ทดลองอ่าน ซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ : เลื่อมลายพรายจันทร์ : ตอนที่ 28

 

 

ตอนที่ 28

 

 

บ้านเสน่ห์จันทน์ยังคงเงียบงันอึมครึมนักในความรู้สึกของผู้มาเยือน ญาตาวี เสน่ห์จันทน์ ถอดแว่นกันแดดออกจากใบหน้าเมื่อหล่อนยืนอยู่หน้าบันไดบ้าน เมื่อมองขึ้นไปก็เห็นกิ่งก้านของต้นปีบสูงใหญ่จนมองเห็นได้จากตรงนี้ หล่อนจากบ้านเสน่ห์จันทน์ไปนานเสียจนต้นปีบสูงเก้งก้างนั่นเติบโตปานนี้เชียวหรือ

“คุณหนู คุณหนูยาหยี”

สายพิณวิ่งตัวกลมออกมาต้อนรับคุณหนูของบ้านที่ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นเสียนานนับสิบปี ญาตาวีเองก็ดีใจที่ได้เจอสายพิณ ต่างพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ก่อนที่รถคันหนึ่งจะเลื่อนเข้ามาจอดใกล้ต้นราชพฤกษ์ข้างบ้าน ญาตาวีเห็นดมิสาลงจากรถ เธอก้มลงคุยกับคนขับรถครู่หนึ่งก่อนยกมือโบกลา แล้วเขาก็ขับรถกลับออกไป ญาตาวีมองผ่านฟิล์มกันแสงที่ไม่ทึบมากนักก็พอจะคุ้นหน้าเลาๆ

“นี่” หล่อนทักทายญาติสนิทที่เกิดปีเดียวกันพลางยกมือขึ้นกอดอกเชิดหน้า “มัคนายกมาส่งเหรอ หลวงลุงรับถวายรถเบนซ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือวันก่อนที่ลงรูปนั่นเธอไปถวายรถมา อ๊ะ หรือรถกั้ง กั้งเปลี่ยนรถใหม่เหรอถึงถวายคันเก่าให้หลวงลุง ใช่มะ ฉันจำได้ว่ารถกั้งสีนี้”

ดมิสาหลุดขำ ซึ่งญาตาวีไม่เข้าใจว่าญาติสาวหัวเราะอะไร แม้แต่สายพิณก็ขำด้วยอีกคน แต่เมื่อสายพิณทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง ดมิสาก็จุปากไม่ให้พูด ก่อนหันมามองหล่อนแล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง

“อะไรยะ” ญาตาวีคลายมือที่กอดอก รู้สึกเหมือนเพิ่งไปทำผิดมาทั้งที่หล่อนไม่ได้ทำเสียหน่อย จะกลัวไปทำไมเนี่ย! “ฉันก็มาดูยิหวาไง ก็เธอบอกอยู่เมื่อวันก่อนว่ายิหวากลับมาอยู่บ้าน นี่พอฉันกลับมาถึงกรุงเทพฯ ก็รีบมาเลยนะ ไหน ยิหวาอยู่ไหน เป็นไข้ไม่สบายอะไรหรือไง”

“คุณหนูยิหวาไม่อยู่หรอกค่ะ” สายพิณรีบแทรก เพราะกลัวดมิสาเกิดเถียงด้วยขึ้นมาจะปวดหัวไปกันใหญ่ “คุณท่านพาคุณยิหวาออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อกลางวันตอนคุณหนูมิ้งค์ออกไปทำงานแล้วน่ะค่ะ เห็นว่าเย็นนี้ไม่กลับ ไม่ต้องเตรียมสำรับ”

สายพิณบอกแค่นั้นแล้วรูดซิบปากสนิทไม่ยอมบอกต่อว่านางรู้ว่าเจิมจันทร์พาญานีนไปป่าช้าเพื่อฝึกสมาธิ นางพูดไม่ได้เด็ดขาดขืนบอกออกไปคงเป็นเรื่องใหญ่แน่

ดมิสาหันไปมองญาตาวี

“เธอรู้ไหมว่าบ้านนี้ไม่น่าอยู่แล้ว”

“โอ๊ย...” ดาราสาวร้องเสียงสูง

“บ้านนี้เคยน่าอยู่ด้วยเหรอมิ้งค์ พูดอะไรไม่คิด แล้วนี่ทำไมเธอไม่ย้ายออกไปเสียทีล่ะ บ้านอึมครึมแบบนี้ใครกลับมาอยู่ก็โง่เต็มทน!”

สายพิณพยายามยกมือห้ามทางนั้นที ทางนี้ที แต่ดูเหมือนนางจะทำอะไรไม่ได้และสองสาวก็ไม่ได้รบราฆ่าฟันกัน แม่บ้านร่างอวบจึงถอยตัวเองหายไปจากสถานการณ์ตรงนั้นเงียบๆ และนึกขอบคุณที่เจิมจันทร์ไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นเรื่องคงใหญ่โตกว่านี้

“ฉันหมายถึง” ดมิสาถอนหายใจยาว “เธอควรบอกให้น้องสาวเธอกลับไปอยู่บ้านพี่เดี่ยว ฉันพูดเท่าไรยิหวาก็ไม่ฟัง เธอเป็นพี่สาว ยิหวาอาจจะเชื่อเธอก็ได้”

“แล้วทำไมไม่บอกให้พี่เดี่ยวมาตามล่ะ นี่ยิหวาทะเลาะกับแฟนเลยหนีกลับมาอยู่บ้านใช่ไหมเนี่ย”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” ดมิสายกมือขึ้นกอดอก ชักจะหมดความอดทน

“อ้าว! แล้วอย่างไหน”

‘โธ่เอ๊ย อย่าทะเลาะกันสิยายหนู’

เสียงชายหนุ่มที่แทรกเข้ามานั้นทำให้ดมิสาหันมองตามแล้วเธอต้องชะงัก คลายมือออกจากการกอดอก เมื่อเห็นชายหนุ่มหล่อเหลารูปร่างผอมสูงอายุราวสามสิบต้นๆ สวมเสื้อกุยเฮงสีฟ้าอ่อนกับกางเกงเลสีน้ำเงินยืนอยู่ตรงบันไดขั้นบนสุด แต่ที่น่าตกใจคือชายที่มีร่างกายโปร่งใสแบบวิญญาณนั้น หน้าตาเหมือนกับภาพถ่ายคุณตาเดชสิทธิ์ที่ติดอยู่บนกำแพงห้องนอนของเจิมจันทร์ไม่มีผิดเพี้ยน!

“คุณตา...” ดมิสาครางเรียกอย่างตื่นตะลึง เธอเห็นผีมาก็มาก จนกระทั่งเห็นผีรับใช้ของยายเต็มบ้าน แต่เธอก็ไม่เคยเห็นวิญญาณของตามาก่อนเลย เธอคิดว่าเดชสิทธิ์ไปเกิดที่ไหนๆ แล้วด้วยซ้ำ

“หา! คุณตา” ญาตาวีชะเง้อชะแง้มองตามแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่า “นี่เธอเห็นผีคุณตาหรือไงมิ้งค์ ไหนล่ะ ไหน ไม่เห็นมีเลย”

“นั่นไง”

ดมิสาชี้มือออกไปอย่างลืมตัว เธอเห็นเดชสิทธิ์ยิ้มกว้างอย่างยินดี...แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาที ร่างโปร่งใสนั้นก็เลือนหายไปจากสายตา

“อ้าว หายไปแล้ว”

กุมารแพทย์สาวหันไปมองญาตาวีอย่างสับสน เธออยากรู้ว่าทำไมคุณตายังไม่ไปเกิด แล้วถ้ายังไม่ไปเกิดทำไมถึงเพิ่งออกมาให้เห็น ไม่สิ! ดูเหมือนคุณตาพยายามออกมาให้เห็น แต่แล้วก็มีหมอกควันมาบดบัง ราวกับมีใครบางคนพยายามพรางไม่ให้เธอมองเห็นคุณตา

ดมิสานิ่งงันราวถูกสาป

จะมีใครเล่าหากไม่ใช่ยายเจิมจันทร์!

แต่ยายจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร...

“ไร้สาระจัง ผีสางที่ไหน ฉันกลับละ” ดาราสาวยกแว่นขึ้นสวม เดินเชิดหน้าไปยังรถคันหรูที่จอดไว้ข้างรถของดมิสา ก่อนขึ้นรถก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายสามีจี๋จ๋าแล้วขับออกไปโดยไม่หันกลับมา และไม่คิดจะกลับมาเหยียบบ้านเสน่ห์จันทน์โดยไม่จำเป็นอีกเลย...

----------

“อุ๊ย พี่มิ้งค์”

ญานีนหลบตาวูบเมื่อเดินผ่านห้องนอนดมิสาแล้วกุมารแพทย์สาวเปิดประตูออกมาพอดี เกือบสองสัปดาห์แล้วที่ฝึกวิชาอยู่กับเจิมจันทร์เพื่อเตรียมตัวเป็นทายาท หญิงสาวคอยหลบหน้าดมิสาอยู่เสมอเพราะไม่อยากปะทะกันในเรื่องเดิมๆ เธอไม่อยากทะเลาะเบาะแว้งกับพี่น้องคนไหนในบ้านเลย

ดมิสาสบมองญานีนด้วยนัยน์ตาเรียบนิ่ง หากแต่ภายในใจนั้นยังไม่ยอมแพ้ ครั้นจะเข้าไปเซ้าซี้บอกให้หยุดอีกตามเคยก็คงไม่เป็นผล อะไรที่รู้ว่าทำไปแล้วไม่ได้ผล สู้ปล่อยไปดีกว่า หญิงสาวตั้งใจว่าจะรอจังหวะที่เหมาะสม ดีไม่ดีเธอจะพังพิธีเสียเลย ซึ่งต้องให้สุวรรณช่วยสืบว่าพิธีบ้าบออะไรนั่นจะจัดขึ้นวันไหน

“กินข้าวหรือยังยิหวา” หญิงสาวถามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนหันไปดันประตูปิดแล้วล็อกแม่กุญแจคล้องโซ่ แล้วจึงหันกลับมา “นี่พี่จะไปทำบุญที่วัด วันนี้วันพระ ถ้ายายอยู่บ้านแบบนี้ก็น่าจะอยู่ในห้องพระทั้งวัน ว่างอยู่ใช่ไหมเรา ไปด้วยกันไหม”

ญานีนสั่นศีรษะ “ยิหวามีอย่างอื่นต้องทำค่ะ”

เมื่อคืนนี้เจิมจันทร์ส่งรูปปั้นทองแดงขนาดไม่กี่เซนติเมตรใต้ฐาน อุดชนวนอาถรรพ์ให้เธอห้อยคอไว้ เจิมจันทร์สั่งว่าให้พกติดตัวไว้ตลอดเวลาและห้ามออกจากเขตเรือน ใกล้วันสืบทอดทายาทเต็มที ญานีนสอบผ่านเกือบหมดทุกวิชาพื้นฐานที่เจิมจันทร์สอนแล้ว ยายบอกว่านี่เป็นบททดสอบสำคัญ และรูปปั้นนี้มีดวงวิญญาณร้ายกาจฤทธิ์มากบรรจุอยู่ โดยเฉพาะในทางกามคุณ หากญานีนผ่านคืนนี้ไปได้โดยไม่ถูกสิงสู่ควบคุมดวงจิต ก็จะผ่านการทดสอบเป็นทายาทโดยสมบูรณ์!

หญิงสาวรู้สึกร้อนวูบวาบตลอดเวลาที่พกรูปปั้น เหงื่อกาฬแตกซ่ก แต่หล่อนก็พยายามอดทนเพื่อให้ผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้

“เหรอ งั้นพี่ไปนะ”

ดมิสาสังเกตเห็นอาการไม่สู้ดีของญาติผู้น้องอยู่เหมือนกัน แต่ก็เข้าใจว่าต่อให้ยื่นมือเข้าไปอยากจะช่วยเหลืออย่างไรก็เปล่าประโยชน์ เธอได้ยินเสียงรถของจิณไตยมาจอดรอที่หน้าบ้านแล้วจึงพากันกับสุวรรณเดินลงจากเรือน แต่ยังไม่ได้ออกเดินทางทันที เพราะต้องรอสายพิณช่วยยกอาหารจากในครัวไปใส่รถก่อน และหญิงสาวก็ชวนจิณไตยไปพายเรือเก็บดอกบัวที่สระไปถวายพระด้วย

สองหนุ่มสาวพายเรือออกจากศาลาท่าน้ำ เก็บบัวหลวงกันอย่างไม่รีบเพราะยังเช้าอยู่มาก จากเรือนพักของสายพิณจะได้ยินเสียงหัวเราะหยอกล้อแว่วมา แม่บ้านตัวกลมได้ยินแล้วก็พลอยอมยิ้มอารมณ์ดีไปด้วยขณะกวนขนมที่จะฝากหนุ่มสาวไปถวายพระอยู่ในครัว

ส่วนญานีนนั้นร้อนรุ่มไปทั้งสรรพางค์กาย หญิงสาวเดินไปเดินมาอยู่ใต้ต้นปีบ ลูบแขนตัวเองที่ขนอ่อนลุกชันเกือบทุกเส้น เสียงหัวร่อต่อกระซิกของดมิสากับจิณไตยที่แว่วมาทำให้ญานีนต้องยกมือปิดหูด้วยความกระสับกระส่าย คำเตือนของเจิมจันทร์ดังขึ้นในมโนสำนึก

‘รูปปั้นนี้มีดีด้านเมตตามหานิยมและกามคุณ ชายใดมีไว้ในครอบครองจะมีหญิงมาติดพันลุ่มหลงมากมาย และเมียของมันก็อาจถูกวิญญาณร้ายสมสู่ทุกค่ำคืน’ ยายดึงสายสิญจน์ออก และญานีนเห็นรูปปั้นขยับได้เองนิดหนึ่งก่อนนิ่งไป เสียงหัวเราะฮิๆ ดังไปทั่วห้องพระ ‘แกต้องสวมไว้หนึ่งคืนกับอีกสองชั่วโมง พรุ่งนี้แปดโมงเช้าถึงจะถอดออกได้ มันจะช่วยทดสอบแกให้รู้แน่ว่าจะสืบทอดวิชาได้หรือไม่ ฉันขอเตือนแกไว้แค่อย่างเดียวว่าอย่าให้อำนาจฝ่ายต่ำมันครอบงำแก ถ้าแกไม่อยากตกเป็นเมียของผีร้ายแล้วเป็นบ้าเป็นบอไป...ระวังให้ดี’

‘ทำไมต้องทดสอบแบบนี้ด้วยคะ’

ญานีนถามเช่นนั้นในห้องพระ เธอเคยทดสอบความกลัว เคยเรียนคาถาง่ายๆ มาบ้างระหว่างเตรียมตัว แต่ไม่คิดเลยว่าต้องมาพกรูปปั้นผีสิงไว้ติดคอ มิหนำซ้ำยังเป็นผีที่พร้อมจะข่มขืนเธอได้ตลอดเวลา หากเธอทำไม่ได้เล่า...หญิงสาวประหวั่น

‘อีโง่!’ เจิมจันทร์ตวาด ก่อนค่อยลดเสียงลงเมื่อรู้ตัว นางยังต้องพึ่งพาญานีนให้รับวิชาไป ‘เมื่อสืบทอดทายาทไปแล้วแกต้องเป็นเจ้านายของผีร้ายกว่านี้มากมาย แกจะคุมพวกมันอยู่ได้อย่างไร ถ้าแค่ผีลามกจกเปรตตัวเดียวแกยังรับมือไม่ได้’

ญานีนเดินมานั่งลงที่ศาลากลางเรือนสเน่ห์จันทน์ ยกข้อมือขึ้นดูเวลาก็พบว่าอีกเพียงครึ่งชั่วโมงก็จะถอดสร้อยออกได้แล้ว หญิงสาวทรมานเหลือเกินแต่ก็อดทนเหมือนที่อดทนมาทั้งคืน โดยที่ไม่รู้เลยว่าวิญญาณในรูปปั้นกลายเป็นควันสีดำลอยออกมา ดวงตาแดงก่ำของมันมองไปยังสระบัว และชั่วพริบตา สร้อยห้อยคอญานีนก็ขาดผึง! รูปปั้นอุบาทว์อันตรธานหายวับไปท่ามกลางความประหลาดใจของหญิงสาว

ความโล่งใจ ความตกใจ และความอ่อนเพลียเพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืนยังผลให้ญานีนฟุบสลบอยู่ในศาลากลางเรือนสเน่ห์จันทน์ โดยมีดอกปีบดอกหนึ่งลอยลงมาแตะพวงแก้มซีดเซียว

นพนั่งคุกเข่ามองเธออย่างแสนสงสาร เขาร่ำไห้ไปกับชะตากรรมของหญิงสาวที่เขารักโดยที่เขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย...

 

 

** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com