เย็นวันถัดมา ฟืนจำนวนมากถูกนำมากองรวมกันบริเวณชายป่า ด้านหลังห่างค่ายกองทัพโรมันไม่มาก ทหารหลายนายช่วยกันลำเลียงเกวียนขนศพทหารราบโรมันนับร้อยนับพันที่พลีชีพในศึกที่ผ่านมามุ่งไปยังชายป่า ทั้งม้าเทียมเกวียน ทั้งทหารลากเกวียน เดินไปมาขวักไขว่จนดูชุลมุนไปทั้งค่าย
แถวยาวของทหารแบกฟืนมุ่งไปทิศทางเดียวกันผ่านหน้าเรือนโภชนา
“ท่านแม่ทัพจัดพิธีฌาปนกิจ ส่งดวงวิญญาณทหารหาญกลับคืนสู่ฟ้า เราควรไปร่วมพิธีศักสิทธิ์นี้ด้วยกันนะ” นานันเอ่ยชวน
ทั้งสองจึงเดินตามแถวทหารไปจนถึงชายป่า ระรันตาเห็นร่างเหล่าทหารผู้วายชนม์นอนเรียงรายทับถมกันขึ้นไปเหนือกองฟืน เป็นภาพอันน่าสลดแลเวทนายิ่งนัก
“ข้าเพิ่งได้เห็นการเผารวมแบบนี้เป็นครั้งแรก ช่างน่าหดหู่เหลือเกิน” สายตาและน้ำเสียงนานันหม่นเศร้าดั่งสีทึมเทา
“แสดงว่าปกติมิได้ทำเยี่ยงนี้ดอกหรือ” ระรันตาสงสัย
นานันถอนใจ “ที่ข้าเคยเห็นคือหน่วยรบเล็กๆ ที่มีทหารเสียชีวิตในสนามรบไม่มากนัก เขาจะเผาทีละศพ และเก็บเถ้าแยกไปเป็นรายๆ นำกลับไปให้ญาติพี่น้อง”
ระรันตาพยักหน้ารับ นานันยังคงเล่าต่อด้วยน้ำเสียงไม่สดใส
“แต่ที่นี่ทัพใหญ่ ทหารสูญเสียจำนวนมากก็ต้องเผารวมอย่างนี้ล่ะ ข้าเคยได้ยินพวกทหารผ่านศึกพูดถึงอยู่บ้าง ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเห็นกับตาจริงๆ” นานันยกมือขึ้นประสานตรงอกพร่ำภาวนา
“การศึกยังเพิ่งเริ่มเท่านั้น ไม่รู้จะอีกกี่ชีวิตที่ต้องดับสิ้น กว่าสงครามจะยุติลงได้”
ระรันตาประสานมือเช่นกัน หากนึกถึงหมู่บ้านตนเองที่แตกสลาย ชีวิตของเพื่อนพ้องร่วมหมู่บ้านและครอบครัว รวมทั้งชีวิตของบิดา ที่ต้องจบสิ้นลงจากผลพวงของความขัดแย้ง นำมาซึ่งสงคราม นำมาซึ่งความสูญเสียอันประเมินค่าไม่ได้
ผู้คนในกองทัพหลั่งไหลเข้าร่วมพิธีไม่ขาดสาย แม้มีอาการบาดเจ็บก็พร้อมใจกันมาเพื่อส่งเพื่อนทหารอันเป็นที่รักของพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย
เหล่าทหารในชุดนักรบเต็มยศตั้งแถวเรียงรายอย่างให้เกียรติ แก่วีรบุรุษผู้หลับใหลนิ่งสงบเบื้องหน้า แถวหน้าสุดเป็นทหารระดับขุนพลกองทัพ ระรันตาเห็นท่านแม่ทัพ ท่านฟาธาม และเขา...ในตำแหน่งผู้นำกองพัน ร่างสูงใหญ่กำยำของเชลาลุสยืนเคียงข้างท่านแม่ทัพ ท่วงท่าสง่างาม สำรวม สงบนิ่ง แววตาทุกคนแฝงด้วยความอาดูร
ถัดออกไปด้านข้าง แถวพลแตรยืนเป็นแนวดั่งเส้นขอบไม้บรรทัด เมื่อได้ฤกษ์ แม่ทัพคลอดิอุสก็ให้สัญญาณเริ่มพิธี แตรดังยาวโหยหวนชวนโศกเหลือคณา สิ้นสุดเสียงแตร ท่านแม่ทัพก็ก้าวออกไปเปล่งวาจา
“พี่น้องทหารหาญทุกคน พวกเรามาที่นี่พร้อมเพรียงกันในวันเวลานี้ ก็เพื่อร่วมเป็นเกียรติในพิธีส่งเพื่อนพ้องของเราเดินทางครั้งสุดท้าย พวกเขาได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์เต็มที่แล้ว พวกเขาทุ่มเทพละกำลัง ทั้งแรงกาย แรงใจอย่างเต็มความสามารถในสนามรบ แม้พวกเขาจะพ่ายแพ้ในที่นั้น แต่พวกเขาจะเป็นผู้ชนะที่อยู่ในใจเราตลอดไป เพราะพวกเขาคือผู้เสียสละที่ยิ่งใหญ่ ที่ต้องพลีชีพบนแผ่นดินที่มิใช่บ้านเกิดตนเอง บัดนี้ถึงเพลาแล้ว ที่เราจะส่งเขาขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ไปกับเปลวอัคนีที่เจิดจ้าบนร่างพวกเขาทุกๆ คน”
เชลาลุสถือคบเพลิงอันใหญ่เดินเข้าไปให้แก่ท่านแม่ทัพ ท่านรับแล้วก้าวไปใกล้กับกองฟืนใหญ่ กล่าวคำอำลาก่อนจากนิรันดร์
“แด่เหล่าทหารหาญในบังคับบัญชาของข้า พวกเจ้าคือลูกน้องผู้ภักดี พวกเจ้าคือเพื่อนของข้า และพวกเจ้าคือวีรบุรุษแห่งโรม ที่ประวัติศาสตร์จักจารึกไว้ตราบนานเท่านาน ลาก่อน”
ท่านแม่ทัพแตะคบลงบนกองฟืน ทันทีที่เปลวแรกบังเกิด เสียงแตรอันโหยหวนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ไฟลามเลียอย่างรวดเร็วและลุกโชนขึ้นเหนือร่างของเหล่าวีรชน จนเป็นเพลิงสีส้มขนาดใหญ่ส่งไอร้อนระอุ ท่านผู้นำทัพถอยกลับมายืนตำแหน่งเดิม ทุกคนในที่นั้นต่างอยู่ในกิริยาสงบนิ่ง ก้มศีรษะลงเป็นการไว้อาลัยและให้เกียรติอย่างสูงสุด
ระรันตาที่แม้มิได้เป็นชาวโรมัน แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางพิธีฌาปนกิจ บรรยากาศสูญสิ้นที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความอาลัยและการจากลา นางอดน้ำตาไหลไปด้วยไม่ได้ ส่วนนานันที่ยืนข้างๆ ยกหลังมือปาดน้ำตาตลอดเวลา ระรันตาโอบไหล่สตรีร่างท้วมเพื่อปลอบโยน ทั้งสองยืนร่วมพิธีอยู่นานหลายชั่วโมงจึงค่อยพากันกลับยังกระโจมที่พักเมื่อท้องฟ้าเริ่มหมดแสง
หากท่านแม่ทัพและเหล่ากำลังพลยังคงหยัดยืนอยู่ตรงนั้น เพื่อเป็นเกียรติและไว้อาลัยต่อดวงวิญญาณตรงหน้า จนกว่าเพลิงจะมอดไหม้จนเหลือแค่เพียงเถ้าถ่าน เพื่อเป็นการลาจากอย่างสมบูรณ์
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **