ทดลองอ่าน ซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ : เลื่อมลายพรายจันทร์ : ตอนที่ 21

 

 

ตอนที่ 21

 

 

กลิ่นสบู่เหลวโชยมาตามลมเมื่อดมิสาเปิดประตูห้องน้ำกลับเข้ามา ใบหน้าเธอยังหมองเศร้า แต่ร่างกายบอบบางไม่สั่นเทาอย่างเมื่อครู่แล้ว นั่นทำให้จิณไตยรู้สึกใจมาเป็นกอง เธอสวมชุดนอนลายทางสีฟ้า ขากางเกงสั้นขึ้นมาเหนือตาตุ่มเพราะดมิสาสูงกว่าตารกา แต่โดยรวมแล้วชุดนั้นก็พอเหมาะพอดีสำหรับเธอ หญิงสาวมองสบตาเขาราวกับรู้ว่าถูกจ้องเลยเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีและดึงยางรัดผมออก

เรือนผมหยักศกหนานุ่มคลายลงเต็มแผ่นหลัง เธอเลี่ยงไปใช้หวีของเขาสางผม ใช้เวลาอยู่หน้าบานกระจกนานทีเดียวราวกับทำตัวไม่ถูก กระทั่งเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น จิณไตยเดินไปเปิดประตู แม่บ้านวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าห้องยื่นถุงของใช้จำเป็นมาให้อย่างนอบน้อม

“พี่ให้ป้าเพียรออกไปซื้อพวกแปรงสีฟันกับของใช้จำเป็นมาให้”

เขาเอ่ยบอกพลางเดินมาส่งถุงประทับตรามินิมาร์ทชื่อดังให้ เมื่อดมิสามองลงไปก็เห็นว่ามีกางเกงในแบบใช้แล้วทิ้งด้วย และระหว่างที่เธอสำรวจของในถุง จิณไตยก็เดินเข้าไปในห้องน้ำถือวิสาสะหยิบเสื้อผ้าที่หญิงสาวพับไว้ออกมาส่งให้แม่บ้านเอาไปซัก

ดมิสาละสายตาจากของในถุงทันที เข้ามาดึงแขนเขาไว้ “ไม่เป็นไรค่ะพี่จิณ เดี๋ยวมิ้งค์เอากลับไปซักที่บ้านได้ค่ะ มิ้งค์เกรงใจ”

“อย่าเกรงใจเลยค่ะ” เพียร...แม่บ้านวัยกลางคนตอบ

“เพื่อนของคุณจิณก็เหมือนนายหญิงคนหนึ่งของบ้าน เชิญคุณตามสบายนะคะ”

เพียรเหลือบมองดมิสาครู่หนึ่ง เห็นใบหน้างดงามน่ารัก ต่างจากภวิตราภรรยาคนแรกของจิณไตยที่สวยเฉี่ยว ต่างจากนุชชารีย์ภรรยาคนที่สองของจิณไตยที่หวานหยดย้อย นางจึงรับเสื้อผ้ามาและก้มหน้าลงอีกครั้งด้วยประกายตาสับสน ก่อนดึงประตูปิด ทิ้งสองหนุ่มสาวไว้ข้างในห้องส่วนตัวกันสองคน

แม่บ้านสูงวัยทำงานที่บ้านนี้มาตั้งแต่ตารกายังไม่เกิด นางรู้จักจิณไตยมาเกือบทั้งชีวิตของเขา รู้ว่าชายหนุ่มเป็นคนดี อ่อนโยน ไม่ถือเนื้อถือตัวว่าเป็นเจ้านายแล้วกดหัวคนใช้เหมือนคนรวยบางบ้านที่สมาคมสาวใช้มักแอบนินทากัน แต่สาวใช้ที่บ้านนี้ทั้งสามคนไม่เคยมีปัญหาเช่นนั้นเลย ทั้งกับจิณไตยและตารกา เจ้านายทั้งสองน่ารักกับพวกนางเสมอ

นางรู้ว่าจิณไตยคบหากับภวิตราสมัยเรียนมหา’ลัย ดูใจกันนานตั้งสิบปีกว่าจะตกลงแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา แม้จะเป็นคนนอกนางก็ดูออกว่าจิณไตยกับภวิตราคบหากันเหมือนเพื่อนสนิทมากกว่าคนรัก

แต่เขาก็รักภวิตรามาก และดีใจมากเมื่อรู้ว่าจะได้เป็นพ่อคน

ตอนที่ภวิตราเสียชีวิตพร้อมบุตรในครรภ์ จิณไตยนั้นแทบไม่เป็นอันกินอันนอน เขาทรุดโทรมสิ้นหวัง ราวกับหมดกำลังใจในการมีชีวิตอยู่เสียแล้ว กระทั่งกาลเวลาช่วยเยียวยารักษา ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเมื่อปีที่แล้วนี้เองที่เขารับนุชชารีย์เข้ามาเพราะเธอตั้งครรภ์

เพียรรู้สึกแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีใครมาแทนที่ภวิตราได้ และนุชชารีย์เองก็เป็นรุ่นน้องที่มหา’ลัยของจิณไตย เพียรดูออกว่านุชชารีย์รู้สึกอย่างไรกับเจ้านายของนาง แต่จิณไตยไม่เคยเห็นนุชชารีย์อยู่ในสายตา แล้วจะไปทำกันท้องตอนไหน เพียรงงไปหมด

แต่เพียรก็เดาว่าเพราะความเสียใจที่ภวิตราและลูกด่วนจากไป นุชชารีย์อาจก้าวเข้ามาตอนนั้น เข้ามาเยียวยาหัวใจของชายหนุ่มและเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกัน นางเดาไปเรื่อยเปื่อยเพราะมันไม่ใช่เรื่องของนาง จะถามก็ไม่กล้า แม้จะอยากรู้ความจริงแค่ไหนก็ตาม

จิณไตยใช้เวลาอยู่สองปีกว่าหลังภวิตราเสียชีวิต ในการมีภรรยาคนใหม่ ซึ่งก็ไม่เกิดข้อครหาอะไรเพราะเวลาก็ผ่านไปเป็นปีๆ แล้วและเขามีสิทธิ์จะมีความสุข สร้างครอบครัวใหม่ของเขา

แต่นี่...นุชชารีย์เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่ทันถึงปี การที่จู่ๆ จิณไตยก็พาหญิงสาวสวยน่ารักเข้ามาในบ้าน ประกาศว่าเธอจะนอนค้างกับเขาที่นี่ ทำให้เพียรแปลกใจไม่น้อย

สายตาที่เขามองเธอก็ไม่เหมือนกับที่มองภวิตราหรือนุชชารีย์ จิณไตยมักมองภวิตราด้วยความชื่นชมในความสวยความเก่ง มองนุชชารีย์ด้วยความสงสาร

แต่กับดมิสา เขามองเธอด้วยความหลงใหล รักใคร่ โหยหา

จากประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ผ่านมา เพียรค้นพบว่านั่นเป็นสายตาของเด็กหนุ่มริรัก น่าแปลกที่เพิ่งเห็นจิณไตยเป็นแบบนั้น ทั้งที่เขาก็ผ่านการมีภรรยามาตั้งสองคน และปีนี้ชายหนุ่มจะอายุสามสิบห้าปีแล้ว ไม่ใช่เด็กชายมัธยมฯ หรือหนุ่มน้อยมหา’ลัยเสียทีไหน

เอาเถอะ ถ้าจิณไตยจะมีความสุขเสียทีเธอก็สบายใจ

เพียรหวังใจแค่ว่า อย่าให้ดมิสาต้องมีอันเป็นไปดั่งที่ญาติของนุชชารีย์ก่นด่าจิณไตยเลย...

----------

“ผู้ชายกินเมีย?”

ดมิสาทวนคำที่จิณไตยเล่า เมื่อครู่นี้เขาพูดถึงภรรยาเก่าทั้งสอง คนแรกชื่อภวิตราเป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย จิณไตยบอกว่าเขาช่วยหล่อนไว้จากเชิดไชย แฟนหนุ่มนิสัยอันธพาล หลังช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกันต่อมาก็กลายเป็นความผูกพันและความรัก พวกเขาคบหาดูใจกันอยู่นานจึงตกลงแต่งงานและมีลูกด้วยกันทันที แต่ภวิตราก็จากไปเมื่อตั้งครรภ์ได้แปดเดือน

ด้วยฝีมือของเชิดไชย แฟนเก่าอันธพาลของหล่อนเอง!

ชายหนุ่มดำดิ่งอยู่ในภวังค์ของความเศร้ายาวนาน กระทั่งนุชชารีย์ก้าวเข้ามา...แต่จิณไตยก็เลี่ยงที่จะพูดความจริงว่าเขาไม่เคยเห็นนุชชารีย์เป็นมากกว่าน้องสาวเลย จิณไตยไม่รู้เลยว่าเหตุใดจึงรู้สึกหลงใหลอยากได้ ปรารถนาจะหลับนอนกับเธอจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เขาเป็นฝ่ายเข้าหาเธอเอง รั้งเธอเข้ามาสู่วังวนของความเสน่หาที่ปราศจากความรัก และนุชชารีย์พรั่งพร้อมเต็มใจเพราะหล่อนหลงรักเขามานาน

กระทั่งหล่อนตั้งครรภ์ ความรู้สึกลุ่มหลงมึนเมาของเขาก็หายไป...เหลือเพียงความรับผิดชอบและสงสารเท่านั้นที่ทำให้เขารับเธอเข้าบ้าน แต่แค่นั้นก็พอแล้วที่จะทำให้ชายหนุ่มดูแลห่วงใยเธอในฐานะแม่ของลูกชายเขาที่กำลังจะเกิดมา

จิณไตยเลือกที่จะเล่าแค่เรื่องที่ว่านุชชารีย์เป็นภรรยาคนที่สอง หากดมิสาดูข่าวบ้างอาจจะเห็นข่าวการลาออกจากวงการของหล่อน เพราะนุชชารีย์มีชื่อเสียงพอสมควรในวงการสื่อสารมวลชน เขาทำให้หล่อนท้องรับหล่อนเข้าบ้าน วางแผนจะแต่งงานกันเมื่อลูกอายุได้สักขวบสองขวบ

แต่แล้วนุชชารีย์ก็มาด่วนจากไปอีกคน...

จิณไตยจำได้ว่าวันนั้นเขาและอรจีราเข้ามาสะสางงานด้วยกันที่บ้าน โดยเลือกใช้ห้องทำงานชั้นสองเหมือนเคย นุชชารีย์นั้นตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนเศษแล้ว แม้จะเป็นท้องสาวแต่ก็อุ้ยอ้าย แต่หล่อนก็ยังพยายามเดินขึ้นลงบันไดเพื่อเสิร์ฟน้ำเสิร์ฟขนมให้เขากับอรจีรา

‘พี่บอกแล้วว่าไม่ต้อง’ จิณไตยดุเมื่อหล่อนไม่ยอมเชื่อฟัง ‘เดินขึ้นลงบันไดมันอันตราย นี่ป้าเพียรไปไหน ทำไมปล่อยให้นุชเอาขนมมาให้’

นุชชารีย์หน้าจ๋อย แต่ก็ยังเถียงอ้อมแอ้มว่า

‘ป้าเพียรลาไปโรง’บาลค่ะ หลานแกไม่สบาย ตาลกับน้อยช่วยกันซักผ้าอยู่หลังบ้าน วันนี้น้องตาก็ไปเรียนพิเศษ นุชกลัวพี่จะหิว เลย...’ หญิงสาวเก็บโหลน้ำส้มที่เหลืออยู่อีกครึ่งใส่ถาดหลังจากเทน้ำส้มให้เขากับอรจีราแล้ว ‘นุชขอโทษค่ะ’

นุชชารีย์น้ำตาร่วงเผาะ เดินออกจากห้องทำงานไปจนชายหนุ่มรู้สึกผิด แม้จะตำหนิเพราะห่วงใยเธอก็ตาม เขาตามไปขอโทษ โอบกอด ปลอบโยนจนเธอรู้สึกดีขึ้นและอาสาจะประคองเธอเดินลงบันไดด้วยความเป็นห่วง แต่นุชชารีย์ที่เริ่มมีรอยยิ้มแล้วก็ปฏิเสธแข็งขันว่าเธอเป็นคนท้อง ไม่ใช่คนป่วย เธอลงเอาโหลน้ำส้มไปเก็บแล้วสัญญาว่าจะเข้าห้องนอนชั้นล่างไปอ่านนิทานให้ลูกในครรภ์ฟัง

แต่จิณไตยเข้าห้องทำงานมาไม่ถึงอึดใจ เสียงกรีดร้อง เสียงโครมครามก็ดังลั่น! ชายหนุ่มและอรจีรารีบวิ่งออกไปตามเสียง ก่อนที่อรจีราจะยกมือขึ้นปิดปากหลับตาปี๋ ร้องกรี๊ดออกมาเสียงหลง!

ภาพที่ปรากฏในกระจกตาของจิณไตยในตอนนั้นคือ...ร่างของนุชชารีย์ที่ตีนบันได ศีรษะของหล่อนวางอยู่ตรงบันไดขั้นล่างสุด ปลายเท้าชี้ขึ้นมาด้านบน เลือดสดๆ ไหลทะลักจากลำคอที่ถูกเศษแก้วจากโหลน้ำส้มปาดจนเหวอะหวะ มีเลือดสีแดงฉานไหลรินจากริมฝีปากที่พยายามสูดอากาศหายใจหลายเฮือก ดวงตาเธอเบิกโต ที่กระโปรงมีเลือดซึมออกมามากมายจนราวกับทะเลโลหิต

ใช่...เธอตาย

ตายไปพร้อมลูกในครรภ์ของเขาอีกคน

“คุณวิถูกฆาตกรรม คุณนุชเสียเพราะอุบัติเหตุ” ดมิสาทวนในสิ่งที่เขาเล่าให้เธอฟัง “แล้วพ่อคุณนุชจะว่าพี่เป็นผู้ชายกินเมียได้ไงคะ ในเมื่อพี่ไม่ใช่คนทำเสียหน่อย”

จิณไตยยิ้มเศร้า

“พี่มีเมียสองคน เมียพี่ก็เสียชีวิตอย่างเจ็บปวดทรมานตอนกำลังตั้งท้องลูกของพี่ทั้งสองคน อายุครรภ์ก็ใกล้เคียงกันด้วย พ่อของนุชเลยโกรธพี่มาก แต่...บางทีพี่ก็คิดว่าท่านพูดถูก ถ้านุชไม่มาเจอพี่ ไม่มามีลูกกับพี่ ป่านนี้นุชอาจยังเป็นนักข่าวอนาคตไกล ไม่ต้องมาจบชีวิตแบบนี้”

ดมิสาวางมือลงบนมือเขา บีบเบาๆ อย่างเห็นใจ ชายหนุ่มมองหน้าเธอ ก่อนวางมือหนาอบอุ่นลงบนหลังมือนุ่ม

“พี่รักมิ้งค์” เขาสารภาพอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “หลังจากเราเจอกันที่คาเฟ่กระต่าย พี่คิดถึง...อยากติดต่อมิ้งค์ไปอีกแต่พี่ก็ไม่กล้า พี่กลัวว่ามิ้งค์จะเป็นอะไรไปเพราะพี่ ที่จริงคุณจีบอกให้พี่เล่าเรื่องนี้ให้มิ้งค์ฟังแต่แรก ถ้ามิ้งค์มีใจให้พี่อยู่บ้าง มิ้งค์จะได้ตัดสินใจถูกว่าจะลองคบกับพี่หรือจะปฏิเสธ แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที ถ้ามิ้งค์...ไม่โอเคที่จะคบกับพี่ มิ้งค์บอกพี่ได้ตลอดเวลานะ”

 

 

** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com