จิณไตยรีบออกจากบ้านกลางดึกเพื่อขับรถมายังหน้าบ้านเสน่ห์จันทน์ เมื่อมาถึงเขาก็เห็นดมิสายืนกอดตัวเองตัวสั่นอยู่หน้าบ้าน ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย คิดในแง่ร้ายว่าหากมีใครฉุดเธอเข้าป่าเข้าพงไปจะทำอย่างไร แต่การได้เห็นเธอปลอดภัยก็เป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว
“พี่จิณ” ดมิสาสะอื้นเมื่อเห็นเขา และยินยอมให้ชายหนุ่มดึงเธอมากอดปลอบ ทั้งที่ไม่รู้ว่าหญิงสาวสะเทือนใจเรื่องอะไรมา เขารู้แค่ดมิสาโทร.หาตอนเขาอาบน้ำเสร็จพอดี เมื่อรับสายก็ได้ยินเสียงเธอบอกตะกุกตะกักว่าให้ไปรับเธอที่บ้านเสน่ห์จันทน์ที
แน่นอนว่าเขารีบใส่เสื้อผ้าแล้วบึ่งรถมาอย่างร้อนใจ
“พามิ้งค์ไปจากที่นี่ทีค่ะ”
จิณไตยอยากจะถาม แต่เห็นสภาพจิตใจเธอดูแย่เกินกว่าจะซักถามอะไรกันตอนนี้ ชายหนุ่มประคองเธอขึ้นรถ ขับออกมาโดยไม่ได้ถามดมิสาว่าเธออยากไปไหน เพราะดูเหมือนเธอเองก็ไม่มีที่ไป ครู่หนึ่งโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น ดมิสาหยิบออกมารับสาย
“พี่โต” เธอเรียกชื่อพี่ชายเสียงสั่น “พี่โตอยู่ไหนคะ”
“กัวลาลัมเปอร์” ดีเลิศตอบกลับมาท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจ
“พี่มาสัมมนา นี่เพิ่งลงจากเครื่องเลยเพิ่งเปิดโทรศัพท์ก็เห็นมิสคอลของเราเลย เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น”
หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากกลั้นสะอื้น ก่อนจะเอ่ยถามออกมาตรงๆ เมื่อตั้งสติได้
“พี่โตรู้เรื่องยายใช่ไหมคะ ถึงพาพี่บัวออกจากบ้าน”
ดีเลิศนิ่งอึ้ง อาการไม่ตอบรับหรือปฏิเสธทันทีของพี่ชายทำให้หญิงสาวพอเดาได้ว่าคำตอบคืออะไร กระทั่งชายหนุ่มเอ่ยออกมาเสียงเครียด
“พี่รู้นะว่ามิ้งค์รักคลินิกมาก แต่พี่ก็ยังยืนยันคำเดิมที่เคยบอกมิ้งค์ไว้ก่อนออกมานะว่าพี่อยากให้มิ้งค์ย้ายออกมาอยู่ด้วยกัน คอนโดฯ พี่ก็กว้างขวาง น้องสาวคนเดียวพี่เลี้ยงได้”
ดมิสาเม้มริมฝีปาก ความปรารถนาจะหนีไปให้ไกลจากบ้านเสน่ห์จันทน์มีมากพอๆ กับความห่วงใยคนไข้ แต่...จะว่าไปคลินิกของเธอจะเปิดใหม่ที่ไหนก็ได้ บ้านเสน่ห์จันทน์ก็ดีที่ไม่ต้องเสียค่าเช่าที่และยังมีสมคิดคอยเปิดประตูรอคนไข้ให้ตอนเย็น
แต่เธอต้องอยู่บ้านเดียวกับผู้มีอวิชชามนตร์ดำไว้ประหัตประหารชีวิตอื่นอย่างนั้นหรือ ยายฆ่ามากี่ศพแล้ว ทำลายมากี่ชีวิตแล้ว...คิดได้แค่นี้ ดมิสาก็คลื่นเหียนวิงเวียน
“ขอมิ้งค์คิดดูก่อนนะคะ” ดมิสากำลังจะถามถึงบัวบุษบาเผื่อว่าจะขอไปนอนค้างด้วยสักคืน แต่เสียงเรียกดีเลิศอย่างสนิทสนมคุ้นเคยด้วยโทนเสียงหวานใสคุ้นหูก็ทำให้หญิงสาวรู้ว่าบัวบุษบาเดินทางไปกับสามี
“พี่โต มิ้งค์ดีขึ้นแล้วค่ะ หายสติแตกแล้ว”
หญิงสาวพยายามหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่ต้องห่วงมิ้งค์นะคะ เดินทางต่อเถอะ กว่าจะถึงโรงแรมคงเหนื่อยแย่”
ดีเลิศเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยจริงจัง
“มีอะไรโทร.หาพี่ทันที เข้าใจนะ”
“ค่ะ” หญิงสาวกดวางสาย ก่อนเปิดไลน์พิมพ์บอกเถลิงเกียรติว่าขอแลกเวรพรุ่งนี้ เมื่อชายหนุ่มถามเหตุผล ดมิสาก็ไม่รู้จะบอกยังไง
ครู่หนึ่งโทรศัพท์ก็มีสายโทร.เข้าจากไลน์ หญิงสาวจึงสูดลมหายใจลึกตั้งสติ แต่เมื่อรับสายและได้ยินเสียงเพื่อนถามมาอย่างห่วงใยว่าไม่สบายเป็นอะไรตรงไหนหรือเปล่า ให้ไปรับพาไปโรงพยาบาลไหม ดมิสาก็ตอบกลับไปเสียงสั่นอย่างห้ามยาก
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีอะแก แต่...ฉันไม่พร้อมจะเล่าตอนนี้”
“เฮ้ย...แล้วแกอยู่ไหน อยู่กับใคร มีคนอยู่ด้วยหรือเปล่า ถ้าแกไม่มีใครฉันไปหาแกได้ทันทีเลยนะ แกไม่เคยเป็นแบบนี้ ฉันไม่โอเคเลยนะโว้ย”
“อยู่กับพี่จิณ”
หญิงสาวเหลือบมองเมื่อคนถูกเอ่ยถึงหันมาลูบศีรษะเธอเมื่อรถติดไฟแดง
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันโทร.หานะกั้ง ช่วยหน่อยนะ”
“เออ ก็ได้” เถลิงเกียรติอยากจะแซวตามประสา แต่ก็รับรู้ได้จากเสียงของดมิสาว่าไม่น่าใช่เวลา จึงตอบอย่างเป็นทางการ “เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันไปแทนให้ แกดูแลตัวเองดีๆ อย่าไปปล้ำคุณจิณเขาละ”
ก็ยังอดไม่ได้อยู่ดีที่จะแซวปนเสียงหัวเราะ และได้ผล ดมิสาหัวเราะตามเบาๆ
“บ้า แค่นี้นะ”
หญิงสาวกดวางสาย รอยยิ้มจางไป จนจิณไตยอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปจับมือเธอมาวางบนตักเขา กุมไว้เบาๆ ให้หญิงสาวรับรู้ว่ามีเขาอยู่ตรงนี้ พร้อมจะช่วยเหลือเธอ
เพราะจิณไตยไม่รู้จะพาดมิสาไปไหน เขาจึงพาเธอกลับบ้านตัวเอง ชายหนุ่มประคองหญิงสาวเดินลงจากรถเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ เขาสั่งให้แม่บ้านวัยกลางคนเตรียมน้ำอุ่นกับผ้าขนหนู และให้ไปขอยืมชุดนอนจากห้องของตารกา จากนั้นจึงพาดมิสาขึ้นไปยังห้องส่วนตัวด้วยกันท่ามกลางความสงสัยของแม่บ้าน แต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปากถาม เพราะไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร และจิณไตยพากลับบ้านมาในสภาพนั้นเพราะอะไร
ดมิสาทิ้งตัวนั่งที่โซฟาปลายเตียงอย่างอ่อนแรง กระทั่งจิณไตยละมือไป แม่บ้านเอากะละมังน้ำอุ่นกับผ้าขนหนูเข้ามาให้ แต่เธอปฏิเสธที่จะให้จิณไตยเช็ดเนื้อเช็ดตัว
“เหงื่อออกเยอะแบบนี้จะไม่เช็ดตัวได้ยังไง ดูท่าแล้วก็ไม่น่าอาบน้ำไหวด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นขอมิ้งค์เช็ดเองนะคะ”
หญิงสาวยื่นมือมาขอผ้าขนหนู ชายหนุ่มจึงยอมส่งให้ และเมื่อได้เช็ดหน้าเช็ดตา ดมิสาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นกว่าตอนที่ใบหน้าของเธอมีแต่คราบน้ำตาจริงๆ
ครู่หนึ่งประตูห้องนอนของจิณไตยก็ถูกเคาะ แต่เด็กสาวที่เดินเข้ามาไม่ใช่แม่บ้าน หล่อนอยู่ในชุดนอนกระโปรงยาวสีขาว ในมือมีเสื้อผ้าพับที่น่าจะเป็นชุดนอนเสื้อกับกางเกงขายาวลายทาง
“เห็นป้าเพียรบอกว่าพี่จิณขอยืมชุดนอน”
หล่อนหมายถึงแม่บ้าน ตารกากวาดสายตามองดมิสาอย่างวิเคราะห์ พี่ชายของหล่อนไม่เคยพาผู้หญิงใจง่ายเข้ามาทำอะไรบัดสีกันในบ้านมาก่อน และท่าทางดมิสาก็ดูเหมือนสะเทือนใจอะไรมา อาจจะเป็นเพื่อนหญิงคนใหม่ของจิณไตยก็ได้ ตารกาสรุปในใจ ก่อนยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะพี่...”
“นี่ตาครับ...น้องสาวที่ผมเคยเล่าให้ฟัง” จิณไตยหันไปบอกดมิสา ก่อนหันกลับมาพูดกับตารกา “ส่วนนี่พี่มิ้งค์...คืนนี้พี่มิ้งค์จะนอนนี่นะ ที่บ้านพี่มิ้งค์มีเรื่องนิดหน่อย”
เขาเลี่ยงที่จะแนะนำว่าดมิสาอยู่ในฐานะอะไร เพราะเมื่อเดือนที่แล้วเธอยังไม่ยอมมาที่บ้านเพื่อทำความรู้จักกับน้องสาวของเขาอยู่เลย เขาเลยไม่แน่ใจว่าเธอพร้อมหรือยังที่จะบอกตารกาว่าเธอเป็นคนรักของเขา ดมิสานั้นพยายามจะปฏิเสธเรื่องที่จะนอนค้างที่นี่ ถึงเธอจะไม่พร้อมที่จะอยู่บ้านเสน่ห์จันทน์ต่อ แต่กระนั้นดมิสาก็ไม่ได้คิดว่าจะมานอนค้างอ้างแรมกับคนรักที่ยังไม่ได้แต่งงานกันแบบนี้ ที่เธอมานั่งอยู่ตรงนี้ สถานการณ์มันพาไปจนน่ามึนงง
“อ๋อ ค่ะ” ตารกาพยักหน้าอย่างเข้าใจง่าย “นี่ชุดนอนค่ะ พี่มิ้งค์น่าจะใส่ได้ เราตัวเท่าๆ กัน”
ดมิสาพูดอะไรไม่ออก ได้เพียงขอบใจแผ่วเบาขณะยื่นมือไปรับชุดมาถือไว้ ในขณะที่ตารกาหาวหวอด ก่อนยกมือโบกลา
“ตาไปนอนก่อนค่ะ กู๊ดไนท์นะคะพี่มิ้งค์ พี่จิณ”
หญิงสาวรอจนตารกาเดินออกไปแล้ว เธอพบว่าตัวเองสั่นน้อยลงจนเกือบจะไม่สั่นกลัวอีกเลยเพราะเหตุใดไม่อาจทราบได้ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะบ้านนี้ไม่มีกลิ่นอายชวนคลื่นเหียนเหมือนบ้านเสน่ห์จันทน์ ไม่มีกลิ่นดอกลำดวนที่จะออกดอกต้นปีแล้วส่งกลิ่นหอมลึกลับไปทั่ว ไม่มีกลิ่นของสมุนไพรจางๆ จากร่างกายของเจิมจันทร์...ไม่มีละไอความลับ ความมืด ความตาย...เหมือนที่เรือนหลังนั้น
ที่นี่กว้างใหญ่ สะอาด สงบ และชวนให้รู้สึกเบาใจอย่างประหลาด
“เป็นไงบ้าง” เขายื่นมือมาแตะหน้าผากเธออย่างห่วงใย
“พี่กลัวมิ้งค์จะไม่สบาย ปวดหัวไหม เดี๋ยวพี่เอายาให้กิน จะได้นอนหลับสบาย”
ดมิสานิ่งคิดนิดหนึ่งก็พยักหน้า
“ขอยาแก้ปวดสักเม็ดก็ดีค่ะ พรุ่งนี้มิ้งค์คงตื่นมาปวดหัวแน่เลย”
ชายหนุ่มลูบศีรษะเธอแผ่วเบาก่อนลุกขึ้นไปหยิบกระปุกยาออกจากตู้ยาติดผนัง ในขณะนั้นดมิสาคิดว่าตัวเองมีแรงมากพอจะอาบน้ำแล้ว จึงขอผ้าขนหนูจากเขา แล้วเดินกอดผ้าขนหนูกับชุดนอนเข้าห้องน้ำไปท่ามกลางสายตาห่วงใยของเจ้าของบ้าน
ห้องน้ำของจิณไตยตกแต่งเรียบง่ายแต่หรูหรา เครื่องเรือนส่วนใหญ่เป็นสีขาวเช่นเดียวกับห้องนอนของเขา และห้องโถงของบ้าน
หญิงสาวรวบผมยาวหยักศกของตนอย่างง่ายๆ ด้วยหนังยางรัดผมที่รัดติดผมมายังไม่ทันแกะออก เธออาบน้ำชำระล้างร่างกาย และพยายามผลักความจริงเรื่องเจิมจันทร์ออกจากจิตใจด้วย
เธอต้องตั้งสติ ต้องมีสติ
จะสติแตกสั่นกลัวแบบเมื่อครู่ไม่ได้ เมื่อความกลัวบดบัง เธอจะคิดและตัดสินใจสิ่งใดได้ยากเย็นเต็มทน เรื่องนี้พระดินเคยเมตตาสอน แต่ดมิสาก็ยังปล่อยให้ความกลัวครอบงำเสียจนนำพาตัวเองมาอยู่ในบ้านของจิณไตยอย่างน่าอาย
แต่จะให้กลับไปบ้านเสน่ห์จันทน์ตอนนี้เธอก็ทำไม่ได้...
เธอยังไม่พร้อมจริงๆ
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **