ค่ำคืนนั้น ระหว่างที่นานันกับระรันตากำลังคุยกันถึงสูตรอาหารต่างๆ ของชาวโรมัน ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงกระแอมที่ด้านหน้ากระโจม
ระรันตาพบทหารหนุ่มร่างสูงกำยำยืนรออยู่ เขามองนางนิ่ง ไม่เอ่ยคำใดหากก้าวมาจนประชิดตัว ทำให้นางได้สังเกตว่าโครงหน้าอันแกร่งอย่างบุรุษของเขานั้นงามดุจเทพสมมติ ดวงตาที่ดุดันยามมองใครอื่นนั้นเมื่อสบตานางคล้ายมีประกายวิบวับปานหิ่งห้อยส่องแสงล้อเล่นกับสนป่าทุกคราไป
“ท่านมีธุระอันใดกับข้าหรือ” ระรันตาเอ่ยถาม เสมองพื้นดินแห้งระแหงแทน ด้วยใจสั่นแปลกๆ ยามต้องสบตา
เมื่อไร้คำตอบทำให้นางต้องแหงนเงยขึ้น สบสายตาทหารหนุ่มที่อยู่บนเรือนร่างนางพอดี ระรันตาจึงตระหนักว่าตนสวมเสื้อคลุมของหญิงโรมันที่นานันเรียกว่าปัลลา (palla) ผ้าสีนวลผืนใหญ่ห่มรอบกายอ้อมหลังแล้วคลุมกลับมายังศีรษะ สอดชายผ้าใต้แขนขวาคล้องมายังแขนซ้าย นางคงดูแปลกตา
สุดท้ายเขาก็เอ่ย “ข้าต้องการมาบอกเจ้าว่า ต่อไปนี้ เจ้าไม่ต้องไปส่งอาหารที่กระโจมท่านแม่ทัพอีก ถึงแม้นานันจะไป เจ้าก็ไม่ต้องตามไป”
ระรันตากังขา คลับคล้ายถูกตำหนิ “ข้าทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ ถึงห้ามมิให้ข้าเข้าไปในกระโจมท่านแม่ทัพ”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มดั่งน้ำผึ้งไหม้ของบุรุษตรงหน้ากลอกอย่างสำรวจใบหน้าหญิงสาว มันทำให้นางประหม่า
“เจ้าไม่ได้ทำผิดอันใดดอก อย่าได้กังวล เพียงข้าไม่มีเหตุผลให้เจ้า เพราะนี่คือคำสั่ง ขอให้เจ้าทำตามที่ข้าบอกก็แล้วกัน”
“หากไม่ผิดแล้วเหตุอันใดข้าจึงช่วยนานันจัดสำรับบนโต๊ะในกระโจมท่านแม่ทัพไม่ได้”
คิ้วเข้มเป็นเส้นดังจิตรกรวาดย้ำซ้ำๆ แล้วปัดปลายให้โก่งสวยขมวดเข้าหากัน น้ำเสียงของเขาห้วนขึ้น
“เจ้าเข้าใจคำสั่งหรือไม่ คำสั่งไม่ต้องมีเหตุผล คำสั่งคือสิ่งที่เจ้าต้องทำตามในทุกกรณี”
“ไม่มีเหตุผลก็ได้ แต่ข้าเพียงอยากช่วยนานัน อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์กับที่ท่านและเหล่าทหารของท่านได้ช่วยชีวิตข้าไว้ ให้ข้าได้มากินนอนอยู่ในค่ายแห่งนี้” นางชี้แจง
สีหน้าของเขาคลายความตึงลง หว่างคิ้วไม่ปรากฏริ้วรอยเช่นเมื่อครู่
“เจ้าช่วยการอื่นมากแล้วในเรือนโภชนา”
“แต่การต้องเข็นสำรับมากมายไปที่กระโจมและจัดตั้งบนโต๊ะก็เป็นงานหนักเกินไปสำหรับนา...”
“เจ้าไม่ต้องห่วง เรามีพลทหารมากมายคอยช่วย” เขาขัดขึ้น เหมือนว่าเหตุผลที่นางกำลังยกมาไร้ความหมายและไม่อยากจะฟังสิ่งใดอีก นั่นทำให้นางนึกหงุดหงิด
“ถ้าท่านคิดว่าข้าจะแอบฟังเรื่องการศึกแล้วไปบอกใคร ท่านคิดผิดมหันต์ ข้าระรันตาลูกหัวหน้าหมู่บ้านมีจรรยาบรรณพอและรู้คุณคน มิทำการไร้สำนึกเช่นนั้นเป็นแน่”
เชลาลุสพ่นลมหายใจแรงจนได้ยิน ดวงตางามหรี่ลง “มิใช่เหตุนั้นเลยด้วยเช่นกัน เจ้านี่ช่างคิดมากเกินไปแล้ว”
“อย่างนั้นมีเหตุผลอันใด หรืออย่างไรท่านก็ไม่เคยไว้ใจข้า” นางตัดพ้อ
ร่างสูงก้าวเข้ามาชิดใกล้จนสัมผัสไออุ่นจากอกกำยำ เพราะมีเพียงหนังแผ่นบางกางกั้นระหว่างกันเท่านั้น แม้กลิ่นเหงื่อไคลก็รับรู้ได้ แต่แปลกนัก...กายเขา...หอม ยิ่งเขาวางมืออันแข็งแรงลงบนไหล่นาง ระรันตาถึงกับเกร็งไปถนัด ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยแวววับวามจ้องเขม็งมาทำหัวใจนางสั่นรัว
“หากข้าไม่ไว้ใจเจ้า ข้ามินำพาเจ้าเข้ามาในค่ายกองทัพโรมแห่งนี้ดอก จำไว้ ระรันตา”
เขาคล้ายอ้อยอิ่งปล่อยสายตาทอดอยู่บนใบหน้า จนนางร้อนผ่าวไปทั้งแก้มกว่าร่างกำยำจะค่อยๆ ก้าวห่างออกไป
หญิงสาวถึงกับลอบถอนหายใจ ความรู้สึกร้อนวูบๆ บนใบหน้าค่อยคลายลง “ถ้าเช่นนั้นให้ข้าช่วยนานันเหมือนเดิมได้หรือไม่”
เชลาลุสยืนนิ่ง ก่อนกล่าวด้วยสำเนียงดั่งสั่งการกับทหารในบังคับบัญชา
“คำสั่งคือคำสั่ง จงทำตามที่ข้าบอกเท่านั้น”
ทหารหนุ่มไม่ฟังอะไรอีก ก้าวเดินจากไปรวดเร็วอย่างที่ชอบทำ นางอึดอัดจนต้องโพล่งคำไล่หลัง
“ทหารแห่งโรม ทำการใดไม่มีเหตุผลเลยหรือ!”
เชลาลุสหยุดก้าวย่างอันแข็งแกร่ง หันกลับมาแล้วสาวเท้าปราดเดียวประชิดตัวนางอีกครั้ง เสียงพูดยั่วโทสะนัก
“เจ้าอยากเข้าไปในกระโจมท่านแม่ทัพมากนักหรือ!”
นางเบิกตาโพลง “ทำไมท่านพูดเยี่ยงนั้น”
เขาไม่ตอบแต่กลับเอื้อมมือมาเชยคางของนางขึ้น ทำให้เห็นดวงตาเต็มไปด้วยเสน่หาจับจ้องมา หญิงสาวใจเต้นจนแทบหลุดออกมานอกอกเมื่อใบหน้าดั่งเทพบุตรเคลื่อนลงมาใกล้ ริมฝีปากคลับคล้ายสัมผัสกันหากบางเบาดั่งปุยนุ่นจนมิอาจแน่ใจได้ ทว่าน้ำเสียงของเขาได้ยินชัดเจน
“จงปฏิบัติตามที่ข้าบอก อย่าได้มีข้อสงสัยใดๆ อีกเลยนะเจ้า”
----------
ณ ลานซ้อมรบใจกลางค่ายใหญ่แห่งกองทัพโรม เช้าวันรุ่งขึ้น
แม่ทัพคลอดิอุสเรียกเหล่าทหารหาญทุกนายมาประชุมรวมกัน ท่านนั่งสง่าบนหลังม้าประจำตัวมองทหารทุกชั้นยศที่ยืนรอเนืองแน่น ขุนพลระดับสูงรวมทั้งทหารเอกแห่งโรมยืนม้าอยู่ด้านหลัง
“ข้าขอขอบคุณ ทหารกองกำลังแห่งโรมทุกคนที่ได้มารวมกันในวันนี้อย่างพร้อมเพรียง” เสียงท่านก้องกังวานขณะทั้งลานเงียบกริบ
“ตามที่โรมและคาร์เธจเคยทำสนธิสัญญาระหว่างสองประเทศเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน โดยใจความในสัญญาระบุว่า ทั้งสองจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในดินแดนแว่นแคว้นของแต่ละประเทศเป็นเด็ดขาด ซึ่งตามสนธิสัญญานี้ ยังผลให้อิตาลีนั้นขึ้นกับเรา ดินแดนด้านตะวันตกของฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นของคาร์เธจ ส่วนเกาะซิซิลีแห่งนี้เป็นดินแดนคาบเกี่ยว ดังนั้นทั้งชาวโรมันและชาวคาร์เธจมีสิทธิของความเป็นเจ้าของทั้งคู่”
ท่านแม่ทัพเว้นจังหวะ กวาดตายังเหล่าทหารที่ยืนด้วยท่าทางแข็งขันแล้วพูดด้วยเสียงอันกร้าว
“แต่บัดนี้ คาร์เธจเพิกเฉยและละเมิดต่อสนธิสัญญาดังกล่าว โดยปฏิบัติอย่างมีอำนาจเหนือเกาะซิซิลีมากเกินหน้าโรม!”
ท่านหันไปรับธงอินทรีย์ประจำกองทัพโรมมาถือไว้ก่อนประกาศก้อง
“ข้า อัปปิอุส คลอดิอุส เคาเด็กซ์ ผู้นำทัพแห่งโรม ขอกล่าวว่า การที่พวกคาร์เธจเข้ามาคิดยึดเมืองเมสซานา และหวังยึดเกาะซิซิลีในเพลานี้ เป็นการจงใจฉีกสนธิสัญญาที่ทั้งสองชนชาติเคยทำเอาไว้ และบัดนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องทวงความเป็นใหญ่ ประกาศศักดาให้พวกมันได้รับรู้ว่า กองทัพแห่งโรมคือกองทัพที่ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร และแข็งแกร่งที่สุด”
ธงในมือถูกชูขึ้นสูง น้ำเสียงทรงอำนาจดังก้อง
“ข้า ในฐานะแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพโรม ตัวแทนชาวโรมันทั้งหมด ขอประกาศสงครามกับคาร์เธจอย่างเป็นทางการ มหาสงครามพิวนิกจักเริ่มขึ้นอีกในไม่ช้านี้ ขอให้พวกเราทหารแห่งโรม จงต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต เพื่อโรมของเรา เพื่อให้ทุกคนในโลกได้เห็นถึงแสนยานุภาพของชาวโรมัน ให้ทุกคนได้ประจักษ์ถึงกองทัพที่ดีที่สุดในขณะนี้ เราจะสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ เพื่อเป็นที่กล่าวขาน ทั้งในกาลนี้และในภายภาคหน้า ให้เป็นที่จดจำ เป็นบันทึกหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ตลอดกาล”
ท่านชูธงชึ้นสูงสุดมือ พร้อมตะโกนอย่างห้าวหาญ
“เพื่อโรมของเรา”
เหล่าทหารกล้าต่างขานรับฮึกเหิม เชลาลุสยกมือขึ้นทาบอก เขาเองก็รอเวลานี้มานานแล้ว ความพร้อมบังเกิดขึ้นภายในด้วยจิตวิญญาณของนักรบ เขากู่คำพร้อมกับมิตรทหารทั้งมวลให้กึกก้องไปทั่วบริเวณ
“เพื่อโรมของเรา เพื่อโรมของเรา เพื่อโรมของเรา”
----------
ช่วงบ่าย ด้านหลังเรือนโภชนา นานันกำลังอบขนมปังอยู่กับระรันตา นานันเปิดเตาให้กลิ่นหอมกรุ่นของขนมปังอบใหม่อวลออกมาพร้อมควันคล้ายสายใยขาวบางม้วนอยู่ในอากาศ
“ข้าเอาขนมปังออกเอง นานัน” ระรันตาก้าวเข้าไปช่วยด้วยว่าวันนี้ไม่มีชายคุมเตาอยู่ นางก้มตัวเข้าไปรับรู้ถึงความร้อนผ่าวจนผงะถอยออกมา แล้วตั้งตัวใหม่พยายามฝ่าความร้อนยื่นมือไปนำถาดขนมปังออกมาให้ได้
จู่ๆ ใครบางคนจับไหล่นางแล้วดึงให้ออกห่างเตา ระรันตาหันไปก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าเป็น...เชลาลุส
ทหารหนุ่มเอื้อมมือหยิบเหล็กท่อนที่วางอยู่เหนือเตา เบียดตัวเข้าไปด้านหน้าประตูทำระรันตาต้องเขยิบให้โดยปริยาย เขายกขนมปังถาดใหญ่ออกมา หญิงสาวรีบรับไปถือไว้ เขาหันเข้าไปยกอีกสามถาดใหญ่ออกมาจนหมด มีนานันกุลีกุจอมาช่วยผลัดกันรับถาดไปวางบนโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ใกล้ๆ
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านเชลาลุส ท่านกรุณาวางไว้เถิด ข้าจัดการกับแม่นางระรันตาได้” นานันเอ่ยอย่างเกรงใจ
เชลาลุสยังคงถือถาดขนมปังที่เหลือไว้ในมือ
“ท่านวางถาดไว้เถิด ใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี” นานันย้ำ ทำหน้าแลซ้ายขวา
หากทหารหนุ่มกลับมีทีท่าไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไรดอกนานัน”
“แต่...ท่านเป็นถึง...” นานันพูดไม่จบเขาก็เอ่ยเสียก่อน
“ข้าช่วยได้ ไม่ได้มีกฎใดห้าม” เขาตอบแต่ตามองอยู่ที่ระรันตา
หญิงสาวนึกหวั่นกับท่าทางของนานันที่เหมือนว่าทหารร่างสง่างามนายนี้มาช่วยงานเรือนโภชนาจะเป็นเรื่องผิด หากคำตอบกับรอยยิ้มจางๆ ของเขาทำให้นางผ่อนคลายขึ้น เขายังถือถาดขนมปังเข้ามาให้ถึงในเรือน มิสนใจกับสายตาตื่นเต้นของเหล่าแม่บ้าน นานันกับระรันตาเดินตามหลังมาห่างๆ
เขายังช่วยรับถาดในมือนางไปวางบนชานกว้างให้แล้วพูดกับนานัน “ข้าขอยืมตัวระรันตาสักหน่อยนะ บ่ายนี้เจ้ามีงานอะไรที่ต้องการนางหรือไม่”
นานันรีบตอบ “เชิญเถิดท่านเชลาลุส แค่งานในครัวข้าทำเองได้ ยังมีผู้ช่วยในเรือนนี้อีกมากมาย”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงตามข้ามา” เขาหันไปเอ่ยกับระรันตาแล้วเดินนำออกไปทันที
ระรันตาไม่ทันตั้งตัว ทำอะไรไม่ถูก นานันรีบดันหลัง “รีบไปสิเจ้า อย่าให้ท่านรอ”
หญิงสาวไม่มีทางเลือกจึงเดินตามนายทหารเอกแห่งโรมไป มีสายตาของนานันมองตามอย่างชื่นชม หากอีกสายตาหนึ่งมองอย่างริษยา...สายตาชาบีที่นั่งหั่นผักอยู่อีกฟากของเรือนโภชนา
เชลาลุสหยุดยืนรอหน้าเรือน จนนางเดินเข้าไปใกล้จึงเอ่ย
“ข้าเข้าใจว่า เจ้าคงคิดถึงบ้านเดิมของเจ้านัก”
ระรันตาก้มหน้า ไม่อยากให้เขาพูดอะไรถึงหมู่บ้านนางไปมากกว่านั้น เพราะคงจะกลั้นน้ำตาไม่ได้อีกต่อไป
“ข้ายังไม่อาจพาเจ้าไปนอกค่ายได้ แต่พอจะพาเจ้าชมรอบๆ นี้เผื่อช่วยเจ้าบรรเทาความโศกในใจลงได้บ้าง”
เมื่อนางยังคงยืนนิ่งเฉย ร่างสูงก็ก้าวมาชิดใกล้ก้มลงมองหน้า “เจ้าว่าอย่างไร อยากไปชมรอบๆ ค่ายกับข้าไหม”
“เจ้าค่ะ” ระรันตารีบรับคำ หน้าร้อน ใจเต้นขึ้นมาอีกเหมือนทุกครั้งยามทหารนายนี้ยืนชิดใกล้
“เจ้าขี่ม้าได้หรือไม่” เสียงถามอ่อนโยน
“ได้เจ้าค่ะ”
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **