ในค่าย ทหารราบโรมันจะฝึกการรบประชิดตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อยามออกทัพจับศึกจริงจะได้รู้สึกว่าสมรภูมินั้นเปรียบกิจวัตรประจำวันนั่นเอง วันนี้เชลาลุสนำกองพันที่อยู่ในสังกัดฝึกซ้อมใหญ่ก่อนการรบจริงจะอุบัติในวันพรุ่ง
“เดินให้กระฉับกระเฉง เวลาอยู่ในสนามรบจะมามัวชักช้าอย่างนี้ไม่ได้”
เชลาลุสสั่งเสียงดังขณะอยู่บนหลังเจ้าบาราม มองกองกำลังทหารที่ยืนอย่างเป็นระเบียบกลางแดดจ้าเมื่ออาทิตย์ขึ้นเต็มดวง แต่ละกองมีทหารหนึ่งร้อยนายยืนทัพรูปสี่เหลี่ยม แถวละสิบคนลึกสิบแถว
ทหารโรมันจัดรูปแบบทัพออกศึกแบบฟาแลงซ์ (Phalanx) แบ่งเป็นสามแนวใหญ่ตามการถืออาวุธ
แนวหน้าเรียกฮัสตาติ (Hastati) หรือกองทหารราบเบา เป็นพลทหารหนุ่มอายุน้อยเดินเท้าถือหอกยาวที่มือขวา มือซ้ายถือโล่ไม้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มีดาบสองคมห้อยติดเอว สวมเสื้อเกราะหนัง
“ยืนไหล่ชิดไหล่” เชลาลุสสั่งแก้เมื่อเห็นข้อบกพร่อง
“มุมนั้นชิดกันอีก เว้นช่องว่างห่างนักจักเป็นจุดอ่อนให้แก่ศัตรู”
เขาย่างม้าเข้าไปใกล้ตำแหน่งที่เหล่าทหารยืนไม่ตรงใจ แล้วอธิบาย
“ฮัสตาติ พวกเจ้าต้องถือหอกให้มั่น การที่พวกเจ้าเดินแถวชิดๆ กันจะทำให้ศัตรูเข้ามาประชิดตัวได้ยาก”
พลเดินเท้าต่างขยับตามอย่างแข็งขันจนเชลาลุสพอใจ
“ดีมาก แก่นของพลหอกยาวอยู่ที่ความเป็นหนึ่งเดียวและมีระเบียบวินัย พวกเจ้าจงจำไว้”
แนวถัดมาเรียก ปรินซิเป (Principes) หรือกองทหารราบหนัก ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มทหารวัยกลางคนที่เคยผ่านศึกมาแล้ว พวกเขาจะถืออาวุธหนักและสวมเสื้อเกราะโซ่
ส่วนแนวหลังคือ ทรีอารี (Triarii) หรือทหารหอก ถือโล่ขนาดใหญ่ สวมเกราะเหล็ก ส่วนมากจะเป็นทหารอาวุโสคอยควบคุมทหารทั้งกองให้เดินตรงไปข้างหน้าต่อสู้ศัตรู
“ข้าจะให้ท่านฟาธามช่วยอธิบายหลักการเดินทัพ จงปฏิบัติให้เต็มที่ ให้ดีที่สุดสมชื่อเสียงที่เราได้รับมา”
เชลาลุสเดินม้าถอยลงมา เปิดทางให้ผู้อาวุโสกว่าบนอาชาสีน้ำตาลเข้ามาคุมการฝึกแทน
“ทหารแนวแรกจะเข้าปะทะก่อน โดยใช้หอกทะลวงแนวของศัตรู เมื่อเข้าประชิดตัวจึงใช้ดาบสองคมที่มีความคล่องตัวเพื่อบุก”
ฟาธามเหยาะม้าสู่แนวถัดไป “ทหารแนวที่สองจะเดินตามหลังไปติดๆ หากข้าศึกยังคงสู้ไม่ถอย ทหารแนวแรกจะรอสัญญาณแตรเพื่อถอยร่น เปิดทางให้แนวที่สองก้าวขึ้นมาทำการรบแทน”
ลีเกตผู้มากประสบการณ์วิ่งม้าสู่แนวสุดท้าย “กลุ่มนี้จะอยู่ในท่านั่งชันเข่า รอดูสถานการณ์พร้อมยกโล่ขึ้นป้องกันตัว หากการรุกรบของทหารแนวที่สองล้มเหลวอีก ทหารทั้งสองแนวจะถอยเข้ามาอยู่หลังแนวป้องกันของทหารแถวสุดท้าย ซึ่งจะลุกขึ้นพร้อมกับอาวุธหนัก ดาหน้าเข้าบดขยี้ศัตรูต่อไป”
เชลาลุสเดินม้ามายืนเคียงข้างฟาธามเพื่อกล่าวเสริม
“ด้วยวิธีการนี้ จะช่วยให้กองทัพของเราสามารถรุกรับได้อย่างมีระบบ และทำให้เหล่าทหารอย่างพวกเจ้ามีโอกาสพักระหว่างการทำศึก”
กำลังพลฝึกสับเปลี่ยนหมุนเวียนทั้งเป็นแนวรบและรุกต่อเนื่องหลายชั่วโมง จนแสงตะวันแรงจัด เชลาลุสจึงสั่งพักการซ้อม ฟาธามบังคับม้าเข้ามาใกล้ๆ พลางเอ่ย
“เชลาลุส เจ้ารู้หรือไม่ที่ท่านแม่ทัพเรียกแม่นางระรันตาไปพบค่ำนี้”
“อะไรนะท่าน”
ทหารหนุ่มแทบไม่มีสมาธิซักซ้อมสองสามกระบวนท่าที่เหลือ ส่วนใหญ่เป็นฟาธามที่ให้คำแนะนำแก่เหล่าทหาร เขาได้แต่ยืนม้านิ่งมองกำลังพลผลัดรุกรับ หากในใจล่องลอยไปไกลแสนไกล คำถามมากมายในความคิดคำนึง หัวใจสั่นคลอนอยากจะแล่นลิ่วไปหาใครบางคนเสียเดี๋ยวนั้น
----------
ดึกดื่นคืนนั้นทหารหนุ่มนอนไม่หลับ แม้รู้ว่ารุ่งสางต้องยาตราทัพแล้ว เขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย นี่ทำไมหัวใจมันรุ่มร้อนอยากแต่จะพบหน้าใครบางคน เขาอยากแล่นลิ่วไปกระโจมท่านแม่ทัพไปดูให้เห็นกับตาว่าท่านเรียกนางไปด้วยเหตุอันใด แต่แล้วก็กลัวจับใจหากสิ่งที่เขากลัดกลุ้มกังวลจะเป็นจริง เชลาลุสได้แต่กำมือแน่น ชกลมชกฟ้าไปในอากาศ แล้วเขาก็ต้องผลุนผลันออกจากกระโจมเมื่อความอึดอัดคับข้องใจมันล้นทะลักจากอก
เขาตัดสินใจเดินมายังกระโจมของนานัน แล้วกระแอมอยู่หลายที นานันเบิกตาเมื่อเห็นเขา แต่ก็ไม่ตกอกตกใจเท่าคราแรกๆ ที่เขามาหานาง นานันคงจะคุ้นชินแล้วกระมัง
อย่างน้อยๆ เชลาลุสก็ใจชื้นขึ้นที่นานันบอกว่าจะเข้าไปตามนางให้ นั่นแสดงว่านางมิได้อยู่กระโจมท่านแม่ทัพข้ามคืนอย่างที่เขากังวล แล้วร่างอรชรในชุดผ้าคลุมสีขาวนวลก็ปรากฏตรงหน้า เขาถลันเข้าไปชิดใกล้ทันที
“ระรันตา เจ้า เอ่อ เจ้า” ทหารระดับตรีบูนผู้ผ่านศึกน้อยใหญ่มามากมาย กลายเป็นคนอ้ำอึ้งไปได้ เขาอยากตีตัวเองเสียจริง อยากพูดอะไรตั้งมากกลับกลายเป็นไม่กล้า
“ท่านมีอะไรกับข้าอย่างนั้นรึ ท่าน...เจ็บไข้หรือเปล่า” นางมองเขาอย่างพินิจ
“ใช่ ข้าจับไข้ จับไข้หนักทีเดียวเชียว” เขาตอบ
“อะไรนะท่าน” นางอังมือนิ่มเคล้ากลิ่นแป้งหอมบนหน้าผากเขา คิ้วโก่งงามขมวดน้อยๆ เชลาลุสจับมือนางมากุมไว้กลางอก
“ข้าเป็นไข้ใจเพราะเจ้า รู้ตัวหรือไม่”
นางดึงมือกลับ แต่เขายึดไว้ “ระรันตา ท่านแม่ทัพเรียกตัวเจ้าไปใช่หรือไม่”
“ท่านรู้” ท่าทางตระหนกของนางทำเขาใจคอไม่ดี
“ท่าน ท่านต้องการอะไรจากเจ้า” เขาถามร้อนรน
“ท่านถามเช่นนี้หมายความว่ากระไร” น้ำเสียงและสีหน้าของนางบ่งบอกว่าไม่พอใจ
“หมายความตามที่ข้าถามนั่นแล” เชลาลุสย้ำ
นางปั้นปึ่งเมินหน้าหนีจนทหารหนุ่มเผลอดึงแขนเรียว “ทำไม ข้าไม่มีสิทธิ์จะรู้ดอกหรือ”
“ท่านเป็นถึงทหารเอก มีเรื่องใดที่ท่านจะไม่รู้ได้”
เชลาลุสรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่เคยเป็น มันอึดอัดเพราะมิอาจดุ ว่ากล่าว หรือสั่งลงโทษอะไรนางได้ มันเป็นความหงุดหงิดที่ประหลาดที่สุดที่เขาไม่เคยพานพบ
เขาพ่นลมหายใจแรง มองนางเขม็ง “หากเรื่องการศึกข้าถามท่านได้หมดสิ้น แต่เรื่องแบบนี้ข้าจักถามไถ่ได้เยี่ยงไร แลท่านเองก็คงไม่มาป่าวประกาศบอกข้าหรอก”
“ท่านคิดอะไรของท่าน ท่านมองข้าเป็นหญิงไร้ค่าเช่นนั้นหรือ หากท่านคิดอยู่แล้วว่าท่านแม่ทัพเรียกตัวข้าด้วยเหตุอันใด ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาบีบคอเค้นถามเอาอย่างนี้หรอก”
เขาดึงตัวนางเข้ามาจนชิดอกกำยำของตน ความโกรธแล่นพล่าน “ระรันตา! ทำไมต้องเล่นลิ้นกับข้า แค่ตอบมาว่าท่านต้องการตัวเจ้าใช่หรือไม่แค่นั้น!”
“ท่านดูแคลนข้าเหลือเกิน ข้ามิอยากพูดคุยกับท่านแล้ว มิอยากเห็นหน้าท่านด้วย” เสียงนางเครือทำหัวใจเขาอ่อนยวบ แต่ความน้อยใจที่นางไม่ยอมเอ่ยวาจาตรงๆ มีมากกว่า
“ข้ามิได้ดูแคลนเจ้าเลย เจ้าไม่รู้ดอกว่า ทันทีที่ข้ารู้ว่าท่านแม่ทัพเรียกตัวเจ้า หัวใจข้าก็ร้อนรนเหลือเกิน เจ้าก็รู้มิใช่หรือว่าข้าคิดกับเจ้าเยี่ยงไรระรันตา”
ดวงตาหวานของนางที่จ้องมองมามีแววทระนง “ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าคำตอบจะเป็นเช่นไร ก็ไม่น่าจะมีความหมายกับท่าน”
“มีสิ เพราะข้าจักได้รู้ว่า จะต้องทำอย่างไรต่อไปกับหัวใจของตัวเอง”
----------
ฟ้ายังมิทันสาง กองกำลังโรมันก็เคลื่อนทัพสู่เมืองฮาดรานอนเป็นเมืองแรกตามแผน เชลาลุสแทบไม่ได้นอน ความคิดสับสนปนเป หัวใจห่อเหี่ยวจนไม่มีสมาธิ แต่เมื่ออยู่ในขบวนทัพและมองธงอินทรีย์ที่ผงาดขึ้นฟ้าตรงหน้า เขาก็รู้ว่าหน้าที่ทหารหาญมาก่อนสิ่งอื่นใด เชลาลุสตัดใจทิ้งความคิดกังวลในหัวใจไว้เบื้องหลัง มุ่งมั่นกับการทำศึกครั้งนี้อย่างเต็มกำลัง
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ควบเจ้าบารามขึ้นนำหน้าไปพร้อมๆ กับท่านแม่ทัพ ส่งสัญญาณให้กองทัพเดินด้วยฝีเท้าม้าเบาที่สุด ทุกกองพัน กองร้อยต่างเข้าประจำที่ตามตำแหน่งกลยุทธ์ที่ฟาธามกับท่านแม่ทัพเป็นผู้วางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
และเมื่ออรุณรุ่งโรมก็ปิดล้อมเมืองฮาดรานอนได้สำเร็จ การปิดล้อมเมืองใช้เวลาอยู่นาน มีการปะทะกันย่อมๆ เป็นครั้งคราว หากในที่สุดโรมก็สามารถยึดได้สำเร็จ
และเป้าหมายถัดไปของกองทัพโรมคือเมืองเคนโทริปา ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากฮาดรานอนนัก
ระหว่างทางเดินทัพ เชลาลุสบังคับม้าคู่กับฟาธาม ต่างพูดคุยถึงกลศึกในการยึดเมืองต่อไป กระทั่งจู่ๆ ฟาธามก็เอ่ยถามเรื่องอื่นอย่างที่เขาไม่คาดคิด
“สีหน้าเจ้าดูไม่สบายใจ มีเรื่องใดให้คิดอยู่ในใจหรือไม่เชลาลุส”
ทหารหนุ่มมองฟาธาม ผู้ซึ่งเขานับถือประหนึ่งญาติผู้ใหญ่ ท่านอยู่กับกองทัพและทำศึกมายาวนานจนเป็นลีเกต...ผู้ช่วยแม่ทัพในปัจจุบัน เชลาลุสเองนั้นได้พบกับฟาธามตั้งแต่วันที่เขาเข้ามาอยู่ประจำกองทัพ...วันแรกของการเริ่มชีวิตข้าราชการทหารแห่งโรม
“ข้า...เอ่อ มิมีสิ่งใดสำคัญดอกท่านฟาธาม” เขาเอ่ยปัด
ฟาธามกลับอมยิ้ม “กังวลเรื่องแม่นางคนงามจากเมสซานาล่ะสินะ”
“ท่าน” เขามองผู้อาวุโสที่อ่านใจทะลุปรุโปร่ง
ฟาธามเหยาะม้าใกล้ขึ้นเพื่อเอ่ย “ท่านแม่ทัพน่ะรู้ใจทหารเอกอย่างเจ้า อย่าได้กังวลไป”
เขาเบิกตา กังขากับประโยคนั้นขณะฟาธามยิ้มอย่างผู้มากประสบการณ์
“มุ่งการศึกให้สบายใจเถิด แล้วกลับไปครานี้ก็อย่าปฏิเสธหัวใจตัวเอง หากหัวใจเจ้าเรียกร้องสิ่งใดก็จงทำตามเสีย”
เชลาลุสลอบกลืนน้ำลายเลยทีเดียว สบตาผู้อาวุโสอย่างจำนน
“ท่านมองข้าออกเสมอ”
ฟาธามหัวเราะ เอื้อมมือมาตบบ่าเขา “อย่าลืมล่ะ สงครามพิวนิกครั้งนี้ยืดเยื้อนัก ข้ายังไม่รู้ว่าหมดช่วงชีวิตข้า มหาสงครามนี้จะสิ้นสุดหรือไม่”
เชลาลุสนิ่งงัน
ผู้อาวุโสถอนใจ “เจ้าก็คงรู้สึกได้ว่านี่เพิ่งเริ่มต้น เรายังไม่ได้ปะทะกับคาร์เธจซึ่งๆ หน้าเลย และไหนจะทางชายฝั่งตะวันตกด้านโน้นอีกล่ะ เจ้าเชื่อข้าหรือไม่ มหาสงครามพิวนิกนี้จะเปิดศักราชให้โรมได้แสดงศักยภาพทางราชนาวีเป็นแน่”
“ท่านมองการณ์ไกลเสมอ ข้านับถือท่านนักท่านฟาธาม” เชลาลุสค้อมศีรษะ
ฟาธามมองเขาด้วยสายตาดุจญาติมิตร “ฉะนั้น เจ้าอยากทำสิ่งใดจงอย่าได้รอช้า ที่สำคัญ” ผู้อาวุโสหลิ่วตา “ไม่มีใครรู้ได้ดอกว่า รักแท้จะเกิดขึ้นเมื่อใด”
ฟาธามบังคับม้าห่างไป ทิ้งเชลาลุสทบทวนกับคำพูดนั้น ทหารหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากว้าง...คิดถึงดวงหน้างาม...จับใจ
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **