เลิกคิดถึงเด็กนั่นได้แล้ว!
เจ้าของร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะที่กำลังเดินตรวจสอบระบบน้ำในสวนผลไม้ แม้จะเฝ้าบอกตนเองว่าเรื่องของเขากับรตามันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เด็กนั่นอายุยี่สิบสองก็ยังห่างจากเขาตั้งสิบเก้าปี ด้วยวัย ด้วยความคิดความอ่าน อีกทั้งหากเขาเดินท่อมๆ เข้าไปจีบ รตาคงมองเขาเป็นไอ้เฒ่าหัวงูและเลิกนับถือในตัวเขา ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือการพยายามมองเธอเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่ง อย่างน้อยๆ เขาก็ยังยืนอยู่จุดเดิมในฐานะลุง
อาชวินทร์ใช้หลังมือเช็ดหยาดเหงื่อออกจากใบหน้า ความร้อนจากดวงอาทิตย์ยังไม่รุ่มร้อนเท่าภายในใจของเขาที่เวลานี้มันว้าวุ่นไม่เป็นสุข
เขาเฝ้าคิดว่าเมื่อเด็กคนนั้นเดินทางกลับไปอยู่กับมารดาที่กรุงเทพฯ ชีวิตที่สงบสุขของเขาก็จะกลับคืนดังเดิม แต่วันแล้ววันเล่าเด็กสาวก็ยังอยู่ที่นี่ ไม่มีท่าทีว่าจะกลับกรุงเทพฯ อีกทั้งเขายังเห็นหน้าเธอแทบทุกวัน ไปตลาดก็เจอ ไปห้างฯ เล็กๆ ในตัวจังหวัดก็เจอ แม้แต่ไปทำธุระที่อำเภอก็ยังเจอ วันดีคืนดีเด็กสาวก็ขับจักรยานผ่านหน้าบ้านแล้วส่งยิ้มหวานทักทายจนหัวใจของเขาเต้นระรัว
นี่เรียกว่าโลกกลมหรือพรหมลิขิตผิดเพี้ยนกันแน่นะ รตาถึงได้ตามหลอกหลอนเขาไม่เว้นวัน บางวันถึงกับเข้าไปหลอกหลอนในความฝันเลยทีเดียว
นั่นไง! ดูเอาเถอะ เขาคิดถึงเด็กคนนั้นจนเห็นภาพมายาว่าเธอมายืนยิ้มหวานอวดฟันขาวอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ไปเสียได้
“ไอ้วินทร์เอ๊ย ดันมาเสียคนตอนแก่เสียได้”
“เสียคนอะไรเหรอคะคุณลุง”
‘เฮ้ย!’ อาชวินทร์ถึงกับร้องเฮ้ยในใจพลางกระตุกไหล่กว้างเล็กน้อย ทว่าใบหน้ายังคงราบเรียบราวกับไร้ความรู้สึก แม้ว่าหัวใจจะเต้นโครมครามเมื่อสาวน้อยยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเขาได้กลิ่นโลชั่นทาผิวจากตัวเธอ
‘หอมเป็นบ้าเลย! หอมนวลๆ เหมือนกลิ่นแป้งเด็ก’ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก กระนั้นกลับสูดลมหายใจเข้าปอดรัวๆ เพื่อตักตวงความหอมจากเด็กสาวเข้ามาในร่างกายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ว่าแต่คุณลุงไปเสียคนตอนแก่เรื่องอะไรเหรอคะ” รตาถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นิ่งอึ้งไม่พูดไม่จา เอาแต่จ้องมองหน้าเธอตาแทบไม่กะพริบตา
“มะ...ไม่มีอะไรหรอก” อาชวินทร์หลุดจากภวังค์แห่งความหอมแล้วรีบปฏิเสธทันควัน ก่อนจะย้อนถามอีกฝ่าย
“แล้วหนูล่ะ มีธุระอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ หนูแค่อยากมาเที่ยวเล่นที่สวนผลไม้ของคุณลุง เห็นคุณย่าเล่าว่าสวนของคุณลุงปลูกผลไม้แบบปลอดสารพิษ สามารถเด็ดกินได้จากต้นสดๆ เลย จริงหรือเปล่าคะ” ประกายตาที่ถามนั้นแวววับฉายชัดว่าเธอสนใจผลไม้ ไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด
ก็ยอมรับว่าผิดหวังนิดหน่อยที่เธอไม่ได้มาหาเขา หัวใจของคนตัวโตห่อเหี่ยวราวกับลูกโป่งถูกเจาะปล่อยลมจนฟีบแบน
“ถ้าไม่ล้างก็อาจจะมีคราบฝุ่นคราบดินติดผลไม้อยู่บ้าง แต่ถ้าจะกินสดๆ ก็สามารถกินได้เลยไม่เป็นอันตราย เพราะที่นี่ใช้ปุ๋ยและควบคุมแมลงต่างๆ ด้วยวิธีทางชีวภาพทั้งหมด ปลอดภัยกับทุกชีวิตบนโลกใบนี้แน่นอน”
“หนูขอลองชิมได้ไหมคะ” เธอขออนุญาตทั้งที่มือนั้นยื่นไปช้อนพวงองุ่นใกล้ๆ ด้วยท่าทางทะนุถนอม
“ได้สิ”
เมื่อเจ้าของสวนเอ่ยอนุญาต เธอก็ปลิดขั้วพวงองุ่นอย่างรวดเร็ว จัดการเด็ดองุ่นใส่ปากทีละสามลูก เคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มโย้ เพียงชั่วพริบตาองุ่นพวงใหญ่ทั้งพวงก็มลายหายวับ ตามลงท้องไปด้วยพวงที่สองและสาม อาชวินทร์มองคนตัวเล็กที่กำลังกินองุ่นด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยแล้วก็ถึงกับแอบอมยิ้ม
สวนผลไม้กว่าสามสิบไร่นี้คือความภูมิใจของอาชวินทร์ การที่เขาสามารถปลูกผลไม้ส่งขายและได้รับคำชมจากลูกค้าทำให้เขามีกำลังใจที่จะยืนหยัดบนอาชีพเกษตรกรต่อไป ทว่าความภูมิใจเหล่านั้นเทียบไม่ได้เลยเมื่อเขาได้เห็นเด็กสาวที่เขาแอบรักมีความสุขกับการกินผลไม้ที่เขาเฝ้าบ่มเพาะ หัวใจที่ฟีบแบนเมื่อสักครู่กลับพองโตจนคับอก คล้ายกับว่าตัวเขาถูกเธอปลิดออกจากขั้วแล้วเคี้ยวกินไปทั้งเนื้อทั้งตัวก็ไม่ปาน
“ทางด้านโน้นมีมะยงชิดด้วยนะ”
“ว้าว! จริงเหรอคะคุณลุง”
“จริงสิ หนูอยากไปชิมหรือเปล่า” เขาพยักหน้าแล้วชี้ไปทางอีกฝั่งของไร่ แล้วก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นเด็กสาวดึงชายเสื้อยืดขึ้นมาเพื่อเด็ดองุ่นอีกพวงห่อใส่ชายเสื้อเอาไว้ เขาจึงเดินไปหยิบตะกร้าหวายส่งให้เธอ
“ถ้าชอบมากก็เด็ดใส่ตะกร้าเถอะ จะได้เอากลับไปกินที่บ้านด้วย”
“ขอบคุณค่ะคุณลุง คุณลุงน่ารักที่สุดเลย”
‘น่ารักก็รักเลยสิ’ อาชวินทร์ได้แต่พูดคำนั้นในใจ ก่อนจะแสร้งชวนคุยเรื่องอื่นกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เกือบจะแสดงออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้
“หนูชอบกินผลไม้เหรอ”
“ใช่ค่ะ หนูชอบกินผลไม้ทุกชนิดบนโลกนี้ กินได้ทุกอย่าง กินได้ทุกวันไม่มีเบื่อ” เธอพูดโอ้อวดสรรพคุณการกินผลไม้เก่งของตนเองอย่างภาคภูมิใจ “หนูเคยกินทุเรียนทีเดียวสามลูก อิ่มจุกจนแทบลุกไม่ขึ้นเลยค่ะ อย่างพวกเงาะหนูก็กินได้ทีละหลายกิโลฯ จนคุณแม่ส่ายหน้าบอกว่าเลี้ยงไม่ไหวค่ะ” เธอพูดติดตลก ในขณะที่มือนั้นยังเด็ดพวงองุ่นใส่ตะกร้าโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
‘แม่หนูเลี้ยงไม่ไหวแต่ฉันเลี้ยงไหวนะ ฉันมีผลไม้ให้หนูกินทุกวัน’ คิดออกไปแบบนั้นแล้วก็อยากจะตบกะโหลกตัวเอง เป็นเอามาก นี่ถ้ารตาอ่านใจเขาออกป่านนี้เธอคงวิ่งหนีตาลุงโรคจิตไปแล้ว
“เห็นว่าเรียนจบแล้ว จากนี้จะทำอะไรต่อ”
อาชวินทร์ชวนคุย เพราะอยากรู้เรื่องราวของเด็กสาวจอมตะกละให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเกี่ยวกับเธอเขาก็สนใจใคร่รู้ทั้งนั้น
“แม่อยากให้หนูเรียนต่อปริญญาโทค่ะ แต่หนูอยากทำงานเก็บเงินมากกว่า หนูโตแล้วหนูอยากยืนได้ด้วยตัวเองโดยไม่ขอเงินแม่ แต่แม่ไม่ยอมค่ะ แม่จะให้หนูเรียนต่อให้ได้ หนูเลยหนีมาอยู่กับพ่อเสียเลย” เธอพูดพลางย่นจมูกน้อยๆ คล้ายไม่ใส่ใจ ทว่าในดวงตากลับมีหยาดน้ำใสเอ่อคลอ
“ผู้ใหญ่ก็มักจะมองเราเป็นเด็กเสมอ”
“ตั้งแต่เล็กจนโตหนูถูกแม่บังคับมาโดยตลอด เรียนบัลเลต์ เรียนรำไทย เรียนร้องเพลง เรียนลีลาศ พอโตขึ้นมาอีกหน่อยแม่ก็ให้หนูเรียนคณะที่แม่ชอบ แม่ไม่เคยถามว่าหนูต้องการอะไร โชคดีนะคะที่พ่อเลี้ยงของหนูคอยห้ามไม่ให้แม่บังคับหนู แต่ก็แค่ครั้งคราวค่ะ เพราะพ่อเลี้ยงทำงานอยู่ต่างประเทศ ปีหนึ่งกลับเมืองไทยแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่เห็นว่าปลายปีนี้พ่อเลี้ยงจะเกษียณแล้วกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยค่ะ”
“หนูโตแล้วและเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มั่นใจในตัวเองเข้าไว้แล้วจงเลือกทำในสิ่งที่ตนเองรักและมีความสุข โดยสิ่งนั้นต้องเป็นประโยชน์ต่อตนเองและไม่เป็นโทษต่อผู้อื่น จากนั้นเดี๋ยวอะไรๆ ก็คงคลี่คลายไปในทางที่ดีเอง”
เขายื่นมือไปวางบนศีรษะของหญิงสาว การได้ระบายความอัดอั้นในใจให้ใครสักคนฟังทำให้รตาเผลอปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น
“ถ้าอยากร้องก็ร้องออกมาเลย สบายใจเมื่อไหร่ค่อยหยุดร้องแล้วไปกินผลไม้ทางโน้นกัน หนูชอบชมพู่มะเหมี่ยวหรือเปล่า ชมพู่มะเหมี่ยวที่นี่ทั้งหวานทั้งกรอบไม่เป็นรองใครเลยนะ”
น้ำตาหยดโตที่ไหลพรากๆ แทบจะหยุดลงกะทันหัน เธอดึงคอเสื้อเช็ดหยาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะฝืนยิ้มทั้งที่ใบหน้ายังแดงก่ำ “หนูสบายใจขึ้นแล้วค่ะ เราไปกินชมพู่มะเหมี่ยวกันดีกว่า เย่!” พูดจบรตาก็คว้าตะกร้าเดินกึ่งวิ่งนำเจ้าของสวนไปก่อนล่วงหน้าทันที
“เด็กหนอ” อาชวินทร์ส่ายหน้าน้อยๆ มองเด็กสาวที่เปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วเพียงเพราะถูกล่อหลอกด้วยผลไม้ที่แสนโปรดปราน
ยิ่งได้พูดคุย ยิ่งได้สนิทชิดใกล้ หัวใจของอาชวินทร์ก็ยิ่งกระโจนลงไปในหลุมรัก นับจากนี้ต่อให้ใครเอาช้างทั้งโขลงมาช่วยกันฉุดช่วยกันลากเขาขึ้นมาก็คงไร้ผล เพราะเขายินดีที่จะนอนอยู่ใต้หลุมรักแห่งนี้ตลอดไป