ทดลองอ่าน Sicily...ที่นี้มีรัก : ตอนที่ 10

 

 

ตอนที่ 10

 

 

ในกระโจมของทหารระดับตรีบูนผู้คุมกองพันกว้างพอสมควรถ้าเทียบกับที่นางอยู่กับนานัน ระรันตาเดินอย่างกล้าๆ กลัวๆ เข้าไปเมื่อทหารด้านหน้าอนุญาต คราแรกนางคิดว่าแค่ส่งอาหารตรงหน้ากระโจมนั้น แต่ทหารเวรกลับบอกว่าได้รับคำสั่งให้นางเอาเข้าไปให้ด้านใน

หญิงสาวชะงักเมื่อเขาเดินออกมาจากม่านสีขาวซึ่งน่าจะกั้นกระโจมชั้นในที่เป็นส่วนตัว เชลาลุสถอดเกราะและชุดนักรบออกไปทั้งหมดแล้ว ลำตัวด้านบนเปลือยเปล่า เผยมัดกล้ามกำยำไปทุกส่วน กระโปรงหนังสั้นเพียงเข่าเห็นน่องเป็นมัดๆ ใบหน้าอิดโรยเมื่อครู่ดูสดใสขึ้นด้วยหยดน้ำเกาะพราวส่งให้มีเสน่ห์ชวนมอง กระนั้นก็ยังเห็นดวงตาทั้งสองคล้ำชัดเจน หนวดและเครายังคงดกหนา

นางละสายตามิอาจมองได้นาน มือสั่น หน้าร้อนวาบขึ้นมาเอง นางวางอาหารที่นานันช่วยตระเตรียมทั้งขนมปังอบใหม่ ซุปอุ่นร้อน และเหยือกกาแฟพร้อมถ้วยดินเผา เสร็จแล้วก็รีบเก็บถาดค้อมตัวเพื่อเดินกลับออกไป

“เดี๋ยวสิเจ้า” เชลาลุสก้าวยาวๆ เพียงสองก้าว ก็มาหยุดตรงหน้านาง

กลิ่นสมุนไพรหรืออะไรบางอย่างสดชื่นออกจากตัวเขา น่าจะเป็นน้ำที่เขาใช้ล้างหน้า หญิงสาวกอดถาดไว้กับตัวแน่นกลัวมือจะสั่นต่อหน้าเขาเหลือเกิน ทว่าเมื่อเขาเอ่ยความต้องการ ระรันตาก็แทบจะปล่อยถาดหลุดจากมือ

“เจ้าช่วยโกนหนวดกับเคราให้ข้าได้หรือไม่”

ทหารหนุ่มนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวกลมไร้พนัก ด้วยความสูงแม้เขานั่งนางก็ไม่ยืนค้ำศีรษะจนเกินงาม หากต้องประจันหน้าเขานี่สิทำระรันตาประหม่าเหลือเกิน มือที่ถือใบมีดโกนสั่นจนเขาจับได้

“ระรันตา เจ้ากลัวข้าหรือ” เขาถาม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทรงเสน่ห์จ้องมอง

“เอ่อ...ข้า กลัวว่าจะทำมีดบาดท่านต่างหาก” นางตอบปัดไปเช่นนั้น

ริมฝีปากที่ชุ่มน้ำเพื่อเตรียมพร้อมในการโกนขยับแย้มยิ้ม “ข้ารู้เจ้าไม่มีวันทำมีดบาดข้า เจ้าเขินข้าต่างหากเล่า”

“ท่าน!” นางเบิกตา ทว่าเชลาลุสกลับจับมือนางที่ถือมีดโกนนั้น แล้วค่อยๆ พาเคลื่อนมาวางบนริมฝีปากตนเอง เขาเอียงหน้าน้อยๆ เพื่อดูเงาที่สะท้อนกับหมวกเหล็กเต็มใบที่แขวนอยู่ห่างไปในตำแหน่งที่มองเห็นพอดิบพอดี แล้วเขาก็กดมือนางให้โกนหนวดบริเวณนั้นไปพลาง

“เจ้าแค่วางน้ำหนักมือเพียงนี้ก็ได้แล้ว เห็นไหม” เขายังคงกุมมือนางไว้ เอียงหน้ามองเงาตนเองบนหมวกเหล็ก หนวดถูกโกนไปเพียงนิดเท่านั้น

ระรันตาใจเต้นแรง ภาวนาให้เขาปล่อยมือสักที เชลาลุสไม่ปล่อยกลับออกแรงดึงพาให้ตัวบอบบางเซแทบซบอกกำยำจนนางต้องขืนไว้ เขาจ้องมองไม่วางตา

“ว่าอย่างไรทำได้ไหม” เสียงทุ้มนวลนั้นอยู่ใกล้จนลมหายใจอุ่นของเขากลิ้งอยู่บนแก้มนาง

“ดะ...ได้เจ้าค่ะ” นางตอบเสียงสั่น หลุบตาลงมิกล้าสบดวงตาที่คลับคล้ายมีมนตราให้หลงใหล

เขาโน้มใบหน้างามปานเทพบุตรเข้ามาอีกจนปลายจมูกโด่งสัมผัสลงบนแก้ม “เจ้าพร้อมโกนหนวดต่อให้ข้าหรือยัง”

“...” นางอึกอัก จะหันไปริมฝีปากเขาก็อยู่ห่างเพียงปลายนิ้ว ได้แต่ตอบไปเบาๆ “หากท่านไม่ขยับออก...ข้า...ข้าจักลงมีดได้อย่างไร”

เขาทำเสียงหัวเราะน้อยๆ ในลำคอ กดริมฝีปากลงบนแก้มนางรวดเร็วและอ่อนโยนปานขนนกแผ่วผ่าน ร่างกำยำถอยไปนั่งตัวตรงอกผายไหล่ผึ่งอีกครั้ง ใบหน้าคร้ามมองนางนิ่งสังเกตมุมปากประทับรอยยิ้มบางๆ

ระรันตาก้มหน้าที่ร้อนผ่าวลงมิกล้าสบตา ทำเป็นมองหาใบมีดทั้งๆ ที่นางถืออยู่ มือไม้เก้กังวางตัวไม่ถูก จำข่มใจที่เต้นรัวเร็วแล้วตั้งใจโกนหนวดเคราให้เขา แม้ประหม่าจนแทบอยากเป็นลมเสียตรงนั้น 

“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” นางบอกอย่างโล่งอก ทว่าเขากุมมือนางไว้รวดเร็ว เอียงหน้ามองเงาตนเองบนหมวกเหล็กด้วยสีหน้าพอใจ

“ขอบใจเจ้ามากระรันตา”

ดวงตาแฝงแววปรารถนามองมาทำนางเสกลอกตาไปทางอื่น เชลาลุสเอียงหน้าตาม

“เจ้าเป็นผู้หญิงคนแรกที่โกนหนวดให้ข้า” เสียงนุ่มของเขาเอ่ยข้างหู “ไม่สิ”

หญิงสาวหันกลับไปสบตาด้วยฉงนในคำพูด จึงได้เห็นเขายิ้มกว้างจนดวงตาหรี่ลง

“ข้าต้องพูดว่า เจ้าเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่ข้ายอมให้โกนหนวดให้”

ระรันตาหน้าร้อนจนไม่รู้จะร้อนอย่างไรแล้ว มองมือที่ถูกเกาะกุมพลางขยับให้เขาปล่อย เชลาลุสกลับบีบไว้แน่นขึ้นพลางเอ่ย

“อย่าเคืองข้าเลยนะคนดี ข้าเองก็มิรู้ตัวว่าทำไมอยู่ใกล้เจ้าคราใดเป็นต้องซุกซนร่ำไป”

เขาปล่อยมือพลางลุกขึ้นเดินไปมุมหนึ่งของกระโจมที่มีอ่างน้ำวางอยู่ เขาวักน้ำล้างหน้าแล้วหยิบผ้าขนสัตว์ที่แขวนบนราวไม้ใกล้ๆ ขึ้นเช็ดใบหน้าจึงก้าวมาอยู่ตรงหน้านางอีกครั้ง

ใบหน้าคมสันกระจ่างดั่งจันทร์เต็มดวง เมื่อไร้หนวดเคราความงามอันสมบูรณ์ของใบหน้าเชลาลุสก็ปรากฏเด่นชัดเฉกประติมากรรมสลักเสลาอันวิจิตร ริมฝีปากหยักลอนได้รูปขยับเมื่อเอ่ย

“อยู่เป็นเพื่อนข้ามื้อเช้านี้ก่อนจะได้ไหม” 

“ข้า...ต้องไปช่วยงานนานันในครัว” ระรันตาตอบตะกุกตะกัก

เชลาลุสพ่นลมหายใจ “นานันคงไม่ว่าอะไรกระมัง มีผู้คนอยู่ในครัวตั้งมากมาย”

“แต่...” นางไม่มั่นใจ 

“หรือจะให้ข้าไปขออนุญาตนานันก่อน” เขาเอ่ยด้วยสำเนียงท้าทาย

“ข้ามิได้หมายความเยี่ยงนั้น” นางเบิกตาอย่างตระหนก

“ถ้าเช่นนั้นก็นั่งสิ” เขาเอื้อมจับมือนางแล้วพาให้ไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ กันรอบโต๊ะที่วางสำรับเพียบพร้อม หญิงสาวนั่งตัวแข็งก้มหน้างุด

เขาเท้าแขนลงบนโต๊ะ เอนกายมาทางนาง “ระรันตา เมื่อไหร่จะเลิกกลัวข้าสักที”

นางเหลือบมองเขาเพียงแวบแล้วเสมองทิศทางอื่น หากภายในกระโจมก็เห็นแต่สิ่งที่ทำให้นึกถึงร่างกำยำของเขาไปหมด ไม่ว่าจะเกราะตัวใหญ่ ผ้าคลุม ปลอกหนังข้อมือข้อเท้า

แล้วเขาก็แตะปลายนิ้วลงบนคางของนาง

“ข้าคงต้องให้เจ้าอยู่กับข้าบ่อยๆ เจ้าจะได้เลิกกลัวข้าสักที ตราบใดที่เวลาข้าจับมือเจ้าแล้วมือยังเย็นเฉียบเช่นเมื่อครู่”

“ท่าน...” นางเอียงหน้าออกจากมือของเขา

เชลาลุสยิ้มแล้วถอยตัวห่างออกไป คราวนี้ตั้งใจรับประทานอาหารเช้าเป็นจริงจังสักที หญิงสาวรินกาแฟจากเหยือกใส่แก้วดินเผาเล็กๆ ให้ เขายกขึ้นจิบ

“ข้าเหนื่อยนัก ข้าเพิ่งนำทัพย่อยกลับจากศึกที่เมสซานา”

ทันทีที่ได้ยินชื่อเมืองบ้านเกิดระรันตาก็กระตือรือร้นถามทันที “ท่านเสร็จศึกแล้วหรือ ทำไมข้าไม่เห็นกองทัพใหญ่กลับมา แล้วผลการศึกเป็นอย่างไร”

เชลาลุสมองด้วยสายตาอ่อนโยน “ข้าตระหนักดีว่าเจ้าอยากรู้ความเป็นไปแห่งเมสซานา” เขายกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอีกครั้งแล้วเล่า

“เรากดดันกองกำลังจากไซราคิวส์ถอยร่นไป ส่วนกำลังจากคาร์เธจเราปะทะกัน ส่งผลให้คาร์เธจเสียกำลังพลไปพอสมควร ฝั่งเราเองก็สูญเสียแต่น้อยกว่านัก”

“เช่นนั้นเพลานี้ โรมได้ชัยชนะเหนือเมืองเมสซานาแล้วอย่างนั้นใช่หรือไม่” นางถาม

เขาวางถ้วยกาแฟลงพลางส่ายหน้า

“ยังดอก เรายังไม่ได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จ พวกแมมเออร์ทีนซ์ยังคงอยู่ในเมสซานาและมีกองกำลังคาร์เธจคุมเชิง แต่เรากำลังกดดันให้คาร์เธจถอยร่นออกไป เพื่อเราจะได้จัดการกับพวกแมมเออร์ทีนซ์เอง ช่วงเวลานี้ทั้งสองกองทัพส่งสัญญาณพักรบก่อน”

ระรันตาถอนใจ หากพวกโฉดนั่นยังอยู่ก็หมดหวังที่นางกับพวกพ้องจะได้กลับบ้าน เชลาลุสรับประทานอาหารเงียบๆ นางคอยปรนนิบัติ เขาเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก จนเสร็จและหญิงสาวเก็บสำรับเขาก็ลุกเดินตามออกมาส่งยังหน้ากระโจม

“ระรันตา เมื่อใดที่เรากวาดล้างพวกแมมเออร์ทีนซ์ออกจากเมสซานาได้หมด ข้าจักพาเจ้ากลับไปดูหมู่บ้านเดิมของเจ้าอีกครั้งเป็นแน่ ข้าให้สัญญา” 

----------

ไม่นานกองทัพใหญ่แห่งโรมก็กลับมาถึงค่าย ทหารส่วนหนึ่งบอบช้ำและบาดเจ็บจากการศึก แม้จำนวนไม่มากแต่ก็ทำให้หมอดาปิโอรุสวุ่นวายอยู่ในเรือนพยาบาลหลายวันเลยทีเดียว

แม่ทัพคลอดิอุสเรียกประชุมใหญ่ทันทีที่กองทัพทั้งหมดกลับถึงค่าย เย็นวันหนึ่งกระโจมของท่านจึงคับคั่งไปด้วยนายทหารระดับขุนพล หัวหน้านายกอง ลีเกตผู้เก่งกาจอย่างฟาธาม เซนจูเรียนหลายนาย และทหารระดับตรีบูนอย่างเชลาลุส  

“พวกเราต้องคิดแก้กลศึกกับคาร์เธจให้ได้โดยไว” ท่านแม่ทัพกล่าวอย่างมุ่งมั่น

ฟาธามเอ่ยก่อนใคร “ข้าคิดว่าเราต้องจัดการกับเมืองเมสซานาให้เรียบร้อยก่อนขอรับ เพราะเป็นเมืองที่มีความขัดแย้งอยู่ในเบื้องต้น จากนั้นค่อยรุกคืบไปยังเมืองอื่นๆ”

“แต่อย่าลืมว่า ตอนนี้กำลังทหารเราบาดเจ็บอยู่จำนวนหนึ่ง” แม่ทัพพูดด้วยความกังวล แล้วจึงถามในที่ประชุม

“มีใครสรุปจำนวนตัวเลขทหารที่สูญเสียแน่นอนหรือยัง”

เชลาลุสรีบรายงานข้อมูลที่เพิ่งได้รับมา “ฝ่ายโน้นสูญเสียประมาณหกพันนาย ส่วนของเราพันกว่านายขอรับ”

“นั่นก็มากสำหรับข้าทีเดียว ที่ต้องสูญเสียทหารราบที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี” ท่านแม่ทัพส่ายหน้าแล้วว่าต่อ

“ข้าต้องการจัดการกับกองกำลังคาร์เธจในเมืองเมสซานาให้จบสิ้นโดยเร็ว ที่สำคัญข้าไม่ต้องการเปลืองกำลังพลของเราในการศึกนี้ ท่านฟาธามมียุทธวิธีใดเสนอบ้าง”

ทั้งกระโจมตกอยู่ในความเงียบงัน แม้ลีเกตผู้ชำนาญก็ใช้เวลาขบคิดอยู่นาน แต่แล้วใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นตามกาลเวลาผนวกแผลเป็นซึ่งบ่งบอกประสบการณ์ก็แสดงแววเจ้าเล่ห์ ขณะริมฝีปากแย้มพราย

“ข้าคิดว่า ข้ามีกลยุทธ์บางอย่างเสนอแก่ท่านขอรับ”

 

 

** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com