เวลานี้ใต้ถุนบ้านของไพโรจน์เต็มไปด้วยผลหมากรากไม้มากมายหลายสิบชนิด ไม่ว่าจะเป็นส้มโอ้เข่งใหญ่กว่ายี่สิบลูก กล้วยหอมทองทั้งเครือ กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ มะม่วงแรด มะม่วงน้ำดอกไม้ มะละกอ มะพร้าว มะยงชิด ชมพู่มะเหมี่ยว องุ่น และอีกมากมายเรียกได้ว่าแทบกินไม่ไหว ผู้เป็นเจ้าของบ้านยกมือขึ้นกอดอกด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะสั่งให้พนักงานที่ร้านขายอุปกรณ์การเกษตรของตนมาช่วยขนผลไม้เหล่านี้ออกไปแจกจ่ายก่อนที่จะเน่าเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เสียก่อน
“แม่ว่าตาวินทร์มีท่าทางแปลกๆ นะลูก”
“ผมก็ว่าแปลก” ไพโรจน์พยักหน้าเห็นด้วยทันที ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ไผ่ แก้ผ้าขาวม้าที่ผูกไว้ที่เอวออกแล้วเอนกายพิงเสาบ้านด้วยท่าทางเอกเขนก
“รู้ไหมว่าตาวินทร์มาบ้านเราทุกวัน ติดต่อกันมากว่าสองอาทิตย์แล้ว มาถึงก็ไม่พูดไม่จาไม่ค่อยยิ้มแย้ม ยกมือไหว้แล้วก็เอาข้าวของเหล่านี้มาให้จนวางกองเต็มใต้ถุนบ้านไปหมด แม่เองก็ไม่กล้าถามว่าเขาทำแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่ เพราะร้อยวันพันปีเขาก็ไม่เคยมาสุงสิงกับบ้านเรา ช่วงหลังออกจะเป็นคนเก็บตัวเสียด้วยซ้ำไป”
หญิงชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะเล่า จำได้ว่าเมื่อก่อนไพโรจน์และอาชวินทร์เคยเป็นเพื่อนสนิทกัน เล่นหัวไปไหนไปมาไหนกันมาตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งอาชวินทร์แยกย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ในขณะที่ไพโรจน์บุตรชายเพียงคนเดียวของตนออกแววเจ้าชู้ไปทำผู้หญิงท้อง จนต้องผูกข้อไม้ข้อมือให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับรู้ แต่ด้วยความเป็นเด็กสุดท้ายก็ไปกันไม่รอด ทางฝ่ายหญิงเอารตาไปเลี้ยงถือสิทธิ์ขาดในการดูแลบุตรแต่เพียงผู้เดียว ไพโรจน์จะเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อไปเยี่ยมบุตรสาวปีละสองสามครั้ง
เพิ่งจะสองสามปีหลังมานี่แหละที่พอรตาเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ ทางฝั่งแม่จึงยอมให้รตาเดินทางมาพักที่บ้านพ่อได้ครั้งละหลายๆ วัน ไม่ได้คุมเข้มเหมือนตอนยังเป็นเด็ก
“โน่นไง ตายยากเสียจริงพ่อคุณ พูดถึงก็มาโน่นแล้ว”
หญิงชราชี้มือไปยังประตูรั้ว ชายรูปร่างสูงใหญ่ใส่เสื้อลายตารางสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงยีนสีซีดตัวเก่ง ขับมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างตรงเข้ามาภายในบริเวณบ้าน และแน่นอนว่าในรถพ่วงข้างมีเข่งผลไม้กว่าสามสี่เข่งเต็มไปหมด
“สวัสดีครับคุณป้า” เมื่อดับเครื่องมอเตอร์ไซค์เรียบร้อย อาชวินทร์ก็เดินมายกมือไหว้หญิงสูงวัย ก่อนจะหันไปยิ้มให้เพื่อนรักวัยเด็กที่แม้อยู่บ้านใกล้กันแต่ก็ไม่ค่อยเห็นหน้าค่าตากัน เพราะอาชวินทร์อยู่แต่ในไร่ ส่วนไพโรจน์ก็อยู่ดูแลร้านค้าที่ตลาด
รอยยิ้มของอาชวินทร์ที่มีให้เพื่อนรักวัยเด็กไม่ค่อยจริงใจเท่าใดนัก ด้วยรู้ตัวดีว่าจุดประสงค์ที่มาบ้านเพื่อนนั้นไม่บริสุทธิ์ใจ
หากไอ้โรจน์มันรู้ว่าเรามาชอบลูกสาวมัน มันคงคว้าปืนไล่ยิงกบาลจนวิ่งหนีแทบไม่ทันแน่ๆ
อาชวินทร์แอบกลืนน้ำลายลงคอแล้วแสร้งยืนเฉย ทำเป็นไม่สนใจสายตาจ้องจับผิดของไพโรจน์ที่มองมาอย่างเปิดเผย
“ไหว้พระเถอะลูก วันนี้เอาอะไรมาอีกล่ะ ป้าบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องลำบากขนมา”
“ผมเอาเมล่อนญี่ปุ่นพันธุ์โมมิจิมาฝากครับคุณป้า วันนี้ที่ไร่เก็บส่งลูกค้าก็เลยถือโอกาสเก็บมาฝากคุณป้าด้วยครับ” อาชวินทร์เดินกลับไปที่รถแล้วยกเข่งเมล่อนลงมาวางข้างแคร่
ไพโรจน์ยังคงมองอาชวินทร์ไม่วางตา อดคิดในใจไม่ได้ว่าเหตุใดอาชวินทร์จึงยังหล่อเหลาราวกับคนหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ในขณะที่ตนนั้นล้ำหน้าไปไกลโข ดูเอาเถอะ ยกลังผลไม้ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน หากเป็นเขาคงเอวเคล็ดปวดแปลบไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
“ขอบใจมากนะตาวินทร์ ความจริงไม่ต้องเอามาเยอะแยะขนาดนี้ก็ได้ ป้ากับตาโรจน์กินกันไม่หมดหรอก มันเยอะเกินไป” หญิงชราเอ่ยขอบอกขอบใจทั้งเกรงใจ ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องลำบากแบกหามมาฝาก อีกอย่างของพวกนี้ก็เป็นของซื้อของขายทั้งนั้น
“ผมยินดีครับ” อาชวินทร์ตอบพลางเหลือบมองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นใบหน้าหวานๆ ของสาวน้อยที่เข้ามานั่งในหัวใจ หนุ่มใหญ่ก็ออกอาการหัวใจห่อเหี่ยวจนลอบถอนหายใจออกมา
“ผมกลับก่อนนะครับคุณป้า ไปก่อนนะโรจน์”
เสียงมอเตอร์ไซค์แล่นออกไปพร้อมกับความงงงวยของไพโรจน์ เขาอดไม่ได้ที่จะขยับไปนั่งข้างๆ มารดาเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ไอ้วินทร์มันมาแค่นี้แล้วก็กลับทุกวันเลยเหรอแม่ มันไม่ทำอย่างอื่นบ้างเลยเหรอ”
“ก็เออน่ะสิ แม่ถึงว่าแปลก” ผู้เป็นมารดาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยต่อ “ตอนแรกแม่ก็แอบคิดว่าตาวินทร์จะมาจีบหลานสาวของแม่ แต่ไม่ว่าตาวินทร์จะมากี่ครั้งเจอหนูรตาบ้างไม่เจอบ้าง ก็ไม่เคยพูดจาเกี้ยวพาราสีเลยสักครั้ง ก็แค่รับไหว้ยายหนู ถามคำตอบคำ บางครั้งยายหนูพยายามชวนคุย แต่ตาวินทร์ก็ไม่ค่อยนำพา จากนั้นก็ขอตัวกลับเสียดื้อๆ”
ไพโรจน์ได้ยินมารดาเล่าเช่นนั้นก็ถึงกับพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วย ถ้านี่เป็นวิธีการจีบผู้หญิง ก็นับได้ว่าเป็นการจีบที่ห่วยแตกที่สุด แต่ก็นับ เป็นเรื่องดี เพราะคู่นี้มีวัยที่ห่างกันเกินไป หากเกิดชอบพอคบหากันขึ้นมาจริงๆ เขากลัวว่าจะมีปัญหาตามมาภายหลัง เขาไม่อยากให้ชีวิตรักของลูกสาวต้องพังลงเหมือนเขาที่แต่งงานมาถึงสี่ครั้งแต่ไม่เคยครองคู่กับใครได้ตลอดรอดฝั่งเลยสักราย ตอนนี้เขาเลยเลิกสนใจผู้หญิงแล้วหันไปเลี้ยงไก่ชนเพื่อความสวยงามและส่งประกวดแทน
“หรือว่าไอ้วินทร์มันจะมาจีบแม่” ไพโรจน์พูดติดตลก ผู้เป็นมารดาถึงกับค้อนขวับ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“อย่าทำเป็นเล่นไป พ่อแกก็ตายมาหลายปีแล้ว บางทีแม่ควรจะ มูฟออนมีรักครั้งใหม่เสียที”
“โอ้โห เดี๋ยวนี้รู้จักคำว่ามูฟออนด้วย”
“ก็หลานข้าแต่ลูกเอ็งนั่นแหละสอนมา นี่วันก่อนก็สอนให้แม่เล่นสมาร์ตโฟนด้วยนะ บอกว่าจะซื้อให้แม่เครื่องก่อนกลับกรุงเทพฯ” หญิงสูงวัยอยากจะคว้ามะม่วงใกล้มือเขวี้ยงใส่ลูกชายจอมยียวนเสียเหลือเกิน
“เดี๋ยวนี้ชักจะทันสมัยใหญ่แล้ว ตั้งแต่มีหลานสาวมาอยู่ด้วย ผมว่าแม่ดูสดใสขึ้นเยอะเลยนะ”
“ก็ถ้าลูกเอ็งกลับกรุงเทพฯ เมื่อไร แม่คงเฉาตาย” รอยยิ้มบนใบหน้าเหี่ยวย่นถึงกับจางหาย แววตาฝ้าฟางคลอไปด้วยหยาดน้ำใสจนร้อนผ่าวที่ขอบตา
ที่ผ่านมารตาแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนแค่สองสามวันเท่านั้น แต่ครั้งนี้รตาอยู่นานเกือบสามเดือน ทำให้หญิงสูงวัยเคยชินกับการมีหลานสาวมาออดอ้อนคอยพูดคุยจ๊ะจ๋า ซึ่งความเคยชินนี้แหละที่น่ากลัวหากต้องถูกพรากไป
“ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกนะแม่ บางทีรตาอาจอยู่กับพวกเราที่นี่ตลอดไปเลยก็ได้” ไพโรจน์นั่งเบียดมารดาแล้วโอบเอวเจ้าเนื้อเอาไว้อย่างปลอบโยน การอยู่ด้วยกันสองคนแม่ลูกในบ้านสวนที่กว้างขวางมันช่างเงียบเหงา แต่ก็เป็นความเหงาที่เคยชินจนเป็นกิจวัตรแล้ว กระทั่งรตาก้าวเข้ามา...บ้านที่เคยเงียบเหงาก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครึกครื้นแทบทุกวัน จนเขาและมารดาลืมความเหงาไปเสียสิ้น
“แกก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ อีกไม่กี่วันเดี๋ยวแม่ของนังหนูก็คงมารับกลับไป จากนั้นก็เหลือแค่แม่กับแกสองคนเหมือนเดิม เห็นหน้ากันจนเบื่อไปข้าง”
“เราอย่าเพิ่งทุกข์ไปก่อนล่วงหน้าเลยแม่ ทำวันนี้เวลานี้ให้มีความสุขดีกว่า ไหนดูซิว่าวันนี้แม่จะทำอะไรให้รตากินเป็นมื้อเย็น เดี๋ยวผมอาสาเป็นลูกมือช่วยแม่เอง” ไพโรจน์ชวนเปลี่ยนเรื่องคุย ก่อนจะช่วยมารดาทำอาหารอย่างชำนาญ ว่ากันว่าพวกขี้เมามักทำกับข้าวอร่อย ซึ่งเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เมามาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นจนอายุสามสิบปลายๆ ถึงได้เลิก แต่ก็ไม่ได้เลิกเด็ดขาด ยังคงหาเรื่องดื่มเวลามีเทศกาลเสมอ ที่งดเหล้าก็ไม่ใช่เพราะคิดได้อะไรหรอกนะ แต่เพราะป่วยเป็นตับอักเสบเลยต้องหันกลับมาดูแลตัวเองและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
ว่าแล้วเดี๋ยวแวะไปหาปู่แสงของไอ้วินทร์เสียหน่อย ไปขอชิมไวน์พิลังกาสาของแกสักขวดสองขวดพอให้เลือดลมไหลเวียนสะดวกคงจะดีไม่น้อยเลย