“เดี๋ยวก่อนนาง นี่ครับ ผมซื้อมาให้ ขนมเปี๊ยะนมสดเจ้าอร่อยที่นางชอบ กับน้ำเต้าหู้ขวด ไว้รองท้องก่อนทำงาน”
เจ้านางมองถุงกระดาษสีแดงมีตราร้านปั๊มสีทองเป็นภาษาจีน น่าจะเป็นร้านของญาติๆ เขา เพราะแอร์มักจะซื้อขนมเปี๊ยะเจ้านี้มาฝากเพื่อนๆ อยู่บ่อยครั้ง
ทุกคนรู้ว่าเจ้านางทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนมานานแล้ว เพียงแต่งานของเธอไม่ทน เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เจ้านางทำทุกอย่างตั้งแต่เป็นลูกมือในร้านฟาสต์ฟูด ช่วยขายของร้านสะดวกซื้อกะเย็น แต่ช่วงหลังที่เธอเข้าเรียนดุริยางค์ฯ และเริ่มเรียนรู้เทคนิคในการใช้เสียง ทำให้มั่นใจในการร้องเพลงของตัวเองมากขึ้น จึงลองไปสมัครร้องเพลงในผับดูบ้าง แต่ทำงานวันแรกก็ได้เรื่องเลย
เอาน่า วันนี้ถือว่าได้แก้ตัว ก็นายมาเฟียคนนั้นเปิดทางให้แล้วนี่นา
“รับไปเถอะครับนาง นะครับ ผมไม่อยากให้นางเป็นโรคกระเพาะอีก” แอร์คะยั้นคะยอยื่นถุงในมือให้เธอ
“ขอบคุณมากนะแอร์ วันหลังไม่ต้องนะนางเกรงใจ”
เจ้านางอยากเอ่ยอะไรให้ชัดๆ กว่านี้แต่ก็น้ำท่วมปาก ยังไงๆ เธอก็เห็นแอร์เป็นแค่เพื่อน อนาคตจะขยับสถานะไปมากกว่านี้ไหม เธอก็ไม่รู้ แต่ถ้าถามว่านาทีนี้ การอยู่ใกล้แอร์ไม่ได้ทำให้รู้สึกแปลกแปร่งอะไรเลย ไม่เหมือนกับใครบางคนที่เจอแค่ไม่กี่ครั้ง แต่กลับใจเต้นรัว ตัวร้อนผะผ่าวพิกล ยิ่งยามอยู่ชิดใกล้เขาคนนั้น...
หญิงสาวหยุดความคิดตัวเอง รับขนมจากแอร์แล้วก้าวเดินออกจากห้องซ้อมไปอย่างเร่งรีบ ไม่อยากฟังคำหวานอะไรจากเพื่อนให้รู้สึกผิดไปมากกว่านี้อีก
ใช่ มีช่วงหนึ่งที่เธอเคยทำงานกินข้าวผิดเวลาจนเป็นโรคกระเพาะอยู่หลายสัปดาห์ต้องมานั่งเสียเงินกินยา ความเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันนั่นละทำให้รู้ เอาเถอะ กลุ่มเธอก็มีกันสี่คนแค่นี้ อย่างน้อยๆ เธอก็ให้เขาอยู่ในสถานะเพื่อนสนิทก็แล้วกัน
เจ้านางยิ้มเมื่อเดินมาถึงป้ายรถเมล์แล้วสายที่ต้องการมาพอดี เธอรีบกระชับกระเป๋าสะพายข้างตัว มือยังถือถุงกระดาษเสบียงของแอร์ไว้แน่น ก่อนก้าวขึ้นรถพอดีกับที่ประตูปิดแล้วพี่คนขับออกตัวแรงจนเซเลยทีเดียว ยังดีที่ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
ซิ่งเลยพี่ หนูก็ไม่อยากเข้างานสายค่า...
----------
งานมอเตอร์โชว์วันสุดท้าย ผู้คนคลาคล่ำอย่างกับว่าจะไม่มีจัดอีกต่อไปแล้ว บูทใหญ่ของบริษัทปณัยคึกคักด้วยผู้คนจำนวนมากที่ต่างแวะเวียนมาเยี่ยมชมโฉมรถซูเปอร์คาร์ที่นำเข้ามาหลายรุ่น โดยปณัยสั่งให้เปลี่ยนรุ่นมาโชว์ทุกสองวันทั้งรุ่นใหม่และรุ่นลิมิเต็ด บางรุ่นเป็นรถส่วนตัวของเขาเอง เป็นนโยบายที่ทำให้คนรักรถต้องมากันเกือบทุกวันเพื่อได้เห็นรถหรูที่อาจไม่มีโอกาสได้เห็นอีกเมื่อพ้นช่วงงานไปแล้ว
มีคนชมก็มีคนซื้อ ปณัยคิดอย่างนั้น และความคิดของเขาก็ถูกต้องเสียด้วย พนักงานขายต่างทำหน้าที่กันไม่ได้หยุดหย่อน
ปีนี้ยอดดีมากจริงๆ นั่นทำให้ปณัยต้องเข้ามาดูหน้างานนอกเหนือ จากตารางที่กำหนดไว้ เขาเดินเร็วๆ พร้อมวรัทที่จ้ำตามไม่ห่าง และการ์ดชุดเดิมเดินตามหลังอย่างแนบเนียนไม่ให้เป็นที่สะดุดตา ปณัยไม่ชอบให้ใครเห็นชัดว่าเขามีคนคอยตามทุกฝีก้าว จริงๆ แล้วเขาไม่ต้องการบอดี้การ์ดด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุการณ์เบื้องหลังในอดีตคือบทเรียนสำคัญ มันคือความจำเป็นเพื่อการอยู่รอด มีก็ต้องมี
ปณัยเข้ามาถึงที่งานก็บ่ายแก่แล้ว เขาแทบไม่ได้พักเพราะเมื่อเช้าต้องดูแลกรรมการจากบริษัทแม่ที่อยู่ดูงานที่บริษัทหลายวันและมีกำหนดกลับวันนี้ จึงต้องประชุมสรุปงานและไปส่งถึงสนามบิน พอออกมาก็เจอรถติดเป็นชั่วโมง มาถึงที่บูทเขาก็ไม่รีรอเข้าไปด้านในพร้อมผู้จัดการใหญ่ฝ่ายขายที่รู้หน้าที่รีบเดินมาคุยพร้อมเอกสารปึกหนา ยอดจอง ยอดดาวน์อัปเดต ตัวเลขมากมายก่ายกองให้เขาดู
แม้ปณัยพยายามเคลียร์ยอดให้เร็วที่สุดแล้ว แต่ก็มีปัญหาหยุมหยิมให้ต้องเสียเวลาแก้ โพรโมชันต่างๆ ที่ลูกค้าร้องขอทำให้ต้องคิดตัวเลขใหม่อยู่หลายราย
เขาพลิกแขนดูนาฬิกาข้อมือเรือนงามหลายครั้ง สุดท้ายจึงลุกขึ้นยืน เมื่อเริ่มไม่มีสมาธิทำงาน
“ที่เหลือพวกคุณจัดการกันเองได้นะ ผมต้องเข้าผับแล้ว”
ผู้จัดการรีบตอบรับ เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มหงุดหงิด
“ไปวิน” เขาเพียงเหลือบมองคนสนิท วรัทก็ผายมือให้เขาเดินนำ ออกไปทันที
ในรถเขาคลายปมเนกไทที่ผูกไว้ให้หลวมขึ้น ถอดเสื้อสูทส่งให้คนสนิทที่นั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับ แล้วปณัยก็เหยียดขาสบายๆ พับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นลวกๆ จนถึงศอก
“วิน โทร.ถามซูซานซิว่านักร้องใหม่มาถึงหรือยัง” เขาสั่ง
“ครับ”
ปณัยมองรถบนทางด่วนที่ติดแหง็ก ทุ่มนิดๆ วันศุกร์เย็น วันศุกร์แห่งชาติรถติดได้เป็นบ้าเป็นหลังจริงๆ
วรัทคุยงึมงัมๆ จนเขาไม่สบอารมณ์ต้องโพล่งถาม “ว่าไง”
“เธอมาถึงพักใหญ่แล้วครับ ป้าซูเรียนถามว่าจะให้เธอขึ้นร้องเลยไหมครับ”
ปณัยมองทางบนถนน คะเนเวลาคงอีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง “มีนักร้องคนอื่นมาหรือยัง ถ้ามีให้คนอื่นขึ้นก่อน ผมต้องการดูเธอในวันแรกอย่างเป็นทางการ”
เขานั่งพิงหลังไปตามเดิมเมื่อวรัทวางสายจากซูซานแล้ว ชายหนุ่มทอดสายตามองไปบนฟ้าที่มืดมิด ป้ายโฆษณาแผ่นใหญ่ให้แสงแวบวาบรบกวนแสงดาราจากเบื้องบนจนมิอาจเปล่งรัศมีเทียมได้ น่าขัดใจ เขาชอบธรรมชาติ บนฟ้าราตรีควรเห็นแสงดาวและแสงจันทร์ ไม่ใช่ไฟนีออนสาดแสงกลบไปหมดเช่นนี้
แต่ก็นะ อาศัยอยู่ในเมืองกรุงก็ต้องทำใจ อาชีพอย่างเขาด้วยแล้วไม่อยู่ใจกลางเมือง ไม่อยู่ท่ามกลางผู้มีอันจะกิน ใครจะมาเป็นลูกค้าเขาล่ะ บางครั้งปณัยก็รู้สึกเหมือนตัวเองสวมหัวโขนขณะทำตัวเป็นประธานบริษัท
ปกติแล้วมีสองอย่างในชีวิตที่เขามีความสุขที่จะทำ หนึ่งคือนั่งอยู่หลังพวงมาลัยแล้วเหยียบทะยานไปสุดตัวบนสนามแข่งรถ กับสอง อยู่บนเตียงกับผู้หญิงที่เร่าร้อนสักคน แล้วทะยานไปสุดกำลังแรงปรารถนาเช่นกัน แต่ถ้าถามหัวใจตัวเองใหม่ตอนนี้ ทำไมความสุขของเขาคือการที่จะได้เห็นหน้าใครบางคน
ใครบางคนที่เป็นเด็กดื้อหมัดหนักคนนั้นไง...
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **