ณ อาณาจักรไซราคิวส์ เมืองทางตอนใต้ของเกาะซิซิลี ผู้ปกครองที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในขณะนั้นคือ เฮียโรที่สองแห่งไซราคิวส์
ในห้องทำงานของผู้ปกครองนคร สีหน้าท่านเฮียโรเคร่งเครียดขณะยืนมองแผนที่บนผืนหนังขนาดใหญ่แขวนอยู่ด้านหนึ่งของห้อง ที่ปรึกษาและเหล่าขุนพลหลายฝ่ายในที่นั้นต่างนิ่งเงียบ
“พวกแมมเออร์ทีนซ์ร้องขอให้กองกำลังโรมมาช่วยต่อกรกับคาร์เธจและเรา!” เสียงทรงอำนาจดังขึ้น
ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำ จนอัลบุส ขุนพลผู้ดูแลกองกำลังทหารแห่งไซราคิวส์กล่าวทำลายความเงียบ
“ขณะนี้ โรมตั้งฐานที่มั่นอยู่เมืองเมสซานา ข่าวจากม้าเร็วแจ้งว่า กำลังบางส่วนของโรมปะทะกับพวกแมมเออร์ทีนซ์ ที่หมู่บ้านหนึ่งทางชายฝั่งทะเลของเมสซานาตอนยกพลขึ้นบกขอรับ”
ท่านเฮียโรที่สองยิ่งเครียดมากขึ้น ตายังคงมองแผนที่เขม็งยามเอ่ย “กองทัพโรมคงใช้เวลาตั้งฐานที่มั่นไม่นาน และน่าจะเริ่มจัดการกับคาร์เธจและพวกแมมเออร์ทีนซ์ในไม่ช้า”
อัลบุสเหลือบตามองท่านผู้นำ
“ทัพไซราคุสซันของเรายังอยู่บริเวณนั้น ท่านจะให้เข้าร่วมกับฝ่ายคาร์เธจหรือโรมขอรับ”
ท่านเฮียโรถอนหายใจ ดวงตาฉายแววกังวลชัด “นั่นคือสิ่งที่ข้าคิดหนักเหลือเกิน ทางคาร์เธจส่งสาสน์มาขอให้เราคุมเชิงไปก่อน และที่ข้ารู้มาเพลานี้กลุ่มทหารรักษาการณ์ของคาร์เธจได้เข้าไปอยู่ในเมืองเมสซานาตามคำขอของพวกแมมเออร์ทีนซ์ในคราแรกแล้ว”
อัลบุสเอ่ยต่อทันที “นั่นคือชนวน ที่ทำให้พวกแมมเออร์ทีนซ์ขอความช่วยเหลือจากโรม”
ผู้ปกครองนครพยักหน้า “ใช่ ไอ้พวกนี้มันนกสองหัวจริงๆ มันไม่รู้หรืออย่างไร ว่าโรมไม่ได้มาเพื่อช่วยพวกมัน แต่โรมยกทัพมาเพื่อหวังดินแดนแห่งซิซิลี เป็นการขยายอาณาเขตต่างหากเล่า!” เสียงท่านดังอย่างไม่สบอารมณ์
ดวงตากร้าวมองแผนที่เขม็งอยู่นานจึงพูด “ข้าคิดว่า จะให้กองกำลังไซราคุสซันของเราคุมเชิงอยู่กับกองกำลังแห่งคาร์เธจไปก่อน หากสองกองกำลังผนึกกัน น่าจะผลักดันโรมออกไปจากพื้นที่เกาะของเราได้”
เฮียโรชี้นิ้วไปตามแผนที่ “แม้คาร์เธจจะเริ่มแผ่ขยายอาณาเขตมาทางฝั่งตะวันตกของเกาะเรา แต่ข้าคิดว่าน่าจะเป็นการง่ายในการต่อกรกับคาร์เธจภายหลัง ดีกว่าให้โรมเข้ายึดดินแดนของเราทั้งหมด”
“แต่...กองกำลังโรมคือกองกำลังที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในตอนนี้ ข้าเกรงว่าเราจะมิสามารถทัดทานได้ขอรับ” อัลบุสค้าน
ท่านผู้ปกครองนครมองเขา “ใจเย็นไปก่อนท่านอัลบุส รอดูสถานการณ์อีกที โรมเองก็เพิ่งตั้งทัพ ยังไม่น่าจะมีกำลังเท่าใดนัก สองกองทัพของเราและคาร์เธจน่าจะต้านทานได้อยู่”
เฮียโรที่สองมีท่าทางมั่นใจเหลือคณา หากอัลบุสกลับมีสีหน้าเครียดจัด
----------
ณ ค่ายกองทัพแห่งโรม เมืองเมสซานา บนเกาะซิซิลี
เสียงตีเหล็กดังกังวานเป็นจังหวะๆ ชายฉกรรจ์หลายนายนั่งเรียงรายกันหน้าเตาไฟที่มีไอร้อนระอุ ทำการตีเหล็กลงบนตอไม้ขนาดใหญ่ กลุ่มทหารกำลังเดินตรวจตราการทำงานของชายเหล่านั้น
เชลาลุสเดินด้วยท่วงท่าองอาจ รูปร่างสูงใหญ่ ลำตัวสวมเพียงแผ่นหนังคลุมอกและหลัง เปิดเปลือยแขนกำยำทั้งสองข้าง เขาก้าวเข้าไปหาชายผู้หนึ่งที่กำลังตอกลายบนโลหะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่
“ไหนขอข้าดูโล่ของเจ้าสักหน่อย”
ชายฉกรรจ์หยุดการตอก รีบยื่นสิ่งที่อยู่ในมือให้พลางก้มหน้าลง
เชลาลุสยกโล่ขึ้นถืออย่างกระชับมือ หมุนไปมา สำรวจลักษณะต่างๆ อย่างละเอียดลออ
“เจ้าต้องเพิ่มความโค้ง มิฉะนั้นจะไม่สามารถป้องกันด้านข้างได้ดี เพราะโล่ต้องป้องกันวัตถุที่พุ่งตรงมาด้านหน้า และป้องกันการถูกอาวุธระยะใกล้จากด้านข้างด้วย”
ชายผู้นั้นรับโล่คืนแล้วรีบรับคำ “ขอรับ”
ทหารเอกแห่งโรมเดินสำรวจตรวจตราความเรียบร้อยของอาวุธยุทโธปกรณ์ต่อไป จนถึงกลุ่มชายที่กำลังสร้างไพลัม (Pilum)...แหลนขนาดยาว
เขาหยิบแหลนเล่มหนึ่งขึ้นตรวจ ความยาวประมาณสองเมตร น้ำหนักราวสองถึงห้ากิโลกรัมขึ้นกับความยาวกับหัวเหล็กที่ต่อ เขาลองพุ่งไปยังต้นไม้ใกล้ๆ มันปักเข้ากลางลำต้น ทว่าก็ตกลงพื้นดินอย่างรวดเร็ว ทหารติดตามวิ่งไปเก็บแล้วนำกลับมาส่งคืน
“น้ำหนักดี แต่หัวเหล็กยังแหลมไม่พอ แบบนี้จะไม่เกี่ยวโล่ศัตรูซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของแหลน เจ้าต้องตีให้ปลายแหลมกว่านี้”
เชลาลุสเดินต่อไปยังสนามซ้อมรบเมื่อถึงเวลาที่ท่านแม่ทัพนัดไว้
ภายในค่ายกองกำลังโรมันมีลานดินหน้าเตียนกว้างขวางสำหรับเป็นที่ซ้อมฝึกอาวุธยุทโธปกรณ์ ทหารหลายนายกำลังจับคู่รบพุ่งด้วยอุปกรณ์ตามแต่ลำดับขั้นความชำนาญ พวกเริ่มต้นใช้ไม้แทนอาวุธ พวกฝึกมาบ้างก็เริ่มใช้อาวุธที่ไม่แหลมคม ส่วนพวกที่กล้าแกร่งก็ใช้ของจริงประลองกันเลย
เสียงประดาบสะท้อนก้อง เชลาลุสรีบก้าวไปหาท่านแม่ทัพแห่งโรมที่ยืนอยู่มุมหนึ่งของลานพลางก้มศีรษะทำความเคารพ
“มาพอดีเชลาลุส มาเป็นคู่ซ้อมรบกับข้าหน่อยเป็นไง” ท่านชวน
กลางสนามซ้อมจึงมีเพียงคู่ซ้อมที่ฝีมือทัดเทียมกันที่สุดในกองทัพกำลังวาดลวดลาย ทหารนายอื่นต่างหลบฉากเป็นผู้ดูอย่างชื่นชม
ท่านแม่ทัพเลือกประลองมีดสั้น ท่านแทงเข้าสีข้างซ้ายขวา ทั้งบนล่าง หากเชลาลุสก็ไวและคล่องแคล่วนัก สามารถหลบหลีกได้ตลอดเวลา เขาจ้วงแทงกลับบ้างตามจังวะ กระนั้นท่านก็สามารถหลบได้ทุกคราเช่นกัน
จนเหงื่อไคลเปียกชุ่มทั้งตัว ท่านแม่ทัพจึงสั่งหยุด เชลาลุสยืนตรงทำความเคารพก่อนเสร็จสิ้นการประลอง ท่านเดินเข้ามาตบบ่าเขาด้วยความเป็นกันเอง
“ขอบใจเจ้ามาก ฝีมือมีดสั้นของเจ้า ข้ายังไม่สามารถเอาชนะได้สักที”
เชลาลุสน้อมศีรษะ “หามิได้ ท่านออมมือให้แก่ข้าทุกครั้งไป”
แม่ทัพหัวเราะเสียงดัง “ข้าไม่เคยออมมือกับเจ้าเลยทหารเอกของข้า เจ้าไม่รู้อะไร ข้ากลับต้องสู้อย่างสุดฝีมือต่างหากเล่า”
----------
เย็นนั้น เชลาลุสรู้สึกเหนื่อยล้ายิ่ง อยากกลับกระโจมเพื่อพักผ่อนหากนึกอะไรขึ้นได้ เขาลังเลใจในทีแรก แต่สุดท้ายก็เดินมาถึงหน้าเรือนพยาบาลได้อย่างไรไม่รู้
เขาคิดว่าไม่น่าจะมีใครในเวลาโพล้เพล้เช่นนี้แต่กลับพบคนที่กำลังนึกถึงนั่งอยู่ ลมเย็นพัดมาหอบใหญ่ เขาเห็นนางห่อตัว แม้จะมีผ้าผืนใหญ่พันรอบตัวอย่างคนโรมที่หมอดาปิโอรุสคงหามาให้ แต่ผ้านั้นก็บางเกินกว่าจะให้ไออุ่นยามอากาศเย็นลงเมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้าเช่นนี้
“ทำไมเจ้ามาอยู่ข้างนอก”
คำทักของเขาทำให้นางสะดุ้ง เชลาลุสจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ ให้เห็นหน้ากัน
ทว่ายามหญิงสาวหันมาทหารหนุ่มถึงกับประหม่า ใบหน้ารูปไข่ที่เขาเห็นมาตั้งแต่แรกเวลานี้พวงแก้มซับเลือดจนผิวเนียนใสออกขาวอมชมพู ผิดกับวันแรกที่ดูซีดเซียว ดวงตากลมโตหวานซึ้งมีแวววับวาม จมูกเป็นสันสวย ริมฝีปากอิ่มเหมือนกลีบดอกไม้แรกแย้ม
เชลาลุสยอมรับว่าวันนี้นางดูสดใสขึ้นมาก ผ้าสโตลาที่พันรอบตัวเปิดให้เห็นเนินอกและต้นแขนขาวผ่อง เรือนร่างสูงโปร่งกับผมสีน้ำตาลไหม้หยักเป็นลอนน้อยๆ ยาวสลวย มิใช่เขาไม่เคยเห็นสาวงาม แต่งามอย่างถูกใจเขาเช่นนี้ยังไม่เคย จะว่าหญิงสาวผู้นี้งามประหนึ่งนางฟ้าเดินดินก็คงไม่ผิดนักเชียว
เป็นเพราะเขามัวตะลึงพรึงเพริด จ้องมองโดยไม่เอ่ยคำใด นางคงอายจึงลุกเดินหลบเพื่อกลับเข้าเรือนพยาบาล
“เดี๋ยว!” เขาเรียก
นางผินมอง
“เจ้าหายดีหรือยัง”
“ข้าหายดีแล้ว” นางตอบ
“แน่ใจหรือ” เขาถามย้ำ
ดวงหน้างามดูรั้นขึ้น นางตอบเสียงแข็ง “ข้าอยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว ยาก็กินครบโดยไม่ต้องให้ใครจับกรอก อาการเหนื่อยอาการไอต่างๆ ก็ไม่มีแล้ว”
เชลาลุสคลี่ยิ้มมุมปาก “แล้วท่านหมอว่าจะให้เจ้าออกเมื่อใด”
หญิงสาวส่ายหน้า “ท่านหมอบอกเพียงว่า ในไม่ช้านี้”
เขาพอใจเมื่อได้คำตอบครบถ้วน “เจ้ากลับเข้าไปข้างในเถิด ข้างนอกลมเย็นนัก”
ทหารหนุ่มมิได้ตามเข้าไป คิดว่าต้องเว้นระยะห่างเพื่อไม่ให้ดูไม่งามและไม่ให้นางอึดอัด หากเขายังลอบมองร่างอรชรที่เดินไปทรุดนั่งลงบนแคร่ตัวเดิม สายตาหวานนั้นมองเหม่อ เชลาลุสเดาได้ว่าสิ่งที่นางนึกถึงคงไม่หนีจากภาพหมู่บ้านของตนเองที่ถูกเผาจนราบคาบ และภาพสุดท้ายของบิดาที่นอนหมดลมหายใจอยู่กลางหมู่บ้าน เพราะฉากเหล่านั้นก็ยังติดตาเขาอยู่เช่นกัน ขนาดเขาคือคนนอก นับประสาอะไรกับนางผู้เป็นบุตร
เขาเบิกตาเมื่อเห็นนางก้มหน้าลงปาดน้ำตาที่ไหลผ่านแก้มนวลเนียน หากน้ำตายังรินเป็นสาย น้ำเสียงเปรยของนางช่างทำให้เขาเจ็บปวดไปด้วยเช่นกัน
“ท่านพ่อ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”
ยิ่งเมื่อนางซบหน้าลงกับฝ่ามือสะอื้นไห้ เชลาลุสต้องสั่งตนเองให้เดินออกมา ทั้งๆ ที่อยากก้าวเข้าไปในนั้นแล้วดึงร่างบอบบางมาปลอบโยน แต่เขาไม่สามารถทำได้เมื่อคำนึงถึงความเหมาะสมทั้งปวง
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **