ทดลองอ่าน ซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ : มาลีเริงไฟ : ตอนที่ 5

 

 

ตอนที่ 5

 

 

ตกเย็น เป็นเวลาเลิกงานแล้วก็จริง แต่ญานีนยังต้องไปทานข้าวกับยายเจิมจันทร์ต่อที่เรือนเสน่ห์จันทน์ เพราะหญิงชราโทรศัพท์มาสั่งไว้ตั้งแต่ตอนเช้าแล้วว่า อยากให้ลูกหลานไปทานข้าวด้วยบ้าง

ตอนแรกอัคนีไม่อนุญาต เนื่องจากเขาติดธุระกับบิดา ไม่อยากปล่อยหล่อนไปคนเดียว กลัวจะไปทำเปิ่นหรือพูดอะไรให้คนที่บ้านจับได้ว่าความทรงจำยังกลับมาไม่หมด แต่หล่อนก็แย้งว่าแค่จำเหตุการณ์ในช่วงหนึ่งปีก่อนเกิดอุบัติเหตุไม่ได้ และหล่อนก็จดจำช่วงเวลาที่อาศัยอยู่กับยายเจิมจันทร์ได้อยู่แล้ว คุ้นเคยกับทุกคนดี อัคนีถึงยอมให้หล่อนมาหายายเจิมจันทร์ที่เรือนเสน่ห์จันทน์ได้ในที่สุด

เรือนเสน่ห์จันทน์นั้น ตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ ชานเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งยังคงมีสภาพแบบใกล้เคียงกับเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว ชาวบ้านแถวนี้มักเรียกซอยนี้กันง่ายๆ ว่า ‘ซอยขุนนาง’ เนื่องจากสมัยก่อนมีแต่บรรดาเหล่าขุนนางตำแหน่งใหญ่โตปลูกเรือนอาศัยอยู่ในซอยนี้ทั้งนั้น แต่ในเวลานี้พื้นที่ต้นซอยถูกแบ่งขายไปมากเพื่อเปลี่ยนเป็นตึกแถว ทำให้ค่อนข้างจอแจ รถติดทุกเช้าค่ำ ทว่าท้ายซอยซึ่งเป็นซอยตัน กลับเงียบสงบราวกับอยู่กันคนละโลกกับพื้นที่ต้นซอย

ญานีนชะลอความเร็วรถลงเมื่อขับมาถึงหน้ารั้วบ้าน ซึ่งมีป้ายตัว หนังสือที่สลักเสลาไว้อย่างอ่อนช้อยงดงามว่า ‘เสน่ห์จันทน์’

ประตูรั้วซึ่งทำจากไม้สักเปิดกว้างรออยู่แล้ว ยายคงบอกคนที่บ้านเอาไว้ว่าหล่อนจะมาทานข้าวด้วย

ขณะเดียวกันทางด้านซ้ายมือถัดจากรั้วบ้านเสน่ห์จันทน์ไปหน่อย มีคลินิกเด็กตั้งอยู่ชื่อ อิสราภรณ์คลินิก ซึ่งเป็นของ ‘ดมิสา’ หลานสาวอีกคนของบ้านเสน่ห์จันทน์ และมีศักดิ์เป็นพี่สาวของหล่อน เนื่องจากดมิสาเป็นลูกสาวคนเล็กของลุงเลิศฤทธิ์กับป้าดาราวลีพี่สาวของมารดาหล่อนเอง

ป้าดาราวลีกับจิรัญญามารดาของหล่อนนั้น มีชะตากรรมที่คล้ายกันนัก...พวกท่านเลือกคู่ครองผิด เจอคนเจ้าชู้ แต่วิธีการแก้ปัญหากลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ป้าดาราวลีกัดฟันเลี้ยงดูลูกคือดีเลิศกับดมิสาอยู่จนกระทั่ง ดมิสาจบปริญญาตรี จึงออกบวชชีตลอดชีวิต ส่วนมารดาของญานีนนั้น...เลือกที่จะไม่สนใจลูกและฆ่าตัวตายในที่สุด

ดมิสาเป็นคุณหมอใจดี ช่วยรักษาชาวบ้านที่ยากจนในราคาที่ถูกแสนถูก แต่ทว่าขณะที่ชาวบ้านรักและแซ่ซ้องในความดีของดมิสา ยายกลับไม่ชอบใจ เพราะนางมองว่าค่าแรงค่าความรู้ไม่ควรจะเสียเปล่า

ญานีนค่อยๆ ขับรถผ่านประตูรั้วบ้านเสน่ห์จันทน์ วิ่งไปตามถนนโรยกรวดเบื้องหน้า รอบๆ เป็นป่าประดู่ซึ่งกำลังออกดอกสีเหลืองสะพรั่ง

สิ้นสุดถนน เป็นกำแพงอิฐสูงที่มีไม้เลื้อยระดะปกคลุมจนแทบมองไม่เห็นตัวกำแพง ระหว่างกำแพงมีประตูไม้เก่าๆ ซึ่งหญิงสาวรู้สึกว่ามันเหมือนประตูทะลุมิติอย่างไรอย่างนั้น เพราะเบื้องหลังกำแพงตรงหน้าเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่แค่สวยงาม มีมนตร์ขลัง

แต่มันยัง...น่ากลัว!

หญิงสาวจอดรถไว้ตรงนั้น ล็อกรถเรียบร้อยก็ผลักประตู ‘ทะลุมิติ’ เข้าไป แล้วภาพเรือนไทยแบบหมู่ยกพื้นสูงสร้างจากไม้สักทองทั้งหลังก็ปรากฏในสายตา เรือนไทยมีทั้งหมดหกหลังตั้งเรียงกันเป็นตัวยู และมีทางเชื่อมต่อกันไปเรื่อยๆ โดยที่หลังคาไม่ชนกัน ทำให้แลดูไม่อึดอัดนัก

----------

“คุณยิหวา”


สายพิณ แม่บ้านเก่าแก่ของที่นี่เดินเร็วๆ มาจากใต้ถุนบ้าน สีหน้าดีใจหนักหนา พอเข้ามาใกล้แกก็โผกอดหล่อนแน่น

“คุณหนูของพิณ...กลับจากโรงพยาบาลแล้วจริงๆ ด้วย สบายดีแล้วใช่ไหมคะ”

“ยิหวาโอเคแล้วค่ะ” ญานีนตอบสั้นๆ ก็ผละออก

“แล้วแม่พิณกับคนที่นี่สบายดีกันหรือเปล่า”

“ก็ตามประสาแหละค่ะคุณหนู แต่แหม...พูดถึงเรื่องที่คุณหนูต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วก็โกรธคุณหนึ่งนั่นจริงๆ เลย จิตใจทำด้วยอะไร ถึงขั้นจะฆ่าจะแกงกันได้ลงคอ”

ญานีนชะงัก ท่าทางเหมือนไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกต

“แล้วคุณหนูจะไม่ทำอะไรกับแม่นั่นสักหน่อยเหรอคะ จะปล่อยไปอย่างนี้จริงๆ เหรอคะ อย่างน้อยแจ้งความไว้ก็ยังดี” ท่าทางสายพิณดูเคียดแค้นแทนเจ้านายเอามากๆ

“เวรกรรมตามทันเขาแล้วไงคะ กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่นั่นไง แค่นี้ก็หนักหนามากพอแล้วค่ะ อีกอย่าง...แจ้งความไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เขาลุกมาให้ปากคำไม่ได้อยู่ดี”

“คุณหนูก็เป็นเสียอย่างนี้”

“ตกลง ที่คุณยายเรียกยิหวามาที่บ้าน เพราะจะให้มาฟังแม่พิณบ่นใช่ไหมคะ” หญิงสาวเสชวนเปลี่ยนเรื่องกึ่งล้อ นั่นเองสายพิณถึงเพิ่งรู้ตัว

“ตายจริง พิณนี่ก็พูดมาก พูดมากตั้งแต่สาวจนแก่” แล้วแกก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก “เชิญค่ะ คุณยายรออยู่ที่ศาลาแล้ว”

ญานีนยิ้มรับ แล้วเดินนำสายพิณขึ้นบันไดไป

พอขึ้นไปจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย กลิ่นดอกปีบก็โชยมาเข้าจมูก เนื่องจากมีต้นปีบต้นใหญ่ขึ้นสูงตระหง่านเหนือพื้นไม้เรือนเสน่ห์จันทน์ กิ่งก้านของมันแตกสาขาปกคลุมหลังคาศาลากลางเรือน ที่ยายเจิมจันทร์กำลังนั่งรออยู่ ดอกปีบสีขาวร่วงพราวอยู่บนพื้น

เจิมจันทร์นั่งอยู่บนตั่งกว้างในศาลา ซึ่งยกพื้นสูงและเปิดโล่งทั้งสี่ด้าน ตัวศาลาทำจากไม้สักทองเช่นเดียวกับตัวเรือน ตามมุมเสาทั้งสี่ด้านมีแจกันโบราณวางประดับ

ด้วยความที่ตรงศาลากลางเรือนนี้ เป็นบริเวณที่สามารถมองเห็นเรือนไทยทุกหลังได้ เจิมจันทร์จึงชอบเอาหนังสือมานั่งอ่านและจับตาดูหลานๆ ของตนไปด้วย

“เป็นไงเรา ไปทำงาน ได้เรื่องได้ราวกับเขาหรือเปล่า หรือไปทำให้มันแย่ลง”

เจิมจันทร์เอ่ยถามหลังจากหลานสาวยกมือไหว้เรียบร้อยแล้ว นัยน์ตาคมกริบจับจ้องใบหน้าสวยแทบไม่กะพริบ

“คุณยายก็...ตอนนี้ยิหวาไม่เหมือนเดิมแล้วนะคะ” ญานีนตอบหน้ามุ่ย ขณะเดียวกันก็ทรุดกายลงนั่งข้างตั่งยกพื้นสูงที่เจิมจันทร์นั่งอยู่

“ตอนนี้คุณพ่ออนุญาตให้ยิหวาเข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารด้วย แถมยังเพิ่มสัดส่วนละครให้ยิหวาด้วยนะคะ”

“ว่าไงนะ พ่อของแกเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อ มันคิดอะไรของมันอยู่ แล้วถามหน่อยเถอะ แกน่ะ ไปเก่งมาจากไหน เมื่อก่อนฉันเห็นไม่ได้เรื่องสักอย่าง”

“ช่วงที่พักฟื้น ยิหวาก็เริ่มศึกษางานจากพี่ณัฐค่ะ แล้วก็มีพี่เดี่ยวคอยช่วยด้วย มันไม่ได้ยากอะไรนี่คะ ที่ผ่านมายิหวาแค่ไม่สนใจเอง” ญานีน ตอบฉาดฉาน

เจิมจันทร์ได้ฟังเช่นนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก็จริง...เพราะช่วงที่ญานีนยังต้องพักฟื้นอยู่บ้าน เจิมจันทร์ไปเยี่ยมทีไรก็มักเห็นณัฐยาหอบแฟ้มงานไปให้ญานีนทีละหลายแฟ้ม นางยังเคยดุให้เพลาๆ ลงหน่อยเลย

ระหว่างนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินตรงมาทางศาลากลางเรือน

เจ้าของฝีเท้าเป็นหญิงสาวร่างบอบบาง ดวงตาหวานละมุนเจือความเมตตาอาทร และมีรอยยิ้มประดับบนดวงหน้าอยู่เป็นนิจ หากแต่เป็นรอยยิ้มที่มีร่องรอยของความไม่ยอมคน ความเป็นผู้นำ และดูเหมือนจะไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบได้ง่ายๆ ด้วย

ดมิสานั่นเอง

สองสาวส่งยิ้มให้กัน แต่ดมิสาไม่ได้ถามไถ่อาการ เนื่องจากตอนที่ ญานีนนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ก็เป็นโรงพยาบาลเดียวกันกับที่ ดมิสาทำงานอยู่แล้ว จึงรู้ความเคลื่อนไหวของน้องสาวตลอด แม้แต่วันที่น้องสาวได้ออกจากโรงพยาบาล ดมิสาก็ยังเดินมาส่งที่รถเลย

“พี่เดี่ยวไม่มาด้วยเหรอยิหวา” ดมิสาเอ่ยทักขึ้นก่อน

“ยิหวามาคนเดียวค่ะ พี่เดี่ยวเขายังคุยงานกับคุณพ่ออยู่เลย จริงๆ พี่เดี่ยวก็อยากมานะคะ แต่ปลีกตัวมาไม่ได้จริงๆ อีกอย่าง ยิหวาก็อยากทานข้าวเฉพาะครอบครัวของเราบ้าง” ญานีนรีบอธิบายต่อขณะมองไปทางยาย ด้วยไม่อยากให้ยายมองสามีหล่อนในทางไม่ดี

“จริงสิคะ แล้วพี่โต เอ...บ้านพี่โตเงียบจัง พี่โตกับพี่บัวไม่อยู่เหรอคะ” ญานีนสงสัย ก็ในบรรดาหลานทั้งสี่คน ดีเลิศเป็นหลานรักของยายเจิมจันทร์ ไม่ว่าจะทำอะไร พี่โตจะอยู่ข้างๆ ยายเสมอ แต่วันนี้บ้านพี่โตกลับปิดเงียบ รถก็ไม่มีสักคัน ส่วนพี่บัวที่หล่อนถามถึงด้วยก็คือ ‘บัวบุษบา’ ภรรยาสาวสวยของพี่โตนั่นเอง

หากทว่าคำถามนั้น แม่บ้านสายพิณซึ่งยังคงนั่งอยู่ไม่ห่างคอยปรนนิบัติเจ้านาย ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เสียวสันหลังวาบแทนญานีน ขณะที่ดมิสายังวางหน้าเรียบเฉย

“เขาจะไปไหนก็เรื่องของเขา แกจะอยากรู้ไปทำไม”

คนเป็นยายแผดเสียงใส่ สีหน้าบ่งบอกว่าโกรธจัดทำเอาคนถามอย่างญานีนสะดุ้งเฮือก ตามมาด้วยมองยายด้วยความงุนงง

ห้าเดือนที่หล่อนอยู่โรงพยาบาล เกิดอะไรขึ้นกับดีเลิศและยายนะ ทำไมยายถึงดูโกรธหลานรักมากมายขนาดนี้

“ทานข้าวเลยดีไหมคะ คุณมิ้งค์ คุณยิหวา วันนี้พิณเตรียมของโปรดของคุณๆ ไว้ทั้งนั้นเลยนะคะ” สายพิณรีบแก้ไขสถานการณ์กลัวเจิมจันทร์จะอาละวาด

แต่ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบจากคุณๆ โทรศัพท์มือถือของดมิสาก็ดังขึ้น หญิงสาวคุยกับคนในสายอยู่ครู่ก็รีบตัดสายทิ้ง หันมาบอกญานีนกับยายเจิมจันทร์น้ำเสียงร้อนรน

“มีเคสด่วนค่ะ มิ้งค์ขอตัวก่อนนะคะ...พี่ไปก่อนนะยิหวา” ประโยคท้ายดมิสาหันมาเอ่ยลาญานีน พูดจบก็รีบเร่งลงเรือนไป

เจิมจันทร์เห็นพฤติกรรมนั้นของหลานสาวก็ยิ่งขุ่นเคือง

“ดูพี่แกนะยิหวา นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป จะรีบอะไรนักหนากับแค่ไปรักษาไอ้พวกที่ไม่มีเงินจ่าย เหอะ คนพวกนั้นก็ใช่ย่อย เห็นว่าหมอใจดี ก็เอาใหญ่ บางคนมันมีเงินแต่ปากบอกไม่มี ไอ้คนของเราก็ใจบุญเกินจนกลายเป็นคนโง่ให้เขาเอาเปรียบ” นางบ่นยืดยาว

ครู่ต่อมา สายพิณก็ตั้งสำรับอาหารเย็นให้เจ้าของเรือนกับหลาน สาวเจ้าของเรือน เรียบร้อยแล้วก็ถอยออกไปคอยเฝ้าปรนนิบัติอยู่ห่างๆ อย่างรู้งาน บริเวณรับประทานอาหารยามนี้จึงเหลือแค่เจิมจันทร์กับญานีน...ตามที่ควรจะเป็น

“ว่าแต่เราเถอะ เมื่อไหร่จะมีลูก แต่งงานมาเป็นปีแล้ว” ทานกันไปได้สักพัก เจิมจันทร์ก็โพล่งถามขึ้นมา

ญานีนกำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารแทบสำลัก “แค่กๆ คุณยายขายิหวา แค่กๆ เพิ่งออกจากโรงพยาบาลนะคะ”

“ฉันก็ไม่ได้จะให้มีตอนนี้ ที่ถามเพราะอยากรู้...ว่าไง ไม่คิดจะมีเหลนให้ฉันสักคนรึ”

“ยิหวายังไม่อยากมีลูกเร็วๆ นี้หรอกค่ะ ยิ่งคุณพ่อให้โอกาสยิหวาทำงานแบบนี้ ยิหวายิ่งอยากพิสูจน์ตัวเอง ขืนมีลูก ก็คงทุ่มเทให้งานได้ไม่เต็มที่ เอาไว้ให้ยิหวาเก่งก่อน ค่อยว่ากันนะคะ”

“อย่าให้รอนานก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะอดเห็นหน้าเหลนกันพอดี”

“โธ่คุณยาย คุณยายยังแข็งแรงจะตาย ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกค่ะ”

เจิมจันทร์ไม่พูดอะไรอีก นอกจากพยักหน้าให้หลานสาวทานข้าวต่อ จังหวะหนึ่งญานีนตักผัดผักรวมมิตรสีสันสดใสมาทาน พอกลืนลงคอ หล่อนก็เงยหน้ายิ้มกับแม่บ้านสายพิณ

“ฝีมือดีไม่มีตกเลยนะคะแม่พิณ ผัดผักนี่อร่อยมากจริงๆ ผักก็สดดีด้วย”

คนได้รับคำชมยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง “ขอบคุณค่ะคนดีของพิณ ดีใจที่วันนี้คุณหนูทานถั่วลันเตาได้นะคะ ปกติเห็นเขี่ยออก โถ นี่สงสัยตอนอยู่โรงพยาบาลโดนนางพยาบาลบังคับกินจนได้ใช่ไหมคะ”

ญานีนยิ้มก่อนพยักหน้าตอบ “ทำนองนั้นแหละค่ะ พอฝืนใจกินแล้วก็อร่อยดีเหมือนกัน”

คล้อยหลังรับประทานอาหารกันจนเสร็จสิ้น แม่บ้านสายพิณเก็บสำรับอาหารเรียบร้อย

ญานีนไม่ได้นั่งพักหรืออยู่คุยต่อกับเจิมจันทร์ หล่อนขอตัวกลับเลยอ้างว่าลืมเอายาหลังอาหารมาทาน เจิมจันทร์เองก็ไม่คิดรั้งหลานสาวเอาไว้ เพียงแต่พูดแกมบังคับว่า อยากให้มาหานางสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี ซึ่งญานีนก็รับปาก

เมื่อญานีนเดินลงจากเรือนเสน่ห์จันทน์ไปแล้ว เจิมจันทร์ก็ไม่รอช้า หายเข้ามาในห้องพระซึ่งอยู่ในเรือนนอนของนางอีกที

โดยปกติแล้วห้องพระนี้จะเงียบสงบ โต๊ะหมู่บูชาเต็มไปด้วยพระ พุทธรูป ธูป เทียน เครื่องหอม และดอกไม้จัดใส่แจกันไว้อย่างงดงาม บูชาคุณพระรัตนตรัย

ทว่านั่นเป็นเพียงฉากบังหน้า!

เฉกเช่นเดียวกับตัวนางที่ฉากหน้า คือหญิงชราเศรษฐีนี พวกผู้ดีในวงสังคม แต่ทว่าเบื้องหลัง นางเล่นคุณไสยมนตร์ดำและเลี้ยงผีไว้ใช้สอยมาก มาย...

ด้วยความที่แต่เดิม ต้นตระกูลของเจิมจันทร์เป็นโหรหลวงและมีเชื้อสายขุนนางสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ตัวนางมีวิชาโหราศาสตร์ติดตัวก็จริง แต่ก็ไม่เคยคิดสนใจพวกเรื่องคุณไสยมนตร์ดำเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งในวันที่นางหลงรักชายคนหนึ่งจนหมดหัวใจ แต่เขากลับไม่เคยเหลือบแลมาทางนางเลย นางก็ตัดสินใจก้าวเข้าสู่ศาสตร์มืดเพื่อให้ได้ครอบครองชายอันเป็นที่รัก และมันก็ช่วยนางได้ ช่วยได้แบบง่ายดายเสียด้วย นางจึงหลงใหลในศาสตร์นี้ เรียนรู้มันอย่างจริงจังและลึกซึ้ง

ในสายตาของคนทั่วไปจึงไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า ห้องพระในเรือนนอนของนางนั้น แท้ที่จริงแล้วคือห้องสำหรับประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์มนตร์ดำสารพัดอย่าง

หญิงชราทรุดกายลงนั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้อง พึมพำคาถาอยู่ครู่ ก็ปรากฏร่างของพรายนพหมอบอยู่ตรงหน้า ก่อนที่นางจะคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

“เป็นอย่างที่เอ็งว่า นังผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ยิหวาหลานข้า!”

 

 

** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com