ทดลองอ่าน ซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ : มาลีเริงไฟ : ตอนที่ 1

 

 

ตอนที่ 1

 

 

ห้าเดือนต่อมา

รถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่แล่นผ่านรั้วไม้หนาเข้ามาในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง ตัวบ้านเป็นตึกสองชั้น ทาสีขาวทั้งหลัง รอบบ้านร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย ให้ความรู้สึกเรียบง่ายและสบายตา

รถเลยไปจอดริมบันไดที่ทอดสู่ตัวบ้าน ซึ่งขณะนี้มีผู้หญิงสองคน ยืนรออยู่แล้ว คนหนึ่งเป็นสาวใหญ่วัยประมาณสี่สิบปลายๆ อีกคนเป็น เด็กสาววัยประมาณสิบแปดสิบเก้า ทั้งคู่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว ผ้าถุงสีเข้ม บรรยากาศรอบๆ ตัวดูสดใส ใบหน้าทุกคนยิ้มแย้มและตื่นเต้น

ประตูด้านคนขับเปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เจ้าของใบหน้าคมคายก้าวลงจากรถ แล้ววิ่งอ้อมไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร ครู่เดียว เท้าเรียวเล็กในรองเท้าคัตชูส้นเตี้ยก็ก้าวลงมา เขารีบยื่นแขนแข็งแรงของตนให้หล่อนเกาะทันที

เจ้าของเท้า เป็นหญิงสาววัยยี่สิบปีเศษ ผิวของหล่อนขาวจนเผือด ใบหน้าบางส่วนเห็นชัดว่าผ่านการศัลยกรรมตกแต่งมาและยังไม่เข้าที่นัก ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังสวยจับตา ด้วยใบหน้ารูปไข่ คิ้วเรียวที่ตีโค้งเหนือดวงตาเรียวรีสีน้ำตาลอ่อน จมูกโด่งที่มีเนื้อจมูกอิ่มเต็มรับกันพอดีกับริมฝีปากบางสีระเรื่อ ยามหล่อนยิ้มแม้เพียงน้อยนิดก็ทำให้โลกนี้สว่างไสว

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ คุณยิหวา” หญิงวัยกลางคนร่างเล็กเป็นตัวแทนกล่าวคำต้อนรับ จากนั้นทั้งสองคนก็ค้อมศีรษะลงโดยพร้อมเพรียง

“ยินดีที่ได้กลับบ้านเสียทีเหมือนกันค่ะ ขอบคุณป้ามลกับแมวนะคะที่อุตส่าห์ออกมาต้อนรับ” ยิหวาหรือญานีนตอบกลับด้วยเสียงอ่อนโยน ตอนนั้นเองที่มีผู้หญิงอีกสองคนเดินออกมาจากข้างในตัวบ้าน คนแรกเป็นหญิงสาววัยประมาณยี่สิบเจ็ดปี ร่างสูงระหง ใบหน้าสวยจัดชนิดหาตัวจับยาก

‘ญาตาวี’ ดารานางแบบสาวชื่อดัง พี่สาวแท้ๆ ของญานีน

ส่วนอีกคนเป็นหญิงชราวัยราวเจ็ดสิบห้าปี แต่งกายด้วยผ้าถุงสีแดงมะกล่ำตรงเชิงปักลายดอกไม้ เสื้อลูกไม้แขนกระบอกสีกุหลาบแก่ เกล้าผมขึ้นทั้งหมดเผยให้เห็นใบหน้างดงามตามวัย หากแต่มีดวงตาที่คมดุประดุจเหยี่ยว ไม่ว่าใครที่ได้เห็นหรือสบตาจะรู้สึกถึงรังสีบางอย่างที่ชวนครั่นคร้ามตลอดเวลา

‘เจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์’ คุณยายของญานีนและญาตาวีนั่นเอง

“คุณยาย มารอรับยิหวาที่นี่ด้วยเหรอคะ” ญานีนเอ่ยทักและยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“ฉันขี้เกียจไปรับเชื้อโรคที่โรงพยาบาล” เจิมจันทร์ตอบกลับสั้นๆ

ญานีนเพียงยิ้มแห้งๆ กับคำพูดของยาย แก้เก้อโดยเข้าไปสวมกอดพี่สาวแน่นๆ ครั้งหนึ่ง “ความจริงยิหวาตั้งใจจะไปกราบคุณยายอยู่แล้ว พี่ยา หยีไม่น่าพาคุณยายมาลำบากเลย”

“ลำบากตรงไหนเนี่ย เราน่ะ ขี้เกรงใจไม่เข้าเรื่องจริงๆ”

ญาตาวีมองน้องสาวด้วยแววตารักใคร่เอ็นดู

“พี่ไม่เหมือนพ่อนะ ลูกสาวออกจากโรงพยาบาลทั้งที ไม่มีน้ำใจมาถามไถ่”

คราวนี้สีหน้าญานีนสลดลงเล็กน้อย ก่อนฝืนยิ้ม

“ตอนอยู่โรงพยาบาลคุณพ่อไปเยี่ยมยิหวาบ่อยอยู่ค่ะ แต่วันนี้แกคงติดธุระจริงๆ อีกอย่าง มีพี่ยาหยี มีคุณยาย มีพี่เดี่ยว แค่นี้ยิหวาก็มีความสุขมากแล้วค่ะ”

“นั่นสิ จะไปพูดถึงหมอนั่นให้ระคายใจทำไม”

เจิมจันทร์ตำหนิญาตาวี ส่งผลให้ดาราสาวหน้าเสียไปเล็กน้อย เห็นอย่างนั้น อัคนีก็รีบเอ่ยขึ้น

“เข้าไปข้างในกันดีกว่าครับ ตรงนี้ลมแรง เดี๋ยวยิหวาจะไม่สบายขึ้น มาอีก” พูดจบเขาก็ประคองภรรยาเข้าบ้าน โดยมีเจิมจันทร์กับญาตาวีตาม หลัง

เจิมจันทร์นั้นจับจ้องที่แผ่นหลังบอบบางของญานีนแน่วคล้ายสำรวจอะไรบางอย่าง และกระแสจิตนางก็แรงพอที่จะทำให้หลานสาวหันหลังกลับมามอง

“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณยาย”

“จี้เพชรเราหายไปไหน” เจิมจันทร์หมายถึงสร้อยคอห้อยจี้เพชรอันเล็กที่นางให้ญานีนใส่ติดตัวไว้ตั้งแต่เด็กๆ มันเป็นธรรมเนียมของนางที่ต้องมีเครื่องประดับให้ลูกหลานทุกคน บางคนเป็นสร้อย บางคนเป็นแหวน

ญานีนชะงักไปเล็กน้อยก่อนตอบ “สงสัยหายไปตอนอุบัติเหตุแหละค่ะ”

“น่าเสียดาย นั่นน่ะไม่ใช่จี้ธรรมดา”

“ไม่ใช่จี้ธรรมดา?” ญานีนทวนคำ

“การที่ฉันให้แกใส่ไว้แต่เด็กมันไม่พิเศษหรือไง” คนเป็นยายชักสีหน้า

“อ๋อ ค่ะๆ ยิหวาขอโทษค่ะที่รักษาของสำคัญเอาไว้ไม่ได้”

ญานีนยกมือไหว้ สีหน้าบ่งบอกความเสียใจจริงๆ

“เอางี้ไหมคะ เดี๋ยวยิหวาจะไปหาดูแถวๆ ที่เกิดอุบัติเหตุอีกครั้ง เผื่อมันจะหล่นอยู่”

“มันคงอยู่ให้แกเก็บหรอก” เจิมจันทร์มองญานีนเหมือนกับว่าหล่อนช่างโง่เสียเต็มประดา ญานีนหน้าเสียลงไปอีก เห็นอย่างนั้นอัคนีก็แตะแขนภรรยาให้ออกเดินอีกครั้ง

เมื่อมาถึงภายในตัวบ้าน ญานีนกวาดตามองไปรอบๆ ห้องรับแขกซึ่งเวลานี้มีดอกไม้ประดับตามมุมต่างๆ ทำให้บรรยากาศสดชื่นเป็นอย่างมาก แตกต่างจากห้องพักฟื้นของหล่อนในโรงพยาบาลอย่างสิ้นเชิง ที่ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลที่หล่อนพักรักษาตัวหลังประสบอุบัติเหตุ หรือห้องพักหลังจากศัลยกรรมใบหน้าแล้ว ก็ล้วนแล้วแต่น่าเบื่อหน่ายทั้งสิ้น

“ดอกไม้พวกนี้ พี่เดี่ยวลงทุนสั่งจากต่างประเทศทั้งหมดเลยนะ เพื่อน้องสาวสุดที่รักของพี่” ญาตาวีรายงานเสียงใส ที่ต้องใช้คำว่า ‘ลงทุน’ เพราะอัคนีนั้นเป็นคนสมถะ เรียบง่าย ใช้เงินอย่างรู้คุณค่า แต่ครั้งนี้เขาทำมันเพื่อภรรยาสุดที่รักจริงๆ

ญานีนหันไปส่งยิ้มหวานให้สามี “ขอบคุณนะคะพี่เดี่ยวที่ไม่เคยลืมว่ายิหวาชอบดอกอะไร”

อัคนียิ้มรับคำหวานและความรักจากภรรยา ขณะที่เจิมจันทร์หันไปทางสาวใช้

“แมว ไปเอาขันน้ำมนต์มา” แล้วหันกลับมาทางญานีน “ฉันจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้”

สาวใช้ที่ชื่อแมวไม่รอช้า เดินไปหยิบขันเงินบรรจุน้ำมนต์จากโต๊ะตัวหนึ่งเอามาให้ นอกจากน้ำมนต์แล้วยังมียอดใบไม้มัดรวมกันเอาไว้ใช้ปะพรมด้วย

“ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายเหรอคะ?” ญานีนทวนคำก่อนหัวเราะอย่างเห็นขัน “โธ่ คุณยาย บ้านนี้ไม่มีสิ่งชั่วร้ายหรอกค่ะ เพราะยายหนึ่งมาเหยียบที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว”

“แกคิดว่าสิ่งที่ฉันทำมันไร้สาระหรือยังไง” คนเป็นยายเริ่มแผดเสียงเมื่อเห็นคนเป็นหลานไม่เห็นคุณค่ากับสิ่งที่ตัวเองทำ

“เอ่อ เปล่านะคะ ยิหวาไม่ได้คิดอย่างนั้น” ญานีนมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก “ยิหวาแค่คิดว่า...”

“เอ่อ...ทำก็ไม่เสียหายนี่ยิหวา” ญาตาวีรีบกล่อมน้องสาวเพราะไม่อยากเสี่ยงทำยายโกรธ รู้กันดีว่ายายเจิมจันทร์เป็นคนอารมณ์รุนแรง หล่อนและญานีนรวมถึงดมิสาลูกพี่ลูกน้องอีกคน ต่างก็เคยถูกยายลงโทษด้วยวิธีที่คาดไม่ถึงมาแล้ว

“แต่ยิหวากลัวบ้านจะเปียกเลอะเทอะ...” ญานีนยังอดไม่ได้ที่จะหาข้ออ้างมาแย้งเสียงอ่อน ก่อนหันไปทางคุณยายด้วยแววตาขอลุแก่โทษ “ไม่ต้องทำหรอกนะคะคุณยาย ยิหวารู้ว่าคุณยายหวังดี แค่ยายหนึ่งมาเหยียบที่นี่ไม่ได้อีก มันก็ไม่มีอะไรแล้วจริงๆ ค่ะ”

“ให้คุณยายท่านทำเถอะจ้ะยิหวา” อัคนีช่วยกล่อมอีกแรง “บ้านเลอะก็ให้เด็กเช็ดก็ได้”

“เสียเวลาน่ะสิคะ...นะคะคุณยาย เชื่อยิหวาเถอะ มันไม่มีอะไรจริงๆ และตอนนี้ยิหวาก็เหนื่อยมากแล้วด้วย อยากพักเต็มที...ขอตัวก่อนนะคะ” แล้วญานีนก็คล้องแขนสามีเพื่อให้เขาพาขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน

“เอ่อ ยิหวาคงเหนื่อยเลยหงุดหงิดน่ะค่ะคุณยาย ปกติยิหวาไม่ใช่คนแบบนี้ อย่าโกรธยิหวาเลยนะคะ” ญาตาวีช่วยแก้ตัวให้น้องสาว พลางมองใบหน้าบึ้งตึงของยายอย่างหวาดๆ

“มันไม่ได้เหนื่อยหรอก มันแค่ไม่เชื่อในสิ่งที่ยายมันจะทำ”

เจิมจันทร์เหยียดยิ้มเยาะ มองตามหลังหลานสาวคนเล็กไปด้วยแววตาหมายมาดบางอย่าง แววตาที่ทำให้ญาตาวีถึงกับขนลุกแทนน้องสาว

“เอายังไงดีคะคุณยาย” สาวใช้ที่ถือขันถามขึ้น

“เจ้าของบ้านเขาไม่ให้ทำ ก็ไม่ต้องทำ เอาไปเททิ้งซะ ไป กลับ ยาหยี” พูดจบนางก็เดินนำญาตาวีออกจากบ้าน

“คุณยายอย่าโกรธยิหวาเลยนะคะ” ญาตาวีเอ่ยขึ้นอีก

“แกจะพูดซ้ำๆ ทำไม น่ารำคาญจริง ฉันจะไปทำอะไรมันล่ะ” ตอนที่พูดประโยคนั้น แววตาของนางยังคงหมายมาดอยู่เหมือนเดิม “แต่ที่มันพูดก็ถูก แค่นังหนึ่งกลับมาระรานมันไม่ได้ ชีวิตมันก็ดีแล้ว ผัวมันก็ดูรักมันดี”

“จริงค่ะ พี่เดี่ยวดูรักยิหวาม๊ากมาก ยาหยีดีใจกับน้องที่สุดเลย”

เจิมจันทร์ปรายตามองหล่อนเหยียดๆ “อิจฉาน้องสิไม่ว่า น้องสาวแกมันวาสนาดี สวยสู้แกไม่ได้ แต่ก็ยังได้ผัวดี ไม่เหมือนแก”

ดาราสาวก้มหน้าลงและไม่เอ่ยอะไรอีก ขณะเจิมจันทร์เงยหน้ามองไปยังชั้นบนของบ้านด้วยแววตามุ่งมาดแรงกล้า

----------

อัคนีประคองภรรยาให้นั่งลงบนเตียง แล้วทรุดกายลงนั่งเคียงข้าง


“ขอบคุณนะคะพี่เดี่ยว...ที่ไม่บอกใครว่ายิหวา...ยังจำอะไรไม่ได้ทั้งหมด” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง และอัคนีก็มองผู้เป็นภรรยาด้วยความเห็นใจสุดซึ้งเช่นกัน

อุบัติเหตุเมื่อห้าเดือนก่อนพรากความทรงจำบางส่วนของญานีนไป เหตุการณ์ที่หล่อนจำได้ล่าสุดก็คือ หล่อนแต่งงานกับเขาตามคำสั่งของบิดาหล่อน ซึ่งก็คือบิดาบุญธรรมของเขาด้วย แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมานานเกือบปีแล้ว หล่อนจำไม่ได้แม้แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับหล่อนและวิรัลยาด้วยซ้ำ

“แล้วเมื่อกี้นี้ ยิหวาทำกับคุณยายเกินไปหรือเปล่าคะ” น้ำเสียงและสีหน้าของญานีนเป็นกังวล

“ยิหวาไม่รู้ว่าหนึ่งปีหลังจากแต่งงานแล้วความสัมพันธ์ของยิหวากับคุณยายเป็นยังไงบ้าง ยิหวาจำได้ว่าคุณยายไม่อยากให้ยิหวาแต่งงานกับพี่เดี่ยว”

“จ้ะ ท่านไม่อยากให้พี่แต่งงานกับยิหวา เพราะกลัวว่าพี่จะปอกลอกยิหวา” ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ ไม่มีความโกรธหรือขัดเคืองแต่อย่างใด เนื่องจากเข้าใจหญิงชราผู้นั้นดีว่านางห่วงหลานสาวและคิดว่าหลานสาวควรจะได้ผู้ชายที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่เด็กกำพร้าอย่างเขา

“พี่เดี่ยวคะ...คิดอะไรอยู่เหรอคะ” เสียงภรรยาสาวสวยดังขึ้นพร้อมมือเย็นๆ ที่แตะลงบนแขนทำให้อัคนีสะดุ้งจากภวังค์ความคิด

“เปล่าจ้ะ เมื่อกี้ยิหวาถามว่า ความสัมพันธ์ของยิหวากับคุณยายเป็นยังไงใช่ไหม อืม...พอย้ายมาอยู่ที่นี่ ยิหวาก็ไม่ค่อยได้กลับไปที่บ้านหลังนั้นนะ ยิหวาเคยบอกพี่ว่าได้ออกจากบ้านหลังนั้นมาแล้วรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก คุณยายเองท่านก็แทบไม่มาเหยียบที่นี่เหมือนกัน”

บ้านหลังนั้นที่อัคนีเอ่ยถึงคือ ‘เรือนเสน่ห์จันทน์’ ของยายเจิมจันทร์ ซึ่งญานีนอยู่อาศัยตั้งแต่เด็ก พอแต่งงานกับเขา ญานีนถึงได้ย้ายออกมาอยู่กับเขาแทน

ญานีนพยักหน้ารับรู้ตามที่อัคนีบอก ก่อนถามต่อว่า

“แล้วท่านมองพี่เดี่ยวดีขึ้นหรือยังคะ”

“หลังจากเราแต่งงานกันนี่ยังจ้ะ ท่านเพิ่งจะคุยดีกับพี่ก็ตอนยิหวาประสบอุบัติเหตุนี่แหละ”

“เสียดายจัง ยิหวาจำอะไรไม่ได้เลย ยายหนึ่งก็ดันกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปเสียได้ เลยอดรู้เลยว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ญานีนพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก แต่สักพักก็นิ่วหน้าเพราะคิดอะไรไม่ออก

“อย่าเพิ่งเร่งตัวเองเลยจ้ะ เดี๋ยวจะยิ่งเครียดไปกันใหญ่ พี่ให้เวลายิหวาได้ทั้งชีวิตอยู่แล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อนโยน แล้วจุมพิตที่หน้าผากของภรรยาสาวด้วยความรักสุดหัวใจ

“พี่รักยิหวานะจ๊ะ”

“ขอบคุณค่ะพี่เดี่ยว แต่...เอ่อ...นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ยิหวาสงสัยเหมือน กันค่ะ” เมื่อเขาถอนริมฝีปากออก ญานีนก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง

“เรา...รักกันจริงๆ เหรอคะ คือ เอิ่ม ยิหวาหมายความว่า พี่เดี่ยวรักยิหวาจริงๆ เหรอคะ พี่ไม่รักหนึ่งแล้วเหรอคะ”

อัคนีเอื้อมมือมาจับมือผอมบางของภรรยา กระชับไว้มั่น

“ถามอย่างนี้ แปลว่าไม่มั่นใจในความรักของพี่”

“ยิหวาขอโทษค่ะถ้าทำให้พี่รู้สึกไม่ดี แต่ถ้าพี่เป็นยิหวาพี่จะเข้าใจ ผู้ชายคนหนึ่งที่แสดงออกชัดเจนว่าเกลียดเรา รำคาญเรา จู่ๆ จะมารักเราในเวลาแค่หนึ่งปีได้จริงๆ เหรอ...แต่ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไม่ต้องตอบก็ได้” หญิงสาวฝืนยิ้ม “ยิหวาเหนื่อยแล้ว ขอนอนพักสักครู่นะคะ”

“หนึ่งปีที่เราอยู่ด้วยกัน พี่มีความสุขมาก” เสียงทุ้มอ่อนโยนของอัคนีรั้งร่างบางที่ทำท่าจะเอนกายลงบนเตียง

“ยิหวาไม่ใช่ภรรยาที่เก่ง ไม่ใช่คู่คิดที่เก่ง แต่ก็เป็นภรรยาที่ดี คอยให้กำลังใจพี่เสมอ ไม่เคยทำให้พี่หนักใจเลย”

เป็นอีกครั้งที่ญานีนนิ่วหน้า “ฟังดูเหมือนไม่ใช่ยิหวาเลยนะคะ เพราะถ้าเป็นยิหวา มักจะทำให้พี่เดี่ยวหงุดหงิดได้เสมอ เรียนก็ไม่เก่ง ทำงานก็ไม่ได้เรื่อง ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เงอะงะงุ่มง่ามให้พี่เดี่ยวกับหนึ่งรำคาญตลอดเวลา”

“นั่นเพราะแต่ก่อนพี่ไม่เคยได้ใกล้ชิดกับยิหวาต่างหาก เลยเห็นแต่มุมพวกนั้น แต่พอเราได้มาอยู่ด้วยกัน พี่ก็รู้ว่าเมียพี่คนนี้มีความดีความน่ารักอีกตั้งมากมาย” แล้วอัคนีก็สวมกอดหล่อนเอาไว้เพื่อยืนยันความรู้สึกตน

ทว่าอัคนีคงไม่รู้ตัวว่าคำพูดของเขาเมื่อครู่นั้น ทำให้หญิงสาวในอ้อมกอดน้ำตารื้นขึ้นมาดื้อๆ

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าในที่สุด ยิหวาก็มีวันนี้ วันที่ได้ยินผู้ชายที่ตัว เองแอบรักมาตั้งแต่เด็ก...พูดว่ารัก” ญานีนเอ่ยเสียงเครือ

อัคนีกำลังสวมกอดถึงกับชะงัก เกิดความสะท้อนสะท้านในอกเมื่อนึกถึงวันเก่าก่อนที่เขาเคยทำร้ายหัวใจหล่อนสารพัด ก็อย่างที่หล่อนบอกนั่นละ สมัยนั้น ไม่ใช่แค่ไม่รัก แต่เขาหงุดหงิดและไม่ชอบผู้หญิงแบบหล่อนเอามากๆ ยิ่งรู้ว่าหล่อนชอบเขา เขาก็ยิ่งแสดงออกให้หล่อนเห็นว่าเขารำคาญ และเขาก็ตัดสินใจคบกับวิรัลยาเสีย ส่วนหนึ่งเพราะชอบวิรัลยาจริงๆ แต่อีกเหตุผลก็เพราะเขาอยากให้ญานีนหยุดความรู้สึกที่มีต่อเขา หลายครั้งที่เขามักแสดงความรักกับวิรัลยาต่อหน้าหล่อน เพื่อให้หล่อนเจ็บ และเกลียดเขา แต่มันไม่เคยได้ผล

อัคนีบรรจงประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากของหล่อนอย่างแสนรักและทำท่าจะเกินเลยไปกว่านั้น หากว่าญานีนจะไม่ผลักอกเขาออก

“ไม่ต้องบอกนะคะว่ารักยิหวาตอนไหน ยิหวาจะพยายามคิดให้ออกด้วยตัวเอง...แต่ตอนนี้...” หล่อนเว้นช่วงเพื่อยื่นมือมาตรงหน้า อัคนีเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“มีคลิปงานแต่งงานของเราไหมคะ ยิหวาอยากดู...”

ชายหนุ่มยิ้มขณะยื่นโทรศัพท์มือถือของตนให้

“เดี๋ยวพี่จะเอาคลิปและรูปอื่นๆ ของยิหวาที่อยู่ในโน้ตบุ๊กพี่มาให้ดูด้วย พี่อยากให้ยิหวาจำทุกอย่างให้ได้เร็วที่สุด เพราะเรามีอะไรต้องทำอีกเยอะเลย”

ญานีนพยักหน้ายิ้มๆ อัคนีจึงขยับตัวพลางเอ่ยต่ออีกว่า

“ถ้าอย่างนั้นยิหวาดูไปก่อนนะ พี่ขอโทร.ไปสั่งงานที่ช่องก่อน แล้วจะเอามาให้”

หญิงสาวมองตาม จนร่างสูงของสามีเดินพ้นห้องไปแล้วจึงกดเปิดวิดีโองานแต่งงานของตนกับเขาขึ้นมาดู เพื่อจะพบว่าสีหน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาวเวลานั้นห่างไกลคำว่าความสุขมากเหลือเกิน...โดยเฉพาะเจ้าบ่าว มีแต่ความทุกข์ทรมานอย่างเห็นได้ชัด...

จบจากภาพเคลื่อนไหว ญานีนก็ไล่เปิดดูภาพถ่ายอื่นๆ ในโทรศัพท์ มือถือของอัคนีต่อ แล้วพบว่าเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นภาพของหล่อนในหลากหลายอิริยาบถ ซึ่งน่าจะเป็นหลังแต่งงานแล้ว ทุกภาพบอกได้ว่าคนถ่ายรักหล่อนเหลือเกิน น้ำตาญานีนไหลด้วยความเต็มตื้น ก่อนรอยยิ้มสาสมใจผุดขึ้นเหนือริมฝีปากได้รูปสวย

“ในที่สุด เขาก็เป็นของฉันคนเดียว ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่ฉันได้หัวใจเขาด้วย เสียใจด้วยนะ นังหนึ่ง เชิญแกนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราตามสบายเถอะ!”

----------

ภายในคฤหาสน์หลังงามของวิญญู...เจ้าของสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลช่องวายอีเอสทีวีและวายอีเอสเอนเตอร์เทนเมนท์ มีร่างแบบบางของหญิงสาวคนหนึ่ง นอนอยู่บนเตียงในห้องห้องหนึ่งซึ่งอยู่ชั้นล่างของบ้าน รอบเตียงมีกระจกกั้นเป็นคอกสามด้าน ข้างเตียงมีเสาน้ำเกลือ สายยางสำหรับให้อาหาร เครื่องวัดความดัน หัวใจ และอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับ ‘เจ้าหญิงนิทรา’


ทรวงอกของหล่อนสะท้อนขึ้นลงแผ่วเบา บ่งบอกว่าเจ้าของร่างยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็อ่อนแรงเต็มที

วิรัลยานั่นเอง...

เหตุการณ์เมื่อห้าเดือนก่อน พรากความทรงจำบางส่วนของญานีนไป และได้พรากชีวิตที่เหลือของวิรัลยาไปด้วย

เจ้าของคฤหาสน์จ้างพยาบาลพิเศษให้คอยดูแล แต่ห้ามคนอื่นเข้าเยี่ยมเด็ดขาด คนในคฤหาสน์เองก็ด้วย! เพราะทั้งสองรับไม่ได้ที่จะให้ใครมาเห็นลูกสาวอยู่ในสภาพนี้ นอกจากพยาบาลพิเศษคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าออกห้องนี้ได้

“วันนี้ ลูกสาวผมเป็นยังไงบ้าง”

วิญญูเอ่ยถามทันทีที่พยาบาลสาวเปิดประตูออกมาจากห้องนอนของวิรัลยา ชายวัยกลางคนอยู่ในชุดสูทสีเข้ม ข้างๆ เขาคือวารุณ ภรรยาของเขา ซึ่งอยู่ในชุดที่เตรียมออกไปข้างนอกเช่นกัน

“การตอบสนองยังเป็นปกติค่ะ ลืมตาหลับตาได้ ความดันก็ปกติค่ะ” นางพยาบาลสาวปลดหูหน้ากากอนามัยออกข้างหนึ่งก่อนตอบ

สองสามีภรรยาได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับรู้ด้วยสีหน้าพึงพอใจ

“พวกเรากำลังจะออกไปข้างนอก อย่าให้ใครเข้าเยี่ยมได้เด็ดขาดนะ นี่ไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นกฎ”

คราวนี้เป็นวารุณ หญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมบาง ท่าทางสง่าที่ยืนอยู่ข้างวิญญูนั่นเอง เอ่ยกับนางพยาบาลสาวเป็นเชิงสั่งด้วยคำสั่งซ้ำๆ ที่พยาบาลสาวท่องจำได้จนขึ้นใจแล้ว จึงแค่รับคำสั้นๆ เหมือนทุกครั้ง

คล้อยหลังคนทั้งคู่พ้นหน้าห้องนอนของวิรัลยาไปแล้ว นางพยาบาลสาวก็สวมหน้ากากอนามัยเหมือนเดิมแล้วกลับเข้ามาในห้อง ทรุดกายลงนั่งตรงโต๊ะเขียนหนังสือซึ่งตั้งอยู่มุมห้อง และยามนี้มีโน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่งเปิดเอาไว้อยู่แล้วเตรียมพร้อมใช้งาน หล่อนรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ด้วยสีหน้าสบายใจ

ดูแลคนไข้รายนี้ สบายที่สุด เพราะเป็นเคสที่ไม่หนัก ระบบหายใจไม่มีปัญหา เหมือนคนนอนหลับไปเฉยๆ แค่คอยให้อาหารทางสายยาง เช็ดตัว ดูแลระบบขับถ่ายแค่นั้น บิดามารดาของคนไข้เองก็ไม่มาวุ่นวายด้วย แค่มาถามๆ แล้วก็ไป

ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ภายในซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น พยาบาลสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเอื้อมมือไปรับ

“คุณไอศูรย์มาอีกแล้วค่ะ” เสียงสาวใช้ลอดสายเข้ามา

“ทำไมต้องบอกฉันด้วย ก็ทำเหมือนที่เคยทำสิ” พยาบาลสาวตวาดกลับไปด้วยความหงุดหงิด กระแทกสายโครมแล้วลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง ขยับม่านมองออกไปข้างนอก ภาพที่เห็นคือผู้ชายคนหนึ่งกำลังถูกยามรักษาการณ์ของที่นี่ขวางไม่ให้เข้ามาภายในตัวบ้าน

พยาบาลสาวส่ายหน้าด้วยความรำคาญใจ

ผู้ชายคนนั้นบอกว่าตัวเองชื่อ ‘ไอศูรย์’ เป็นผู้ช่วยมือขวาของวิรัลยา

เขามาที่นี่หลายต่อหลายครั้งแล้วเพื่อต้องการเข้าเยี่ยมวิรัลยา แต่ก็โดนสั่งห้ามทุกครั้ง เหมือนกับทุกคนที่เคยแวะเวียนมาเยี่ยมวิรัลยาเช่นกัน แต่ไอศูรย์นับว่าเป็นคนเดียวที่ไม่เคยลดละความพยายาม หล่อนแทบจะนับวันที่เขาไม่โผล่มาที่นี่ได้เลยด้วยซ้ำ อยากจะลงไปบอกเขาด้วยตัวเองเสียจริงว่าอย่ามาเลย ขนาดคนเป็นพ่อเป็นแม่เองยังไม่เคยเข้ามาหาลูกถึงเตียงสักครั้ง ปล่อยให้ลูกนอนเป็นผักตามยถากรรมมาตลอด แล้วเขาจะต้องสนใจทำไม ไม่มีประโยชน์

วูบหนึ่ง...นางพยาบาลสาวอดไม่ได้เหลือบมองไปยังร่างบนเตียงด้วยความสงสารและเห็นใจขึ้นมา

วิญญูกับวารุณเป็นพวกหน้าบาง หล่อนเคยได้ยินคนรับใช้บอกว่าเมื่อก่อนที่นี่มีเพื่อนฝูงแวะเวียนมาบ่อย ทั้งเพื่อนของวิญญูกับวารุณ และเพื่อนของวิรัลยาเอง แต่หลังจากวิรัลยาป่วย บ้านหลังนี้ก็กลายเป็นสถานที่ปิดตายสำหรับคนนอก ทั้งคู่ดูจะอับอายกับการที่มีลูกสาวเป็นเจ้าหญิงนิทรา ซึ่งตรงนี้หล่อนก็ไม่เข้าใจความคิดของพวกคนรวยเหมือนกันว่าทำไมถึงหน้าบางกันขนาดนี้

ครู่ต่อมา หล่อนก็ยักไหล่ “จะคิดมากทำไมให้ปวดหัววะ ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย”

เมื่อเห็นว่าไอศูรย์ถูกลากพ้นเขตบ้านไปแล้ว พยาบาลสาวก็กลับมานั่งที่เดิมและเริ่มทำงานอีกครั้ง พร้อมกับฮัมเพลงอย่างมีความสุข...

 

 

** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com