ทดลองอ่าน ซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ : เลื่อมลายพรายจันทร์ : ตอนที่ 14

 

 

ตอนที่ 14

 

 

จิณไตยขับรถไปจอดในซองรถจอดของบ้านเด็กกำพร้าแก้วฟ้า เขาไม่แปลกใจเลยที่ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางของดมิสา จากที่เขาฟังจากอรจีรามา นอกจากจะเปิดคลินิกรักษาฟรี คิดแค่ค่ายากับวัคซีนแล้ว ดมิสามักหาเวลาออกค่ายอาสาอยู่บ่อยครั้ง และเดินทางไปวัดป่าอิสราภรณ์บ่อยๆ ไม่ว่าจะไปเยี่ยมแม่ชีดาราวลี พระอาจารย์ดิน หรือไปบวชชีพราหมณ์รักษาศีลก็ตาม

วิถีชีวิตของเธอเรียบง่าย ไม่หวือหวา ที่เขารู้เกี่ยวกับดมิสาก็มีเพียงเท่านี้ แน่นอนว่าการเข้าวัดทำบุญไม่ใช่เครื่องการันตีว่าคนคนนั้นเป็นคนดี จิณไตยเองเติบโตในครอบครัวชาวพุทธ ก่อนจะเสียชีวิต บิดามารดาพาเขาเข้าวัดทำบุญเสมอ ชายหนุ่มได้รู้เห็นเรื่องราวในวัดทั้งดี แย่ และการเกทับกันว่าใครบุญหนักศักดิ์ใหญ่กว่าระหว่างพุทธศาสนิกชนด้วยกันบ่อยครั้ง

แต่ดมิสาไม่เหมือนคนพวกนั้น ไม่เลยสักนิด จากที่เขาคอยมองตามสังเกตเธอก่อนจะเข้าไปทำความรู้จัก ดมิสาไม่ยุ่งกับใครนอกจากทำงานด้วยกัน อย่างเช่นล้างจานชาม ขัดห้องน้ำ เธอยิ้มและพูดคุยปกติ สนทนาธรรมบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่เคยอวดตัวว่าเก่งหรือวิเศษมาจากไหน อรจีราบอกว่ามารู้ว่าดมิสาเป็นแพทย์ก็เพราะขอแอดไลน์แล้วรูปของดมิสาใส่เสื้อกาวน์ ก่อนหน้านั้นไปบวชแล้วเจอกันหลายครั้งแล้ว ดมิสาก็ไม่ได้โอ้อวดอะไรเลย เธอปฏิบัติตัวอย่างพุทธศาสนิกชนคนหนึ่งเสมอมา

‘น้องมิ้งค์เป็นหลานพระดินด้วยค่ะ เธอนามสกุลอิสราภรณ์เหมือนชื่อวัดเลย’ อรจีราเพิ่งเล่าให้ฟังวันก่อน

‘นี่จีเพิ่งขอเฟซบุ๊กน้องมาเลยเห็นนามสกุลค่ะ คบกันมาตั้งนานไม่เคยรู้เลย คิดว่าไปบ่อยเพราะแม่ชีดาราบวชที่นั่นซะอีก’

อรจีราละไว้ไม่ได้พูดถึงเถลิงเกียรติที่หล่อนเห็นเขาโพสต์คุยกับดมิสามุ้งมิ้งกันในเฟซบุ๊ก แบบที่ใครก็ดูออกว่าชายหนุ่มเป็นเกย์ โธ่! เธออุตส่าห์เชียร์คู่นี้มานาน มิน่า สนิทกันขนาดนั้นแต่ไม่ยอมลงเอยกันเสียที แต่ก็คงเป็นผลดีกับบอสของหล่อน นี่เงียบไปไม่กี่วัน มาถามนู่นนี่เกี่ยวกับดมิสาอีกแล้ว

‘นี่บอสจะจีบมิ้งค์เหรอคะ’

เลขาสาวยิงคำถามตรงจุดจนจิณไตยแทบจะเซ แต่เขาก็หัวเราะแก้เก้อ และยอมรับตรงๆ

‘ถ้าไม่มีเรื่องวิกับนุช...ผมอาจจีบเธออย่างที่คุณว่า’ เขาอัดแน่นในอกเมื่อคิดถึงภรรยาทั้งสองที่ด่วนจากไปพร้อมลูกน้อยในครรภ์ ‘แต่...คุณก็รู้ว่าผม...’

‘แล้วบอสจะถามถึงมิ้งค์ไปทำไมล่ะคะ’

คำถามจี้จุดแบบนี้หากเป็นเลขาของคนอื่น อรจีราคงเตรียมตัวตกงาน แต่เพราะร่วมงานกันมานาน เธอรู้ว่าจิณไตยมองเธอเหมือนเป็นเพื่อน เป็นญาติ เพราะเธอล่มหัวจมท้ายกับเขามาตั้งแต่จิณไตยเรียนจบและเข้ามาศึกษางานเพื่อรับตำแหน่งประธานบริษัทจากผู้จัดการมรดกต่อไป เนื่องจากบิดามารดาของเขาเสียชีวิตไปนานแล้วด้วยอุบัติเหตุ อีกเหตุผลคืออรจีราก็ห่วงใยจิณไตยมาก หากมีอะไรที่เธอสามารถช่วยให้เขามีความสุขได้ เธอจะช่วยเต็มที่

และตอนนี้ดูเหมือนบอสของเธอจะสับสนจนไม่กล้าเดินไปข้างหน้าแล้ว

จิณไตยนิ่งไป ไม่ตอบอะไรอีก อรจีราจึงเขียนไอดีไลน์ของดมิสาใส่ในกระดาษโน้ตวางไว้ให้บนโต๊ะ

‘นี่ไลน์ไอดีของน้องมิ้งค์ค่ะ บอสต้องคิดเอาเองแล้วละว่าจะเดินหน้าต่อ หรือจะหยุดแค่นี้ จีไม่รู้นะว่าวันนั้นที่ไปเจอกัน บอสกับมิ้งค์คุยอะไรกันบ้าง น้องมิ้งค์มีท่าทีจะชอบบอสไหม จีก็เดาไม่ออก แต่ถ้าบอสจะจีบมิ้งค์จริงๆ จีแนะนำว่าควรเล่าเรื่องภรรยาสองคนแรกของบอสให้มิ้งค์รู้ค่ะ มิ้งค์มีสิทธิ์รู้ แต่ถ้าบอสไม่จริงจัง จีฝากทิ้งเศษกระดาษใบนี้ และจีขอ...อย่าไปยุ่งกับมิ้งค์อีก น้องมิ้งค์เป็นคนดี จีไม่อยากเห็นน้องเสียใจ’

โดยไม่กลัวตกงาน อรจีราเดินออกจากห้องทำงานของท่านประธานบริษัทไปสะสางงานของตัวเองบ้าง ส่วนเรื่องของหัวใจ ต้องให้เจ้าตัวเขาหาคำตอบเอง...

แล้วจิณไตยก็ตัดสินใจได้ ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าบ้านเด็กกำพร้าแก้วฟ้า และเธอคงอยู่ข้างในนั้น เพราะนอกจากรถของเขาแล้ว ในที่จอดรถของแขกมีแค่ฟอร์ดสีขาวคันเล็กคันเดียวจอดอยู่ จิณไตยลองจับกระโปรงหน้ารถดู ก็พอเดาได้ว่าเธอมาถึงก่อนได้พักใหญ่แล้ว

บ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวหลังเล็ก กลางเก่ากลางใหม่ ด้านนอกถูกทาด้วยสีฟ้าสดใส เมื่อเดินเข้าไปจึงพบว่าภายในเป็นสีเนื้อไม้ เขาเห็นดมิสาอยู่ที่ห้องโถง เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังกินเค้กกันอย่างเอร็ดอร่อย แค่เห็นถุงก็รู้ว่าเป็นเค้กร้านดังที่เคยได้ยินว่าต้องต่อคิวรอนาน ส่วนดมิสายืนคุยอยู่กับหญิงวัยกลางคน ในอ้อมแขนของเธอมีเด็กทารกนอนนิ่งในห่อผ้า

ชายหนุ่มชะงัก รู้สึกตื้อไปทั้งอก

หากนุชชารีย์ยังไม่จากไป ลูกชายของเขาคงมีอายุเดือนเท่าเด็กในอ้อมแขนของดมิสาเลย

“อ้าว คุณ สวัสดีค่ะ”

จิณไตยรีบยกมือรับไหว้หญิงวัยกลางคนที่กำลังคุยกับดมิสา เมื่อหญิงสาวหันมาเห็นเขา เธอก็มีท่าทีประหลาดใจ ก่อนแก้มใสจะออกสีชมพูเรื่อ จนจิณไตยรู้สึกใจมาเป็นกอง ค่อยคลายความทุกข์ใจลงอย่างน่าอัศจรรย์

“เพื่อนมิ้งค์เองค่ะครูแก้ว” ดมิสาหันไปบอกเจ้าของบ้านเด็กกำพร้า

“พอดีมีธุระต้องคุยกันน่ะค่ะ มิ้งค์เลยบอกให้ตามมาที่นี่เลย”

“อ๋อ เหรอคะ ตามสบายนะคะคุณ”

“ขอบคุณครับครู”

จิณไตยยกมือไหว้ รอจนครูแก้วฟ้าเดินไปดูแลเด็กชายหญิงราวสิบคนที่โต๊ะอาหารแล้วจึงหันมามองหน้าดมิสาตรงๆ แต่เธอหลบตาเขา ก้มลงมองเด็กหญิงในอ้อมแขน เขาเดาว่าเป็นเด็กผู้หญิงเพราะทารกน้อยสวมชุดสีชมพู

เด็กน้อยมองจิณไตยตาแป๋ว ก่อนร้องอ้อแอ้ ยิ้มหวาน หัวเราะเอิ๊กอ๊ากและยื่นมือหาพยายามเหนี่ยวรั้งเหมือนอยากให้เขาอุ้ม

“เหมือนน้องกิ๊งจะชอบคุณนะคะ” ดมิสาเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา “ลองอุ้มดูไหมคะ”

จิณไตยยื่นแขนออกไปเงอะงะ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยอุ้มเด็ก เขามีน้องสาวที่อายุห่างกันถึงสิบเจ็ดปี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพี่เลี้ยงที่คอยดูแลอุ้มชู เพราะช่วงนั้นธุรกิจของบิดามารดากำลังไปได้สวย พวกท่านจึงทำงานอย่างหนัก ตัวเขาเองก็เรียนมัธยมฯ ปลายแล้ว ใกล้เข้ามหาวิทยาลัยก็เรียนหนักเช่นกัน แต่หลังกลับจากเรียนพิเศษ เขาก็แวะเล่นกับตารกาเสมอ

แต่นับแต่ตารกาถือกำเนิด นี่ก็ผ่านมาสิบแปดปีแล้ว นอกจากน้องสาวแล้วเขาไม่เคยได้อุ้มเด็กที่ไหนอีกเลย

ชายหนุ่มค่อยๆ ประคองร่างเล็กบอบบางราวแก้วเจียระไนมาแนบไว้กับอก กระทั่งดมิสาปล่อยมือไปแล้ว เด็กหญิงไร้เดียงสาจึงยื่นมือออกมาจับคางเขา พยายามดึงหนวดเคราที่ถูกเล็มสั้น แต่ก็ไม่เป็นผล เด็กหญิงกิ๊งเริ่มเบะปาก แล้วจากนั้นก็ร้องไห้จ้า

“อ้าว” เขาหัวเราะเบาๆ “ผมทำน้องร้องไห้แล้วครับ ทำไงดี”

ดมิสาหยิบลูกบอลยางเขย่ามีเสียงดังกรุ๊งกริ๊งตรงหน้า หลอกล่อจนเด็กน้อยคล้อยตาม รับบอลไปเขย่าเองแล้วเอาเข้าปากกัด ตอนนั้นเองที่ดมิสาทำจมูกฟุดฟิด ก้มลงมาดมใกล้อกชายหนุ่มจนจิณไตยแอบกลั้นหายใจ แล้วเธอก็เงยหน้ามองเขา ยิ้มแหย

“มิ้งค์ว่าคุณต้องล้างตัวเปลี่ยนเสื้อแล้วละค่ะ”

จิณไตยไม่เข้าใจคำพูดของเธอในหนแรก แต่เมื่อกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยมาจากในผ้าอ้อม ชายหนุ่มก็ยิ้มตามเธอ และยินยอมนำตัวเด็กหญิงเข้าห้องพักเพื่อให้ดมิสาช่วยเช็ดล้างเปลี่ยนผ้าอ้อมใหม่ ส่วนตัวเขาต้องเข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกาย และดูเหมือนเขาจะไม่มีเสื้อใส่กลับบ้านแล้วด้วย เพราะบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ไม่มีผู้ชายอายุเท่าเขาให้ยืมเสื้อได้เลย

เสียงน้ำดังซู่ออกมาจากในห้องน้ำ ในขณะที่ดมิสาทำความสะอาดเปลี่ยนผ้าอ้อมให้น้องกิ๊งเรียบร้อยก็ชงนมให้กิน และนั่งจับขวดนมอยู่ ตอนที่สุวรรณตามเข้ามา

‘พี่มิ้งค์ๆ’ เด็กชายเรียกให้หันไปดู เมื่อดมิสาหันตาม จึงเห็นสุวรรณเอาเค้กมาตกแต่งตัวเป็นเสื้อผ้า

‘ทำแบบนี้ได้ด้วยแหละ นี่ๆ สุวรรณจะกินเมื่อไหร่ก็ได้’

ว่าแล้วสุวรรณก็หยิบเค้กทิพย์ชิ้นเล็กมากัดอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่ดมิสากลั้นขำ

หญิงสาวนำเค้กทั้งหมดมามอบให้บ้านเด็กกำพร้า เป็นการทำทานอย่างหนึ่งซึ่งสามารถอุทิศบุญกุศลต่อสรรพสัตว์ได้ แม้ดมิสาจะซื้อของกินไปฝากบุญเลิศเป็นบางครั้ง แต่นั่นเพราะเธอเคยทำด้วยความไม่รู้ทำให้บุญเลิศติดใจในรสอาหารยากจะแก้ไขเสียแล้ว ส่วนสุวรรณ ดมิสาเลือกที่จะทำบุญอุทิศให้เขา เธออธิษฐานส่งผลบุญไปทั่วสากลโลกและเน้นชื่อบรรพบุรุษ สุวรรณ และบุญเลิศที่รออยู่บ้าน เด็กชายผู้รออนุโมทนาบุญอยู่แล้วจึงได้รับผลบุญเต็มกำลัง ซึ่งเขาจะนำไปทำอะไรก็ได้ แต่ด้วยความเป็นเด็ก สุวรรณก็นำ มาใช้เสกเค้กให้ตัวเองอิ่มหนำสำราญใจ

แน่นอนว่า เค้กทิพย์ ย่อมมีรสชาติเอร็ดอร่อยกว่า เค้กหยาบ เป็นไหนๆ ดังที่ดมิสาบอกเขาจริงๆ

“คุณมิ้งค์ครับ”

ดมิสาหันมองไปทางห้องน้ำ เห็นจิณไตยโผล่ศีรษะออกมาจากทางประตูบานเล็ก เมื่ออยู่ในพื้นที่แคบถนัดตา หลังคาต่ำแบบนี้ เขาก็ต้องย่อตัวลงเพื่อไม่ให้ศีรษะชนขอบประตูด้านบน จนดมิสาอดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายตัวโตแบบเขา เมื่ออยู่ที่นี่ก็ราวกับยักษ์ในเทพนิยาย

“มีผ้าขนหนูอีกผืนไหมครับ พอดีราวมันร่วง ผ้าเปียกหมดเลย”

“รอแป๊บนึงนะคะ”

เธอพูดเสียงแผ่วราวกระซิบเพราะกิ๊งทำตาปรือหวิดจะหลับ ดมิสาเคยใช้ห้องน้ำที่นี่ เห็นราวติดกระจกแล้วก็คิดเหมือนกันว่าไม่แข็งแรงเอาเสียเลย จึงไม่แปลกใจในสิ่งที่ชายหนุ่มบอก ดมิสารอจนเด็กหญิงพริ้มหลับแล้วก็วางขวดนมไว้ในตะกร้า แล้วเดินไปเปิดตู้หยิบผ้าขนหนูอีกผืนไปเคาะประตูห้องที่ปิดสนิทแล้ว

“คุณจิณคะ”

มีเสียงกุกกักเพียงครู่ จิณไตยก็เปิดประตูออกมา เขาใช้ผ้าขนหนูเปียกพันกายท่อนล่าง ส่วนท่อนบนเปลือยเปล่าและมีละอองน้ำเกาะพราว ดมิสาแก้มแดง ก้มหน้าก้มตาส่งผ้าขนหนูผืนใหม่ให้เขา แต่จิณไตยกลับมองไปอีกทาง เขาพยายามเปิดปิดฝักบัวที่ไม่มีน้ำไหลออกมาแล้ว

“มันปิดฝั่งไหนครับ จู่ๆ น้ำก็หยุดไป”

ชายหนุ่มถามโดยไม่มองมา ดูเหมือนเขาจะลืมตัวว่าตัวเองเกือบจะเปลือยและเธอก็เป็นผู้หญิง ดมิสาจึงอายน้อยลงเพราะขำเขาเสียมากกว่า หญิงสาวพยายามเบียดตัวเองเข้ามาในห้องน้ำ และดันประตูปิดไปอีกทางเพื่อให้อยู่ในห้องน้ำแคบๆ กันสองคนได้

“เดี๋ยวมิ้งค์ปิดให้ค่ะ”

ยื่นมือออกไปยังไม่ทันถึงก๊อก น้ำประปาก็กลับมาใช้งานได้พอดี สายน้ำพุ่งออกมาราวกับเดินเข้าไปใต้น้ำตก ดมิสาอุทานด้วยความตกใจ ในขณะที่จิณไตยดึงตัวเธอเข้ามาในอ้อมแขนตามสัญชาตญาณ เขาใช้แผ่นหลังของตนเองบังทางน้ำไว้ และโอบกอดเธอเต็มมือเต็มไม้แบบที่ทำให้ดมิสายืนตัวแข็งทื่อราวรูปสลัก

“คะ คุณจิณ”

เธอบอกตะกุกตะกักชิดอกเขา และที่น่าตระหนกกว่านั้นคือ จิณไตยลืมไปหรืออย่างไรว่าเขาเปลือยท่อนบน!

ดมิสาเคยเห็นเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ผู้ชายมาก่อนตอนที่เรียนแพทย์ แต่เธอไม่เคยถูกชายเปลือยคนไหนกอดแบบนี้เลย โดยเฉพาะชายที่มีมัดกล้ามขนาดกำลังพอเหมาะ และมีกระแสของความต้องการปกป้องอย่างเต็มกำลังแบบนี้

ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดอยู่บนเรือนผม หากไม่ได้คิดไปเอง ดมิสารู้สึกว่ามันถี่กระชั้นขึ้นตามเวลาที่ล่วงเลยไปนานหลายวินาที มือเขาจับที่ต้นแขนเธอไว้มั่น ก่อนคลายออก และก่อนที่มือนั้นจะเลื่อนลูบลงมาถึงหัวไหล่ หญิงสาวก็หลับหูหลับตาดันตัวเขาออกไป

“ปล่อยมิ้งค์ค่ะ”

จิณไตยยอมปล่อยมือ ชายหนุ่มเก้กังทำอะไรไม่ถูก กระทั่งเธอเอื้อมมือผ่านเขาไปปิดก๊อกน้ำ และน่าโมโหที่เพราะตัวเขาบังทางน้ำไว้ ผ้าขนหนูผืนใหม่ในมือเธอไม่เปียกเท่าไร ส่วนเสื้อผ้าเธอเปียกเป็นส่วนน้อยเท่านั้น จะว่าเขาลวนลามเธอก็ไม่ได้ เพราะเขาดูตกใจและพยายามป้องกันให้จริงๆ

“คุณมิ้งค์ ผม...”

“ไม่เป็นไรค่ะไม่เป็นไร” เธอยิ้มราวกับไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น

“มิ้งค์เป็นหมอ มิ้งค์เห็นมาเยอะค่ะ ถึงเป็นหมอเด็กแต่ก็ต้องเรียนกายวิภาคเหมือนกัน คุณไม่ต้องคิดมาก มิ้งค์เข้าใจว่าคุณไม่ได้ตั้งใจจะลวนลามมิ้งค์ นี่ค่ะ ผ้าขนหนูของคุณ”

เมื่อชายหนุ่มรับผ้าผืนใหม่ไว้ ดมิสาก็ออกมาจากห้องน้ำและดึงประตูปิดให้ เมื่อพ้นจากสายตาเขาแล้ว หญิงสาวก็ยกมือปิดหน้า ยินยอมให้เลือดฝาดซับสีระเรื่อที่แก้ม เธออยากจะกรี๊ดระบายความอายนัก แต่กลัวเขาได้ยินเลยทำได้เพียงเดินออกจากห้องไปบอกครูว่ากิ๊งหลับแล้วในโรงนอน และฝากบอกจิณไตยให้รอเธออยู่ที่นี่เท่านั้น เดี๋ยวเธอกลับมาหาเขาเอง

----------

ตอนที่ดมิสาย้อนกลับมาที่บ้านเด็กกำพร้านั้นเป็นเวลาค่ำแล้ว หญิงสาวจอดรถไว้ข้างรถของจิณไตย เธอเห็นแล้วว่าเขาออกมานั่งรอที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าบ้าน ชายหนุ่มใส่กางเกงขายาวตัวเดิม ไม่ได้สวมเสื้อ เขากำลังนั่งกดโทรศัพท์อยู่ สลับกับตบยุงเป็นระยะ

“คุณจิณ” ดมิสาถือถุงใส่เสื้อตัวใหม่เดินไปหาเขา “มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ ยุงเยอะจะตาย เดี๋ยวก็เป็นไข้เลือดออกหรอก” บ่นพลางหยิบเสื้อออกมาจากถุงส่งให้ เธอกะขนาดตัวเขาได้พอดีจนจิณไตยแปลกใจ แต่ที่เขาขำคือเธอบ่นเขาปอดแปดเหมือนว่าเขาเป็นเด็กชายจิณไตยอย่างไรอย่างนั้น

“ครูแก้วพาเด็กๆ นอนแล้ว ผมเลยไม่อยากรบกวนให้รอปิดประตูน่ะครับ”

ดมิสาฟังแล้วก็เข้าใจ ตอนนี้เป็นเวลากว่าสองทุ่มแล้ว กว่าเธอจะผจญรถติดไปถึงห้างสรรพสินค้าแล้วซื้อเสื้อมาให้เขาใส่กลับบ้านได้ก็กินเวลากว่าสองชั่วโมง บ้านนี้มักพาเด็กเข้านอนเวลานี้เสมอ แต่แหม! มานั่งถอดเสื้อให้ยุงกัดก็น่าตีนักเชียว

“ดูสิคะ ตุ่มคันขึ้นแล้ว” เธอดึงแขนแข็งแรงมาวางไว้บนโต๊ะหินอ่อน “เดี๋ยวมิ้งค์ทายาให้นะคะ”

จิณไตยไม่แปลกใจที่ดมิสาพกยาทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยไว้กับตัว แต่ที่แปลกใจคือในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ของเธอมีกล่องยาเล็กๆ ใส่ไว้ มีทั้งยาทา แอลกอฮอล์ ยาใส่แผล สำลี ชายหนุ่มชักอยากรู้ว่าคุณหมอคนอื่นพกของพวกนี้แบบเธอไหม แต่เขาก็ตอบตัวเองได้ทันทีว่าน่าจะไม่

เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนใครจริงๆ

ดมิสาเงยหน้ามองเขาเมื่อชายหนุ่มเงียบไป เมื่อเห็นจิณไตยกำลังมองเธอพร้อมยิ้ม หญิงสาวจึงรู้ตัวว่าเพิ่งทำตัวสนิทสนมกับเขา เกินเหตุ เธอเก็บยาใส่กล่องและเก็บกล่องใส่กระเป๋า พยายามไม่นึกภาพอกหนาเปลือยเปล่าที่เบียดแนบกับกายเธอเมื่อสองชั่วโมงก่อน แต่ก็ยากเต็มทน

“เดี๋ยวเราไปหาที่นั่งคุยกันดีไหมครับ” จิณไตยชวน “ที่ๆ ยุงน้อยกว่านี้หน่อย”

“ได้ค่ะ” ดมิสาตอบตกลงทั้งที่ไม่รู้ว่าเขาจะคุยอะไรกับเธอ แต่เธอก็อยากรู้เต็มแก่แล้วเหมือนกัน หญิงสาวทิ้งรถจอดไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าเพราะจิณไตยชวนให้ไปด้วยกันและอาสาจะไปส่งเธอที่บ้าน แล้วพรุ่งนี้เขาจะไปรับเธอมาเอารถไปทำงาน

ดมิสาไม่ควรไว้ใจผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันแบบเขา แต่เธอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจึงยินยอมเข้ามานั่งที่เบาะนั่งโดยสารภายในรถเขาแต่โดยดี และออกเดินทางไปกับเขาโดยที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจุดหมายปลายทางคือที่ใด...

 

 

** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com