ดมิสาเดินขึ้นบันไดบ้านเสน่ห์จันทน์ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์นำทาง เธอเดินเหมือนตัวลอย เหมือนไม่ค่อยรู้สึกตัวเท่าไร
แต่ก็ไม่ได้รู้ตัวว่ากำลังหลับฝัน...
หญิงสาวเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน เธอพบบุญเลิศที่นั่นเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือวิญญาณเด็กชายอายุราวแปดขวบสวมโจงกระเบนสีทอง ไม่สวมเสื้อ ศีรษะทุยได้รูปโดยรอบไม่มีผม ยกเว้นตรงกลางกระหม่อมที่ทำจุกผมไว้ภายในรัดเกล้าสีทอง เขาเป็นเด็กชายหน้าตาดี มีออร่าวิญญาณสีขาว ซึ่งดมิสาได้เรียนรู้ว่าออร่าสีนี้สามารถเชื่อใจได้มากกว่าสีดำหรือเทาเข้ม
“หนูเป็นใครจ๊ะ” เธอถาม ก่อนเดินไปใกล้
กุมารนั้นนั่งอยู่บนเตียงโดยมีบุญเลิศนอนตัก ดมิสาไม่ทันสังเกตว่าเมื่อบุญเลิศลุกกระโดดลงจากเตียงวิ่งมาหา เธอสามารถก้มลงลูบหัวมันได้เหมือนตอนก่อนที่มันจะตายกลายเป็นวิญญาณ ดมิสาเดินนำบุญเลิศมาถึงที่ตั้งของเตียง ก่อนนั่งลงข้างเด็กชายผู้มาเยือน
หญิงสาวมองสบตาเด็กชายที่เงยหน้ามองเธอเช่นกัน ความผูกพันลึกล้ำก่อตัวอย่างประหลาด แม้ไม่รู้จัก ก็เหมือนรู้จัก แม้ไม่เคยพานพบ กลับเหมือนคุ้นเคยกันมานาน
นานแสนนาน...
‘สุวรรณชื่อสุวรรณ’ เขาเปิดปากพูดด้วยเสียงไพเราะ ‘สุวรรณอยู่ในสร้อยเส้นนั้นคับ’
ดมิสามองตามที่เขาชี้ เห็นจี้เครื่องรางที่เจิมจันทร์ให้มาก็ไม่แปลกใจที่จะมีวิญญาณสิงสู่ นับตั้งแต่มองเห็นสิ่งลี้ลับในโลกอีกใบ ในแต่ละสิ่งของบางครั้งมี ‘เจ้าของเก่า’ ติดมา และบางสิ่งมีเจ้าของเก่ามากมายจนน่างุนงงว่าอัดกันเข้าไปอาศัยอยู่ได้อย่างไรกับของชิ้นเล็กนิดเดียวอย่างเช่นเพชรเจียระไนเก่าแก่ที่ตั้งแสดงในงานประมูลเพชรที่นิวยอร์ก ดมิสาเห็นว่ามีวิญญาณรักษาอัญมณีนับไม่ถ้วนคอยดูแลเพชรเม็ดนั้น
เมื่อนำเรื่องนี้มาถามพระดิน หลวงลุงก็ยิ้มและตอบว่า
‘ครั้งหนึ่ง...หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ท่านก็เคยตอบคำถามนี้ เกี่ยวกับเทวดาจำนวนมากที่มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน ท่านกล่าวว่า เทวดาจะมาชุมนุมกันจำนวนกี่ล้านโกฏิก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะในเนื้อที่หนึ่งปรมาณู เทวดาอยู่ได้ถึงแปดองค์’
‘หนึ่งปรมาณู...คือยังไงคะหลวงลุง’
‘อย่างนี้นะโยมมิ้งค์’ ท่านผายมือออก และมีกระรอกป่าตัวหนึ่งในวัดกระโดดขึ้นบนมืออุ่นศีลของท่านเจ้าอาวาส ‘ร่างกายของคนและสัตว์ มีรูปขึ้นมาได้นั้นเกิดจากสมุฏฐาน ๔ คือเกิดรูปจากกรรม จิต อุตุ อาหาร การเกิดรูปเนี่ยจะเกิดเป็นกลุ่ม เป็นหมวด เป็นมัด อย่างมัดกล้ามเนื้อนั่นอย่างไร’
ดมิสาร้องอ๋อพลางพยักหน้ารับ
‘มัดที่เล็กที่สุด ละเอียดที่สุดเรียกว่ารูปกลาป ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาหยาบ พระอาจารย์ท่านหนึ่งเคยเทียบรูปกลาปกับส่วนศีรษะของเหาแบบนี้
๑ ศีรษะเหา เท่ากับ ๗ ลิกขาณู
๑ ลิกขาณู เท่ากับ ๒๖ รถาเรณู
๑ รถาเรณู เท่ากับ ๓๖ ตัชชารี
๑ ตัชชารี เท่ากับ ๓๖ อณู
๑ อณู เท่ากับ ๓๖ ปรมาณู
และ ๑ ปรมาณู เท่ากับ ๑ กลาป’
ท่านยิ้มเมื่อเห็นดมิสาอ้าปากน้อยๆ อย่างประหลาดใจ
‘หนึ่งปรมาณูหรือหนึ่งกลาปนี่แหละที่เทวดาสามารถอยู่กันได้ถึงแปดองค์ ศีรษะเหาโยมมองว่าเล็กแล้ว หนึ่งปรมาณูนั้นเล็กกว่าหลายล้านเท่า อธิบายแบบนี้โยมเข้าใจไหม’
ดมิสาหัวเราะ
‘เข้าใจแจ่มแจ้งเลยค่ะหลวงลุง’
ดังนั้นแล้วหากจะมีวิญญาณสิงสถิตในจี้เครื่องรางจึงไม่น่าแปลกใจ ดมิสาค้นพบว่าวิญญาณส่วนใหญ่มักสถิตในสิ่งที่ตนรัก ผูกพัน หวงแหน หรือไม่ก็ชอบพอ พึงใจ หญิงสาวยังเคยแปลกใจที่ไม่มีวิญญาณสถิตในจี้อันเก่าที่เจิมจันทร์มอบไว้ให้ เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกหินสี อัญมณีที่มีพลัง มักมีวิญญาณสถิตอยู่ทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่วิญญาณในหินจะรักสงบสมกับอยู่ในสิ่งที่เยือกเย็น จึงไม่ค่อยออกมาวุ่นวายภายนอก
“สุวรรณอยู่มานานหรือยังจ๊ะ” หญิงสาวถามไถ่ “ทำไมเพิ่งออกมาให้พี่เห็นล่ะ”
‘นานคับ’ เด็กชายตอบ ‘สุวรรณไม่กล้าออกมาคับ สุวรรณกลัวคุณทะ...เอ่อ กลัวคุณยายที่อยู่ห้องทางโน้น’ เขาชี้มือไปยังทิศที่ตั้งห้องนอนของเจิมจันทร์ ดมิสาจึงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เจิมจันทร์ดูเป็นหญิงชราที่ดุดันลึกลับ เป็นคนนำหินสีนี้มาให้เธอด้วย สุวรรณคงรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างละเอียดอ่อนกว่าที่มนุษย์แบบเธอรับรู้สัมผัส
‘พี่มิ้งค์ อย่าบอกคุณยายคนนั้นนะคับว่าเห็นสุวรรณ’
ดมิสายิ้มรับ ถึงสุวรรณไม่ขอ เธอก็ไม่มีทางพูดเรื่องนี้กับเจิมจันทร์อยู่แล้ว
“จ้ะ เป็นความลับของเรานะ”
สุวรรณยิ้มแต้ตอบ ก่อนลงจากเตียงไปอุ้มบุญเลิศขึ้นมาบนเตียงด้วยกัน เขาตบหมอนเชื้อเชิญให้หญิงสาวนอนลง ก่อนทิ้งตัวนอนลงข้างกายดมิสาคนละฝั่งกับบุญเลิศ ดมิสารู้สึกครึ่งตื่น ครึ่งหลับ ตกอยู่ในภวังค์ราวกับจิตจะลอยออกจากร่าง สลับกับลอยกลับเข้าร่าง แล้วทุกอย่างก็มืดสนิท...กระทั่งเสียงนกร้องและแสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาภายในห้อง
ดมิสาลืมตาตื่น รับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความฝัน
แต่เด็กชายร่างโปร่งใสที่นอนอ้าแขนอ้าขาหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงนอนของเธออย่างที่ดมิสาไม่ค่อยได้เห็นวิญญาณนอนหลับสนิทแบบนี้เท่าไร ก็ราวกับจะตอกย้ำว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนั้น เด็กชายใช้พลังอย่างมากในการเข้าฝันเธอเพื่อบอกเรื่องราวของตัวเอง
หญิงสาวลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เด็กชายบนเตียงก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่น จนเจ้าหมาบุญเลิศกระโดดขึ้นเตียงไปเลียหน้าเลียตา สุวรรณจึงลืมตางัวเงีย ก่อนหัวเราะคิกแล้วกอดคอสุนัขขนปุยฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงนอนอย่างสนุกสนาน
ดมิสามองแล้วยิ้ม...
เธอไม่ได้ยินเสียงหัวเราะที่บ้านนี้มานานแค่ไหนแล้วหนอ...
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **