ที่วัดระฆัง จิณไตยชวนดมิสามาไหว้พระทำบุญและเดินไปให้อาหารปลาและนกพิราบที่ท่าน้ำ สองหนุ่มสาวนั่งคุยกันตรงม้านั่งขณะมองเรือรับส่งนักท่องเที่ยวแล่นผ่านไปมา หญิงสาวจึงเล่าเรื่องคนไข้ที่ชื่อสุกัญญาให้เขาฟัง
“มิ้งค์ก็ลำบากใจแย่เลยสิ” จิณไตยหันมองเธออย่างเป็นห่วง “แล้วไงต่อ ผู้หญิงคนนั้นย้อนกลับมาทำอะไรไม่ดีอีกหรือเปล่า”
ดมิสาสั่นศีรษะยิ้มๆ
“หายไปหกเจ็ดวันแล้วคงไม่ย้อนกลับมาแล้วค่ะ เรื่องแบบนี้มิ้งค์ชินเสียแล้วละ งานแบบมิ้งค์ต้องเจอคนมากหน้าหลายตา ร้อยพ่อพันแม่ แต่ก็ไม่เคยเจอเคสหนักขนาดนี้มาก่อนเลย ถ้าไม่ได้กั้งช่วยมิ้งค์คงแย่”
“กั้งเนี่ย ใช่ผู้ชายที่ไปบวชกับมิ้งค์หรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ” ดมิสาพยักหน้า ก่อนยกแก้วน้ำขึ้นดูด
“ตอนอยู่วัด...ดูไม่ออกเลยเนอะ”
“กั้งเป็นคนมีความตั้งใจจริงค่ะ” หญิงสาวลดแก้วน้ำอัดลมวางลงบนตัก “เวลาทำอะไรเขาจะจริงจังเสมอ เขารู้ว่าการที่เป็นแบบนั้นแล้วนอนกระท่อมเดียวกับอุบาสกก็ไม่งาม นอนกับมิ้งค์ก็ไม่ได้ เขาเลยเลือกที่จะปิดวาจา ปฏิบัติอย่างเดียวไม่พูดกับใคร”
“น่าชื่นชมนะ”
“ค่ะ”
“และดีมากด้วยที่เขาดูแลมิ้งค์มาอย่างดีก่อนจะมาเจอพี่”
หญิงสาวเสยกแก้วน้ำขึ้นอีกครั้งและมองไปอีกทางเมื่อถูกเขาหยอดคำหวานและมองมาตาหวาน เธอชวนเขาออกจากท่าน้ำเพื่อหาข้าวเย็นกินกัน แต่เมื่อเดินมาถึงอาคารจอดรถหน้าวัดและต่างเข้ามานั่งในรถกันแล้วจิณไตยก็กลับเปลี่ยนใจที่จะพาเธอไปร้านอาหาร
“ไปกินข้าวบ้านพี่ไหม”
“เอ๊ะ”
“พี่อยากแนะนำให้มิ้งค์รู้จักน้องสาวพี่ จะได้สนิทกันไว้”
ดมิสานิ่งคิด ก่อนสั่นศีรษะ
“ไว้คราวหลังได้ไหมคะ มิ้งค์ยังไม่พร้อม เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แล้วอีกอย่าง...” เธอชะงัก ไม่พูดต่อว่าภรรยาเก่าของเขาเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อต้นปีนี้เอง ที่เขามีเธอตอนนี้ ครอบครัวของเขาอาจมองว่าเร็วเกินไป “...อีกอย่างมิ้งค์หิวแล้วค่ะ หาร้านใกล้ๆ กินกันดีกว่า”
จิณไตยเม้มริมฝีปาก อยากจะเค้นถามว่าเธอมีอะไรในใจ แต่เมื่อเธอเฉไฉ เขาจึงถอนหายใจแล้วตอบตกลงยิ้มๆ แม้จะเปิดใจอยู่บ้าง แต่เขาดูออกว่าดมิสาไม่ได้เปิดให้เขาเห็นทุกซอกทุกมุมในหัวใจ หญิงสาวดูมีความลับ มีอะไรหลายอย่างที่ปิดบังเขา และเขาสัญญากับตัวเองว่าวันหนึ่งจะค้นเข้าไปในหัวใจเธอ
จะหาให้เจอว่าเธอซ่อนอะไรไว้ข้างในนั้น...
----------
นุชชารีย์สะอื้นไห้อยู่ภายใต้พันธนาการของเส้นผมตัวเอง วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า เธอมองเห็น เธอได้ยิน เธอรับรู้ได้ทุกอย่าง...แต่กลับไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับใครได้เลย
ทรมาน...ทรมานเหลือเกิน
‘พี่มิ้งค์ๆ’
เสียงของสุวรรณลูกชายสุดที่รักดังขึ้น วิญญาณสาวจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง หล่อนขยับริมฝีปากที่ถูกเส้นผมตัวเองพันธนาการ พยายามเรียกลูก แต่ก็มิอาจกระทำ
‘ทำให้ดอกไม้บานได้ไหมคับ’
นุชชารีย์เห็นสุวรรณชี้มือไปยังกุหลาบขาวภายในห้องนอนของดมิสา วิญญาณสาวรู้เรื่องที่ดมิสามีพลังจิตพร้อมสุวรรณมานาน...นานแค่ไหนแล้วนะ หล่อนจำไม่ได้เลย รู้เพียงว่าสุวรรณเห่อพลังจิตของดมิสามาก เพราะไม่เคยเห็นมนุษย์ที่ไหนงอช้อนได้ ทำให้เก้าอี้โยกเองได้ หรือทำให้จานลอยมาวางที่โต๊ะได้แบบนั้นมาก่อน
ดมิสาหันมองกุหลาบตูมในแจกัน เพ่งสมาธิชั่วครู่กุหลาบขาวก็แย้มกลีบบานอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
‘โอ้โห’ สุวรรณทำตาโต ‘ทำให้สุวรรณลอยได้ไหมคับ’
กุมารแพทย์สาวหัวเราะ
“สุวรรณก็ลอยได้เองอยู่แล้วนี่”
‘โฮ่งๆ’ บุญเลิศเห่ารับราวกับว่าเห็นด้วย
หญิงสาวและพรายกุมารหัวเราะออกมาพร้อมกัน ภาพความสนิทสนมนั้นกรีดหัวใจของนุชชารีย์นัก แม้จะไม่มากเท่าเมื่อดมิสากับจิณไตยนัดเจอกัน หยอกล้อกันอย่างสนิทสนมขึ้นทุกวัน
ทำไมกันนะ ทำไม...
ทำไมหล่อนถึงโชคร้ายอยู่เสมอ
นุชชารีย์แอบรักจิณไตยมานาน ตั้งแต่เป็นรุ่นน้องของเขาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่ชายหนุ่มก็มีแฟนอยู่แล้วนับแต่ตอนนั้น มิหนำซ้ำยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรากัน นุชชารีย์แม้มีผู้ชายดีเลิศแค่ไหนมาจีบก็ปฏิเสธไปหมดเพราะหล่อนตัดใจจากจิณไตยไม่ได้
กระทั่งภรรยาเขาตาย เธอจึงได้รับโอกาสเป็นภรรยาคนที่สองของเขาอย่างที่ไม่เคยคิดฝัน แต่แล้วความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน เธอก็กลับต้องมาตายตกลงไปด้วยอีกคน
ทำไมกันนะ...
หล่อนมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนดีคนหนึ่งในสังคม เป็นลูกที่ดีของบิดามารดา เป็นเพื่อนที่ดีของมิตรสหาย และเป็นภรรยาที่ดีของจิณไตย แล้วเหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งหล่อนถึงเพียงนี้! กับดมิสา ทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน แต่ดูจิณไตยกลับรักใครลุ่มหลงมันเสียจนลืมหล่อนได้ในระยะเวลาอันสั้น
หญิงก็ชั่ว...ชายก็เลว!
แสงวูบหนึ่งสาดมาจนนุชชารีย์ต้องหยีตา ชั่วขณะหนึ่งเหมือนตัวหล่อนหลับวูบไปทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้ เมื่อลืมตาขึ้นอีกทีหญิงสาวก็พบว่าตัวเองเป็นอิสระ ไร้ซึ่งพันธนาการ หากแต่รอบกายมืดดำ มีเพียงแสงที่ส่องมาจากร่างที่ห่มจีวรตรงหน้าเท่านั้น
พระอาจารย์ดิน ขันติสุโภ
วิญญาณสาวทรุดกายลงนั่งประนมมือ หล่อนรู้จักท่านเจ้าอาวาสวัดป่าอิสราภรณ์รูปนี้ เพราะหล่อนติดอยู่ในจี้เครื่องรางของดมิสามานาน หล่อนทราบดีว่าท่านเป็นพระมีอภิญญา สามารถทำอะไรได้หลายอย่างแบบที่ยามมีลมหายใจ นุชชารีย์ไม่สามารถจินตนาการได้เลย
พระดินยิ้ม ท่านเห็นทางแยกอันตรายของนุชชารีย์ วิญญาณสาวกำลังหยุดอยู่ตรงทางเลือกระหว่างการอดทนทำดีต่อไป หรือกลับกลายเป็นวิญญาณร้ายและอาจหลงทางสู่อเวจีอันทุกข์ทรมานในอนาคต
ด้วยความเมตตา ท่านจึงผายมือออกด้านข้าง เผยให้เห็นอดีตชาติของนุชชารีย์ที่เกิดเป็นลูกสาวของหมอผีมอญ ซึ่งต่อมาคือครูสอนมนตร์ดำให้เจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์!
‘คำทิพย์ เอ็งเตรียมของให้พ่อเสร็จหรือยัง’
นุชชารีย์เกิดรับรู้ได้จากสัญญาเก่าว่าเด็กหญิงสายเลือดไทยมอญวัยราวสิบปีที่ชื่อคำทิพย์ผู้นี้คือตัวหล่อนเองในอดีตชาติ คำทิพย์เป็นเด็กซื่อ เชื่อฟังและทำตามที่บิดาสั่งทุกอย่าง และตอนนี้เธอจับคอไก่โต้งไว้มั่น ขณะหันไปตอบบิดา
‘ใกล้แล้วจ้ะ’
โดยไม่สนใจว่าไก่จะดิ้นรนแค่ไหน หล่อนก็เชือดคอไก่แล้วรินเลือดลงถ้วยตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ราวกับเคยชินกับการฆ่ามาทั้งชีวิต ในขณะที่นุชชารีย์ยกมือปิดปาก ไม่อยากจะเชื่อว่านั่นคืออดีตชาติของตน ในเมื่อชาตินี้แม้มดสักตัว หล่อนยังไม่เคยฆ่าเลย
‘นี่จ้ะพ่อ’
หมอผีชั่วรับถ้วยเลือดไป ก่อนลูบหัวบุตรสาวอย่างชื่นชม
‘เออ ดี เอ็งมันเก่ง ไม่เสียแรงที่พ่อสั่งสอนเอ็งมาดี’
เด็กหญิงยิ้มรับคำชมทั้งที่ยังกำคอไก่ที่ร่างกายกระตุกใกล้ตายไว้แน่น เลือดกระเซ็นเต็มใบหน้าอ่อนใส แล้วภาพก็ตัดไป กลายเป็นภาพหมอผีมอญกำลังใช้เลือดไก่และของอุบาทว์จัญไรทำพิธีทำร้ายหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์จนตกเลือดจนตายตามการว่าจ้างของภรรยาน้อยของสามีหญิงตั้งครรภ์
‘ไอ้โต้ง ไอ้โต้ง’ นุชชารีย์เห็นคำทิพย์วิ่งไล่ตามไก่โต้งอีกตัว ตอนนี้หล่อนอายุสิบสี่ปีแล้ว และไก่โต้งตัวนั้นก็วิ่งหนีเร็วเหลือเกิน แต่ก็ไม่พ้นถูกคำทิพย์จับได้อยู่ดี
‘วิ่งเร็วเหลือเกินนะมึง คอยดูนะ กูจะทำให้มึงวิ่งไม่ได้อีกเลย’
พูดจบก็ใช้เชือกมัดร่างไก่พันไว้จนเชือกหมดเส้นด้วยโทสะ ไก่ถูกเชือกรัดก็พยายามดิ้นแต่คำทิพย์ก็โยนมันเข้าสุ่มไก่ทิ้งไว้อย่างไม่ไยดี คิดเพียงว่าวันพรุ่งนี้ก็ต้องเชือดมันแล้ว ซึ่งไก่โต้งชิงตายไปก่อนเพราะหายใจไม่ออก ทำให้คำทิพย์หัวเสียมากเพราะพิธีของบิดาต้องใช้เลือดไก่เป็นๆ เท่านั้น
นุชชารีย์มองภาพโต้งที่ถูกมัดแล้วน้ำตาไหลพราก เพราะสภาพของมัน ไม่ต่างจากที่วิญญาณหล่อนถูกเส้นผมตัวเองพันธนาการเลย!
“โยมเสียชีวิตเพราะเป็นฝีในท้อง ตอนอายุสิบสี่ปี”
พระดินกล่าวด้วยรอยยิ้มมีเมตตา
“ก่อนจะมาเกิดเป็นนุชชารีย์ โยมไปเกิดใช้เศษกรรมเป็นไก่มาแล้วหลายชาติ เมื่อเกิดชาตินี้ก็เกิดในครอบครัวที่ดีกว่าชาติก่อนๆ ได้รับการสอนที่ดี โยมจึงเป็นคนดี มีสัมมาทิฐิ เพราะพื้นฐานจิตใจของโยมเป็นคนซื่อ สั่งสอนได้ง่าย”
นุชชารีย์อยากจะเอ่ยปากถาม แต่หล่อนไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดได้ เพราะแท้จริงแล้วหล่อนยังถูกพันธนาการไว้ด้วยเส้นผมของตัวเองในจี้เครื่องราง
“คนเรานะโยม จะเป็นคนดีได้ต้องคิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี หากโยมพลาดพลั้งไปเกิดกับคนพาลอีก โยมอาจจะทำผิดซ้ำอีก”
ท่านยกมือขึ้นแตะที่อกตนเอง
“จิตเรานี้สำคัญที่สุด...จงตั้งมั่นในความดี ยึดคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง อิสระของโยมกำลังเดินทางมา ระหว่างนี้ขอให้โยมพยายามตั้งจิตตั้งใจอธิษฐานเถิด เกิดภพใดชาติใดก็ขอให้เกิดในตระกูลสัมมาทิฐิ และจะรักษาศีลห้าเป็นอย่างต่ำ เพื่ออนาคตระหว่างที่ยังคงวนเวียนในวัฏสงสารของโยมเอง”
พระดินยิ้ม ก่อนจางหายไป...
นุชชารีย์สะดุ้งเฮือก! ฟื้นตื่นขึ้นมาในจี้เครื่องรางอีกครั้ง
แต่คราวนี้หล่อนไม่ได้ตีอกชกหัวเรียกร้องความยุติธรรมจากฟ้าจากสวรรค์อีกแล้ว ไม่โทษว่าเป็นความผิดของจิณไตยหรือดมิสาด้วย หล่อนนึกขอบคุณพระอาจารย์ที่อุตส่าห์มาโปรดทั้งที่หล่อนไม่ใช่หลานสาวแบบดมิสา หล่อนเป็นคนอื่น เป็นคนแปลกหน้า และเกือบจะเคียดแค้นชิงชังคนดีๆ แบบดมิสากับจิณไตยด้วยอคติ
ทั้งที่ก็เห็นว่าสองคนนั้นกระทำแต่กรรมดี ไม่ว่าจะอยู่นอกบ้าน หรือในบ้าน มีคนเห็น หรือลับหลัง โดยเฉพาะดมิสาที่คอยส่งดวงวิญญาณไปเกิดเสมอโดยไม่เอาความดีความชอบ ไม่เคยประกาศบอกใคร ไม่เคยแสดงตนว่ายิ่งใหญ่เหนือมนุษย์ผู้ไม่มีสัมผัสทิพย์
หญิงสาวปิดเปลือกตา ปล่อยให้น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม แม้รู้สึกทรมานนักหนา แต่เธอก็พยายามตั้งจิตอธิษฐานตามที่พระอาจารย์แนะนำ
การคบหาคนชั่ว ถูกสั่งสอนโดยคนชั่ว
ช่างน่ากลัวเหลือเกิน...
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **