ไปว่าวิชุดาอารมณ์ดีขึ้นแล้ว
“พิมพ์ตอบใครคะวิน”
ไม่ถามเปล่า วิชุดาถือวิสาสะฉวยมือถือของชายหนุ่มไปดูทันที ไม่ขออนุญาตใดๆ ทั้งสิ้น
“อ้อ ยายฟ้านี่เอง ที่แท้ก็เป็นห่วงดา แต่ไม่กล้าถามตรงๆ แล้วไปค่ะ นึกว่าแอบคุยกับกิ๊กที่ไหน” วิชุดาหยอดทีเล่นทีจริง รู้ดีว่ามาวินไม่ใช่ผู้ชายที่มีนิสัยแบบนั้น หญิงสาวส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของไป
มาวินไม่ชอบให้ใครมาเช็กโทรศัพท์มือถือ แต่อารมณ์วิชุดาเพิ่งจะเข้าที่ เขาจึงไม่อยากกวนน้ำให้ขุ่นอีก เพียงแค่รับมือถือกลับมาแล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกง โทษตัวเองที่หยิบมาดูผิดเวลาเอง
สำหรับมาวิน วิชุดาก็เป็นแค่เพื่อน แต่หล่อนชอบล้ำเส้นเขานักไม่รู้ทำไม เขาพอจะรู้ว่าหล่อนมีใจให้ แต่เขาเคยบอกหล่อนไปตรงๆ แล้วว่าเขาคิดกับหล่อนแค่เพื่อน ปากวิชุดาบอกว่ารับได้ เพื่อนก็เพื่อน แต่การกระทำนี่สิช่างสวนทางจริงๆ เขาอยากจะพูดกับหล่อนให้เข้าใจอีกครั้ง
“มาดินเนอร์กับผมบ่อยๆ ในที่หรูๆ แบบนี้ ไม่กลัวคนอื่นเข้าใจผิดเหรอว่าเรามาเดตกัน” ชายหนุ่มเปรยขึ้น “ระวังดาจะไม่มีหนุ่มที่ไหนเข้ามาจีบเอานะ”
“แหม ดาก็ไม่ได้อยากให้หนุ่มที่ไหนมาจีบนี่คะ” เพราะคนที่อยากคบอยู่ตรงหน้าแล้ว หล่อนเชื่อว่าน้ำหยดลงหินทุกวัน สักวันหินก็ต้องกร่อน
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ แต่ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกัน ผมไม่อยากให้ใครเอาไปนินทาได้ให้ดาเสียหาย คิดไปคิดมา คราวหน้าเราไปกินมื้อเย็นกันที่ร้านที่เป็นกันเองกว่านี้หน่อยดีไหม”
“แต่ดาชอบบรรยากาศแบบนี้นี่คะ” หญิงสาวกระเง้ากระงอดตามประสาลูกคุณหนูเอาแต่ใจ “ใครเขาจะเข้าใจว่าเราเป็นแฟนกันก็ช่าง ไม่แน่ วันหนึ่งเราอาจขยับฐานะมาเป็นแฟนกันจริงๆ ก็ได้” หล่อนยังมิวายหยอดอีกเผื่อมีหวัง
“พูดไปเรื่อยน่ะดา เราอยู่เฟรนด์โซนชัดเจนนะครับ” มาวินพูดอย่างเด็ดขาด “เราเป็นเพื่อนกันมาแบบนี้แต่ไหนแต่ไรตั้งแต่เรียนโทด้วยกันแล้ว ผมไม่อยากเสียมิตรภาพไป”
วิชุดาอยากจะกรีดร้อง คำก็เพื่อนสองคำก็เพื่อน! นี่หล่อนไม่สวยไม่มีเสน่ห์หรืออย่างไร มาวินถึงไม่เคยหวั่นไหวไปกับหล่อนบ้างเลย บางครั้งหล่อนก็คิดเหมือนกันว่ามาวินเป็นเกย์ แต่สืบกับเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสมัยเรียนหลายคนแล้ว ทุกคนยืนยันว่าเขาเป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ เคยมีแฟนเป็นผู้หญิง เพียงแต่มาวินออกจะสนใจเรื่องงานมากกว่าการฝักใฝ่หาคู่ออกเดต
เขาจะอยู่เป็นโสดให้สาวๆ เสียดายตะกายข้างฝาไปทำไมกันก็ไม่รู้ หล่อนไม่เข้าใจผู้ชายประเภทนี้เลยจริงๆ ให้ตายเถอะ!
----------
มาวินเลี้ยวรถเข้ามาจอดในอาคารจอดรถของคอนโดฯ เขา กว่าจะดินเนอร์เสร็จกว่าจะไปส่งวิชุดาถึงบ้านก็ดึกเอาการ ระหว่างรอลิฟต์เพื่อที่จะขึ้นไปยังชั้นที่เขาพัก มาวินก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดเช็กข้อความอีกครั้ง
มีไลน์กลุ่มพนักงานระดับซีเนียร์ของห้างฯ ซึ่งคุยกันไปเป็นร้อยข้อความแล้ว ขี้เกียจอ่าน ลบทิ้งซะเลย กลุ่มนี้ไม่ใช่กลุ่มคุยงาน แล้วก็ยังมีไลน์จากคมสัน หัวหน้าฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อนสนิทของเขาที่ทักมาเรื่องไร้สาระ ไว้ค่อยเปิดอ่านทีหลัง นอกจากนี้ยังมีสติกเกอร์รับทราบแล้วของเจ้าการเต รูมเมตของเขาเอง หลังจากที่เขาส่งไลน์ไปบอกว่าจะกลับดึกไม่ต้องรอกินข้าว
แล้วก็ไลน์ของมาริสา หลังจากที่เขาส่งไปบอกให้หล่อนจองโต๊ะที่ห้องอาหารโรงแรมก็เห็นอยู่ว่าอ่าน แต่ไม่ตอบ ซึ่งผิดปกติ เพราะหล่อนจะตอบเขาทุกครั้ง บางครั้งก็ทักสติกเกอร์มา ชวนคุย จนเป็นฝ่ายเขาเสียอีกที่ยุ่งๆ ไม่ได้ตอบหล่อนกลับไปก็มี
วันนี้โดนทำโทษไปบทใหญ่ สงสัยคงหัวเสีย เขาควรพิมพ์ไปถามหน่อยดีไหม ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
มาวินก้าวเข้าไปในลิฟต์เมื่อลิฟต์เปิด นิ้วหัวแม่มือทั้งสองจิ้มลงไปที่หน้าจอสลับกัน
‘เป็นยังไงบ้างครับคุณมาริสา ทราบมาว่าคุณได้ใบเตือนอีกแล้ว’
แล้วชายหนุ่มก็ขมวดคิ้ว กดลบข้อความที่พิมพ์ทั้งหมด ไม่ส่งไป จะดีเหรอถ้าพูดเรื่องนี้กันส่วนตัว มาริสาจะหาว่าเขาตำหนิหล่อนอีกคนหรือเปล่า จริงๆ โดนวิชุดาคนเดียวเล่นงานไปก็น่าจะพอแล้ว
แต่เขาเป็นห่วงหล่อนนี่นา ถ้าจะพิมพ์ไปถามสักหน่อย คงไม่ใช่การตำหนิ เดี๋ยวนะ...เป็นห่วงเหรอ ก็ใช่สิ ตามประสาเจ้านายลูกน้อง ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเสียหน่อย เอาไงดี เอาเป็นว่าเข้าออฟฟิศพรุ่งนี้ค่อยว่ากันก็ได้
มาวินล้วงคีย์การ์ดออกมาเสียบที่ช่องหน้าห้อง แล้วผลักประตูเข้าไป ห้องโถงกลางของคอนโดฯ สว่างไสวยังไม่ปิดไฟ เสียงเกมเพลย์สเตชันรุ่นล่าสุดดังกระหึ่มจากโฮมเธียเตอร์ที่ชุดรับแขก โดยเจ้าของเกมซึ่งเป็นเด็กหนุ่มวัยไม่เกินยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองกำลังนั่งลุ้นตัวโก่งอยู่บนโซฟา ไม่สนใจการกลับมาของเขา
มาวินสลัดรองเท้าไปมุมห้อง โยนกระเป๋าไปบนเก้าอี้นวมตัวหนึ่ง แล้วถือวิสาสะไปกดหรี่เสียงที่จอแอลซีดี
“ดึกแล้วไม่นอนเหรอเราน่ะ”
“ยังอะ ขอผ่านด่านสุดท้ายก่อน” การเตตอบ มือก็กดจอยยิกๆ สายตาไม่ละจากจอทีวี
มาวินยักไหล่ เดินตัดผ่านห้องไปด้านหลังซึ่งเป็นส่วนครัวและบาร์เครื่องดื่ม หยิบน้ำแร่อัดลมมาเปิดดื่มให้สดชื่นเสียหน่อย ขับรถมาเป็นชั่วโมง เมื่อยล้าไปหมด ดื่มไปได้สองสามอึกก็ได้ยินเสียงโห่มาจากโซฟา เป็นอันรู้กันว่าเจ้านั่นไม่ผ่านด่านที่กำลังเล่น
“ตายตอนพี่วินมาทุกทีเลยว่ะ ขัดใจ”
“อ้าวๆ พูดดีๆ นะ เกี่ยวอะไรกับพี่ด้วย” มาวินโต้กลับ กระโดดข้ามพนักพิงโซฟามานั่งข้างๆ วางกระป๋องเครื่องดื่มลงแล้วแย่งจอยอีกฝ่ายมาถือ “ไหน ด่านนี้เหรอ ให้ช่วยไหม”
“เหอะ พนันเลยว่าไม่ผ่าน”
“แล้วถ้าผ่านขึ้นมาล่ะ เตล้างห้องน้ำสองอาทิตย์ไหม” มาวินแกล้งแหย่
“ไม่ต้อง เอาคืนมาเลย งั้นเล่นเองก็ได้” การเตจะแย่งจอยคืน หากมาวินหัวเราะเสียงดัง ทำทุกทางไม่ให้รูมเมตของเขาแย่งได้ จึงปลุกปล้ำกันอยู่อย่างนั้นบนโซฟา
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **