เช้านี้ลูกค้าค่อนข้างบางตาจนคมสันนั่งเบื่อพลางหาวหวอดๆ ทำท่าจะหลับแหล่มิหลับแหล่ เมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบตีสอง ซ้ำยังต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีห้า ไม่แปลกที่ช่วงกลางวันจะง่วงขนาดนี้ เขาคงต้องใช้เวลาปรับตัวอีกพักใหญ่ถึงจะชินกับการตื่นเช้า และสิ่งเดียวที่จะทำให้คนอย่างเขากระปรี้กระเปร่าได้ในเวลานี้คือ...เบียร์
“เป็นไงบ้างวะไอ้คม นอนหลับสบายไหม”
เสียงของเพื่อนรักดังมาก่อนตัว คนที่นั่งอยู่หันมองแล้วทำหน้าเบ้
“หลับสบายกะผีสิ นอนกับพื้นแข็งฉิบหาย หลังกูนี่ปวดไปหมด กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ตีหนึ่งตีสอง แล้วพอตีห้าเฮียมึงก็มาปลุกให้ตื่น นี่กูกำลังนั่งง่วงอยู่เนี่ย”
“เดี๋ยวก็ชินน่ามึง” ทินหัวเราะ ในขณะที่คมสันมองตาขวาง อยากจะถามว่าหัวเราะเหี้ยอะไร กูไม่ขำ!
“เออ เดี๋ยวมึงเฝ้าร้านให้กูแป๊บนะ กูจะไปซื้อเบียร์มากินสักกระป๋อง ร่างกายจะได้ตื่น” พูดจบก็ทำท่าจะลุกขึ้น แต่ทินกลับคว้าแขนไว้ทันทีพลางบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะจุดประสงค์ที่เขาอุตส่าห์เอาคมสันมาทำงานที่นี่ ก็เพราะไม่อยากให้เพื่อนจมอยู่กับเหล้าเบียร์จนไม่เป็นโล้เป็นพาย
“เฮ้ย! ไม่ได้ เดี๋ยวเฮียรู้ได้ไล่มึงออกพอดี แล้วมึงจะเอาเงินจากไหนไปใช้เฮียเค้า มึงโตแล้วนะ หัดรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองด้วย”
สีหน้าและน้ำเสียงดุดันของเพื่อนทำเอาคมสันชะงัก จำต้องยอมทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม แต่ในใจแอบบอกกับตัวเองแล้วว่ารอไอ้ทินกลับไปก่อนก็ได้วะค่อยแอบไปกิน
“เออๆ กูไม่กินก็ได้”
พลันสายตาของคมสันหันไปมองที่ถังขยะข้างโต๊ะ เห็นแก้วชานมเปล่าที่เขาดื่มหมดไปแล้วเมื่อวานก็นึกอะไรบางอย่างออก ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามเพื่อนเพื่อเป็นการเปลี่ยนเรื่องเสีย
“เออ เมื่อวานกูเจอเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อหายใจ มึงรู้จักหรือเปล่า”
“เดี๋ยวนะ ชื่ออะไรนะ หัวใจ?” ทินที่กำลังโมโหเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน
“หายใจ...ชื่อหายใจ ที่หมายถึงลมหายใจน่ะ” จริงอย่างที่เด็กนั่นบอก ใครได้ยินชื่อครั้งแรกก็แปลกใจกันทั้งนั้น รวมถึงเขาด้วย
“ชื่อแปลกดี กูไม่ค่อยรู้จักใครแถวนี้หรอก นานๆ กูจะมาหาเฮียที แต่ดีแล้วมึงผูกมิตรไว้เถอะ ยังต้องอยู่ที่นี่อีกตั้งเดือน จะได้มีเพื่อนคุย เพื่อนคุยนะมึง ไม่ใช่เสือกชวนมาตั้งวงกินเบียร์ล่ะ” ทินยังไม่วายวกกลับมาเรื่องเดิม ก่อนจะจ้องคมสันเขม็งราวกับกลัวว่าเพื่อนจะทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ
คมสันแค่พยักหน้าหงึกๆ แล้วหันไปมองแก้วชานมในถังขยะอีกครั้งพลางคิดถึงเด็กหนุ่มคนนั้นกับรอยยิ้มที่แสนสดใส จะว่าไปชานมแก้วนั้นก็อร่อยจริงๆ แหละ ไว้เจอหน้าจะถามสักหน่อยว่าซื้อร้านไหน จะได้ไปอุดหนุนเองบ้าง เผื่อได้หักดิบจากเบียร์ของโปรด
แต่ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอก เพราะตอนนี้ร่างกายต้องการแอลกอฮอล์อย่างแรง อยากกินเบียร์โว้ย!
----------
บ่ายวันนี้อากาศร้อนอบอ้าว ไม่ค่อยมีลูกค้า คมสันนั่งสัปหงกหัวโขกโต๊ะไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง บางครั้งลูกค้าที่มาแลกเหรียญต้องเรียกอยู่นานสองนานกว่าเขาจะรู้สึกตัว ชายหนุ่มนึกถึงบรรยากาศห้องนอนที่ปิดผ้าม่านมืดๆ เปิดแอร์เย็นฉ่ำ นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนา ไม่ต้องสนว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร พอลืมตาตื่นก็ตรงไปที่ตู้เย็นซึ่งเต็มไปด้วยเบียร์กระป๋องแช่เย็นเจี๊ยบ เปิดฝาแล้วกระดกเข้าปากให้ชื่นใจก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงไปนอนต่อ อยากเร่งวันเวลาให้ผ่านไปถึงวันนั้นอีกเร็วๆ เสียจริง
ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่มาคลอเคลียตรงขาจนทำให้คมสันต้องก้มลงมอง ชายหนุ่มเห็นเจ้าสำลีอยู่ตรงนั้น มันส่งเสียงร้องเบาๆ อย่างออดอ้อนจนทำให้เขาอดที่จะเอื้อมมือไปลูบหัวมันไม่ได้
“ว่าไงเจ้าสำลี หิวเหรอ ฉันไม่มีอะไรให้กินหรอกนะ ไม่รู้เฮียเพ้งเอาอาหารแมวไว้ตรงไหนด้วยสิ” ชายหนุ่มพูดกับเจ้าแมวน้อยราวกับว่ามันจะฟังภาษาคนออก “เออ แกมาก็ดีแล้ว ฝากเฝ้าร้านแป๊บหนึ่งได้ไหม ฉันจะวิ่งไปซื้อเบียร์ที่ร้านตรงข้ามหน่อย”
ยังไม่ทันที่คมสันจะลุกจากโต๊ะไป อยู่ดีๆ ก็มีแก้วชานมไข่มุกมาวางลงตรงหน้าเขา คมสันเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหายใจยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น เด็กหนุ่มรีบพูดดักคอ
“ผมซื้อชานมไข่มุกมาฝากครับพี่คม อย่ากินเบียร์เลย มันไม่ดีต่อร่างกายนะพี่”
“รวยนักหรือไงนายน่ะ”
คมสันว่า แล้วหันไปอุ้มเจ้าสำลีมานั่งบนตัก หายใจยิ้มแล้วยกแก้วชานมไข่มุกในมือของตัวเองขึ้นมาดูดจากหลอดก่อนตอบ
“ไม่รวยหรอกครับ แก้วละยี่สิบเอง แถมเวลาซื้อก็จะได้สะสมแต้มไว้แลกกินฟรีด้วย พอครบสิบแก้วจะได้ฟรีหนึ่งแก้วน่ะครับ พี่คมจะกินเบียร์ทำไม มันขมจะตาย กินชานมดีกว่า ทั้งหวานมันอร่อย แล้วก็มีประโยชน์” ไม่พูดเปล่า หายใจยังดูดชานมไข่มุกโชว์อีกอึกใหญ่เพื่อยืนยันว่ามันอร่อยจริงๆ
“เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ร้านเขาหรือไง โฆษณาจริง ที่สำคัญเป็นอะไรมากไหม ทำไมต้องชอบมาพูดขัดไม่ให้พี่กินเบียร์ พูดยังกับเคยกินอย่างนั้นแหละ ลองหน่อยไหมล่ะ แล้วจะติดใจ เดี๋ยวพี่สอนให้” คมสันแกล้งเอ่ยชวน เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“ไม่เอาพี่ ผมสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”
“ยังเด็กอยู่ก็แบบนี้แหละ เดี๋ยวพอโตขึ้นได้เข้ามหา’ลัยก็กินเป็นเอง บางทีก็ต้องสังสรรค์กับเพื่อน บางทีก็ต้องกินเพื่อเข้าสังคม” คมสันบอกแล้วหัวเราะในลำคอพลางลูบเจ้าสำลีบนตักไปด้วย นึกถึงตัวเองตอนเรียนมัธยมก็ไม่เคยคิดอยากแตะพวกของมึนเมาเหมือนกัน พอเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้นแหละ เกือบทุกคืน!
“ไม่ครับ ยังไงผมก็ไม่กิน เพราะพ่อผมเคยเมาแล้วขับรถตกข้างทางคอหักตาย เพื่อนที่นั่งมาด้วยกันก็เจ็บสาหัสแล้วไปตายที่โรง’บาล มันเป็นเรื่องที่ทำให้ครอบครัวผมเจ็บปวดมาก แม่ต้องนอนร้องไห้ทุกคืน และไม่ใช่แค่ครอบครัวผมที่เจ็บปวดนะครับ ครอบครัวของเพื่อนพ่อผมก็ด้วย ต่างฝ่ายต่างมีบาดแผลที่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกไม่ว่ากับใคร ผมเลยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่แตะต้องของมึนเมาเด็ดขาด ผมไม่อยากให้แม่เสียใจอีก”
น้ำเสียงที่เคยสดใสของหายใจเปลี่ยนเป็นหม่นเศร้า ในขณะที่คมสันกำลังลูบเจ้าสำลีก็ถึงกับชะงัก กลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ
“เอ่อ...พี่ขอโทษนะ พี่ไม่รู้”
“โอ๊ย ไม่ต้องขอโทษหรอกครับพี่ พี่ไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย เรื่องมันก็ผ่านมาสามปีแล้ว ผมทำใจได้แล้วครับ ผมแค่ไม่อยากให้คนรอบข้างกินของมึนเมาบ่อยๆ ก็เท่านั้น มันไม่ใช่แค่เรื่องขับรถนะครับ แต่พอเหล้าเบียร์เข้าปากแล้วมันจะทำให้เราขาดสติไปด้วย คนเราถ้าใช้ชีวิตอย่างประมาทขาดสติ ทุกอย่างมันก็ไม่ดีทั้งนั้น” หายใจไม่ได้อยากจะสอนใครหรอก ยิ่งกับคนที่อายุมากกว่าด้วย เขาก็แค่พูดอย่างที่ใจคิด และไม่อยากเห็นใครที่รู้จักต้องเจอเรื่องราวเหมือนที่เขาเคยเจอมา
แม้หายใจจะบอกแบบนั้น แต่คมสันก็ยังรู้สึกไม่ดีที่ได้รับรู้เรื่องราวแสนเศร้าในชีวิตของเด็กหนุ่ม แต่ครั้นจะให้เขาพูดปลอบใจใครเขาก็ไม่ถนัด ชายหนุ่มหันไปเห็นแก้วชานมบนโต๊ะจึงหยิบมันขึ้นมาเจาะหลอดแล้วดูดเสียเต็มคำ
“อืม อร่อยดีนะ เมื่อวานที่นายให้มาพี่ก็กินจนหมดแก้วไม่รู้ตัวเลย แต่พรุ่งนี้ไม่ต้องซื้อมาให้พี่แล้วนะ”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ” หายใจหน้าเจื่อนลงทันที
“ก็เดี๋ยวพี่จะให้นายพาไปซื้อ พี่จะได้รู้ว่าร้านอยู่ตรงไหน เผื่อวันไหนอยากกินเองแล้วนายไม่อยู่ จะได้ไม่ลงแดงตาย” พนักงานใหม่บอกแบบนั้นแล้วยิ้ม ทำให้หายใจยิ้มขึ้นมาได้ รีบพยักหน้ารับทันที
“ได้สิครับพี่คม”
ชายหนุ่มยิ้มให้เด็กหนุ่มแล้วดูดชานมไข่มุกที่อีกฝ่ายซื้อมาให้อีกอึกใหญ่ ส่วนคนที่ซื้อมาให้ก็ดูดชานมไข่มุกของตัวเอง ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันแล้วยิ้มโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร คมสันเชื่อว่าการกระทำนั้นสำคัญกว่าคำพูด และเขาก็เดาว่าหายใจเองก็น่าจะเข้าใจในการกระทำของเขาโดยที่ไม่ต้องพูดคำว่า ‘ขอโทษ’ หรือ ‘เสียใจ’ เลยเสียด้วยซ้ำ...เขาคิดว่านะ
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **