ทดลองอ่าน ซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ : เลื่อมลายพรายจันทร์ : ตอนที่ 11

 

 

ตอนที่ 11

 

 

ดมิสานั่งรออยู่ครู่หนึ่ง เจ้าซูกัสก็วิ่งมาหาและยกสองขาหน้าวางบนตัก ทำเอาเจ้าของร้านอุทานด้วยความประหลาดใจเพราะไม่เคยเห็นซูกัสออดอ้อนลูกค้าคนไหนขนาดนี้ ภาวินีเดินกลับมาหาดมิสาอีกครั้ง ก่อนเอ่ยแนะนำ

“ลองจับเล่นดูไหมคะ เดี๋ยวพี่พาไปล้างมือค่ะ อ้อ พี่ชื่อพี่ภานะคะ มีอะไรเรียกพี่ได้ค่ะ”

หญิงสาวพยักหน้ายอมไปล้างมือเพื่อกลับมาเล่นกับซูกัส ภาวินีเริ่มสอนตั้งแต่วิธีการอุ้ม การประคองหลัง และที่สำคัญต้องประคองก้นไว้ด้วยไม่ให้กระต่ายดีด ขนของซูกัสนุ่มเสียยิ่งกว่านุ่ม นุ่มกว่าสิ่งมีชีวิตใดที่ดมิสาเคยได้สัมผัส หญิงสาวกอดกระต่ายน้อยไว้ โดยไม่รู้เลยว่าภายในร่างเธอ มีกุมารน้อยสุวรรณสวมเข้าไปสิง แบบที่ไม่ทำลายสติมนุษย์ เมื่อดมิสาโอบกอดเจ้าขนฟู เขาก็ได้รับรู้ความรู้สึกนั้นด้วย

‘อุ่น นุ่ม น่าพากลับบ้าน’

เป็นความคิดของสุวรรณ แต่ส่งผ่านเข้าไปในมโนสำนึกของผู้ถูกสิงจนดมิสาคิดว่าเป็นความคิดของตัวเอง แต่หญิงสาวก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไปโดยเร็ว เพราะเจ้าซูกัสเป็นกระต่ายสุดรักของภาวินี หล่อนไม่ขายแน่ ส่วนกระต่ายตัวอื่นในร้านแม้มีบางตัวที่ภาวินีติดป้ายขาย แต่ดมิสาก็พากลับไปไม่ได้อยู่ดี เพราะถ้าทำอย่างนั้นบุญเลิศคงน้อยใจ

สุวรรณได้ยินเสียงในจิตของดมิสา จึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขากำลังสิงสู่และดลใจเธอโดยไม่รู้ตัว กุมารน้อยพุ่งตัวออกมาจากร่างของหญิงสาวทันที แม้ว่าเขาจะพรางกายไม่ให้ผู้มีตาละเอียดแบบดมิสาเห็นแล้ว แต่เจ้าซูกัสที่เป็นสัตว์มีสัมผัสรับรู้มากกว่ามนุษย์ก็ตระหนกตกใจที่จู่ๆ เห็นแสงวูบวาบกระโจนออกจากร่างของหญิงสาว มันสะบัดขาหลังถีบดมิสาเข้าเต็มแรงจนหญิงสาวอุทานเสียงหลง ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะกลัวว่าซูกัสจะตกกระแทกโต๊ะไม้เบื้องหน้า!

อ้อมแขนหนึ่งโอบมาจากทางด้านหลัง รับตัวซูกัสไว้ได้ทัน ก่อนรั้งตัวกระต่ายน้อยกลับมาสู่อ้อมอกหญิงสาวที่กอดมันไว้เนื้อตัวสั่น เธอยืนอยู่เสียด้วย เมื่อครู่นี้หากซูกัสตกลงไปคงเจ็บแน่ เพราะเธอสูงตั้งหนึ่งร้อยหกสิบสี่เซนติเมตร

แต่ชายที่ช่วยเหลือดูเหมือนจะสูงกว่าเธอมาก เพราะศีรษะของหญิงสาวชนอกเขา รู้สึกถึงปลายคางที่บนกลางกระหม่อม และเสียงกระซิบบอกที่ทุ้มอบอุ่นสมเป็นบุรุษเพศ

“โอเค มันไม่ตกแล้ว ค่อยๆ วางนะครับ”

เขาละมือจากซูกัสและถอยหลังออกมา ดมิสาจึงค่อยๆ วางกระต่ายน้อยบนฟูกสีเขียว มันกระโดดออกจากฟูกทันที และวิ่งเข้าไปในโซนกระต่าย กระโดดขึ้นไปบนฟางแห้งแล้วมุดเข้ากรงตัวเองไปหลบอยู่ในบ้านไม้เล็กๆ ประจำตัวเพื่อหลบภัย

“ขอบคุณนะคะ” ดมิสาหันไปบอก ก่อนจะอุทานทัก “อ้าว คุณจิณ”

หญิงสาวประนมมือทันที กำลังจะไหว้สวัสดีเขาอยู่แล้วแต่จิณไตยก็ยกมือห้าม

“บอกแล้วไงครับอย่าไหว้ผม ผมเชื่อนะว่าคุณมิ้งค์ศีลครบกว่าผมแน่ๆ ต่อให้เป็นศีลห้าข้อก็เถอะ”

ดมิสาลดมือลงเก้อๆ ก่อนยกมือขึ้นทัดหูเก้กังอย่างทำอะไรไม่ถูก โชคดีที่ตอนนี้มีลูกค้าอยู่แค่สองโต๊ะ และทั้งสองโต๊ะก็พากันเข้าไปในโซนกระต่ายที่มีกำแพงไม้บัง ส่วนภาวินีกับหุ้นส่วนร้านนั้นเดินหายไปหลังร้านแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงเก้อเขินกว่านี้

ไออุ่นจากร่างกายเขาที่ซ้อนทับมาข้างหลังเมื่อครู่ยังร้อนวูบวาบ ส่งผลให้ดมิสาแก้มแดงอย่างประหลาด ทั้งที่ตอนเจอกันครั้งแรกในวัด เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลย

“เอ่อ พี่จีไม่สบายค่ะ ฝากบอกคุณด้วยว่ามาไม่ได้แล้ว นี่พี่จีไล่บอกคนอื่นหมดแล้วค่ะ เหลือคุณคนเดียวที่พี่จีบอกว่าติดต่อไม่ได้”

“อ้าว แล้วจีเป็นอะไรมากไหมครับ” เขาแสร้งถามอย่างห่วงใย ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าอรจีราไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยแต่อย่างใด เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่เขาที่รู้ ภาวินีเจ้าของร้านก็รู้แผนการทุกอย่างด้วย เขาจองโต๊ะไว้ในชื่ออรจีราเอง ให้อรจีราเล่าแผนการให้ภาวินีฟังเพื่อที่เจ้าของร้านจะไม่ตำหนิที่จองแล้วยกเลิกแล้วเดี๋ยวเขาจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่ต้องเสียเอง

“พอดีโทรศัพท์ผมแบตหมดเสียด้วย”

เขาอ้างอย่างแนบเนียนตามที่อรจีราบอกกับดมิสาว่าติดต่อเขาไม่ได้ นี่เขาปิดเครื่องด้วยนะ เขาถึงบอกเธอไงว่าศีลเธอครบกว่า เพราะทุกวันนี้เขายังวางแผนให้อรจีรามุสาเธออยู่เลย

“ท้องเสียค่ะ ฝากลางานกับคุณพรุ่งนี้ด้วยนะคะ”

“อ้อ...” เขาพยักหน้ารับรู้ “ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่เราสองคนแล้วสิครับ สั่งอะไรมากินกันหน่อยดีไหม ไหนๆ ก็อยู่ที่นี่แล้ว คุณยังไม่ได้กินอะไรมาใช่ไหมครับ”

ดมิสาจะปฏิเสธ แต่กระเพาะเจ้ากรรมร้องครวญครางขึ้นมาเสียก่อน หญิงสาวเลยยิ้มแหย ยอมนั่งลงบนฟูกตรงข้ามกับเขาที่โต๊ะตัวใหม่ซึ่งเล็กลงกว่าเดิม เมื่อภาวินีออกมาจากหลังร้านก็ไม่ได้ซีเรียสกับการแคนเซิลโต๊ะตัวใหญ่ หญิงสาวยังยิ้มแย้มเสิร์ฟอาหารแสนอร่อยให้สองหนุ่มสาว โดยมีเจ้าขนฟูจากโซนกระต่ายกระโดดออกมาใกล้ลูกค้าที่โต๊ะบ้างเป็นระยะ เพราะว่าเป็นเวลาพลบค่ำ เป็นช่วงที่บรรดากระต่ายกำลังคึกคักกันเต็มที่

จิณไตยชวนดมิสาคุยโน่นนี่อย่างสนิทสนมและไม่ถือตัว ทั้งที่เขาอายุมากกว่าเธอหลายปีก็ตาม เขาตักอาหารให้ ดูแลเอาใจราวกับสนิทสนมกัน...ทั้งที่ไม่ใช่...แต่แทนที่ดมิสาจะรู้สึกอึดอัดรำคาญ เธอกลับสนิทใจกับเขาราวกับคุ้นเคยกันมานานแสนนาน เธอพูดคุยโต้ตอบและหัวเราะได้อย่างเป็นธรรมชาติ เสียจนรู้สึกว่าตัวเองหัวเราะมากเกินไปจนเกินงามแล้ว

“คุณจิณนี่” หญิงสาวทัก “สนิทกับพี่จีมากเลยเหรอคะ งานวันเกิดนี่พี่จีจัดร้านเล็กๆ ดูส่วนตัวมากด้วย มิ้งค์คิดว่าจะเชิญมาแค่เพื่อนที่สนิทกันมากๆ จริงๆ แต่คุณจิณเป็นเจ้านายไม่ใช่เหรอคะ”

“ก็สนิทกันนะครับ” เรื่องนี้เขาไม่ได้โกหก อรจีราทำงานกับเขามานาน เกือบสิบปีได้ หญิงสาวรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเขา ไม่เว้นแม้แต่ภรรยาแต่ละคนของเขาฝากครรภ์ที่ไหน นัดพบหมอเมื่อไร เลขาสาวจัดแจงให้ชีวิตเขาง่ายดายได้ทุกอย่าง

คิดแล้วใบหน้าคมคายก็หมองเศร้าลง ชายหนุ่มทอดสายตามองหญิงสาวตรงหน้าที่ก้มลงตักเค้ก เขาเพลินกับการชวนเธอคุยตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เพลินเสียจนลืมไปเลยว่าต้องการสืบเรื่องของนุชชารีย์ผู้เป็นภรรยา นี่ก็ผ่านมาหนึ่งคืนวันพระแล้วที่นุชชารีย์หายไปเลย ไม่มาเข้าฝันเขาอีก ซึ่งจิณไตยเองก็ไม่แน่ใจว่าเพราะความฝันครั้งสุดท้ายนั้นนุชชารีย์ถูกพันธนาการไว้แน่นหนาขึ้นจนมาอีกไม่ได้ หรือเพราะที่ผ่านมาเขาฝันเลอะเทอะไปจริงๆ

“คุณมิ้งค์...” เขาเรียกอย่างลังเล แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ชายหนุ่มก็รีบถามก่อนที่ตัวเขาเองจะเปลี่ยนใจ “คุณรู้จักนุช...ภรรยาของผมไหมครับ”

“คะ?” ดมิสางุนงง

“รู้จักแบบไหนคะ ถ้าแบบรู้จักพี่จี ไม่ค่ะ แต่ถ้ารู้จักกันตอนเจอคุณนุชกับคุณที่โรง’บาล แล้วพี่จีแนะนำ นั่นก็ไม่รู้ว่าเรียกรู้จักได้หรือเปล่าเพราะวันนั้นมิ้งค์ง่วงมากเลย หลังจากแยกกันแล้วก็ลืมคุณกับคุณนุชไปเลยค่ะ”

จิณไตยเชื่อที่เธอพูด เพราะดวงตาของดมิสา ไม่โกหก แต่หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดนุชชารีย์จึงพยายามชี้ไปยังคลินิกของดมิสาเล่า เกิดอะไรขึ้นกับภรรยาเขากันแน่

“ทำไมคุณจิณถึงคิดว่ามิ้งค์จะรู้จักคุณนุชล่ะคะ”

“อ้อ” เรื่องนี้จิณไตยเตรียมทางออกไว้แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด...

“พอดีก่อนที่นุชจะเสีย นุชเคยบอกว่าอยากไปฝากท้องที่คลินิกของคุณน่ะครับ ที่ว่ามีต้นประดู่เยอะๆ แต่ตอนนั้นผมไม่เห็นด้วยเพราะไกลบ้าน อยากให้ฝากกับโรงพยาบาลเลยดีกว่า ก็เลยพากันไปจตุรพิธพร ฝากกับคุณหมอเถลิงเกียรติ”

“อ๋อ กั้ง” เธอยิ้มหวาน “เพื่อนสนิทของมิ้งค์เองค่ะ”

เวลาดมิสายิ้ม เหมือนเธอมีแรงดึงดูดมหาศาลที่ทำให้เขามึนเมา งงงัน จิณไตยรีบเสมองไปอีกทาง อุ้มกระต่ายข้างกายขึ้นมาแก้เขินโดยไม่รู้เลยว่า ภาพผู้ชายตัวโตกับกระต่ายตัวเล็กไซซ์มินิพันธุ์เนเธอร์แลนด์ ดวอร์ฟนั้นทำให้ดมิสาแอบขบขันอยู่ในใจ และอดคิดไม่ได้ว่าเขาเป็นคนน่ารักจังเลย

“คุณอุ้มเก่งจัง เคยเลี้ยงเหรอคะ”

“น้องสาวเคยเลี้ยงน่ะครับ แต่หายไปแล้วละ พอดีวันนั้นผมเรียกจีไปเอาเอกสารที่บ้าน ตอนจีเข้ามา แม่บ้านคงลืมปิดประตูหน้า จีน่ะพอเห็นประตูเปิดอยู่ก็วิ่งไปดูรั้วกระต่าย แล้ววิ่งหน้าตาตื่นมาบอกผมว่าเจเจหายไปแล้ว น้องสาวผมร้องไห้ตาบวมอยู่หลายวันเลย”

“โถ” ดมิสาเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียสิ่งที่รักดี ตอนบุญเลิศตาย เธอเองก็แทบจะทำใจไม่ได้เหมือนกัน “นานหรือยังคะ น้องสาวคุณเป็นยังไงบ้างคะตอนนี้”

“สามปีแล้วครับ ตอนนี้ตา...น้องสาวผมน่ะครับก็ทำใจได้แล้วละ ผมยังว่าจะซื้อตัวใหม่ให้เหมือนกัน แต่คิดๆ ดูแล้วตาคงไม่อยากได้ ตาเขารักเจเจมาก คงไม่มีกระต่ายตัวไหนแทนที่เจเจได้อีกแล้ว”

ดมิสาพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้ตัวเธอเองจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ตาม เธอรักสุนัขมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่ได้บุญเลิศมาเธอดีใจแทบกระโดด เธอรักมัน ดูแลมันอย่างดี แต่เธอก็ไม่เคยคิดปิดโอกาสตัวเองที่จะมีสุนัขตัวอื่นเข้ามาในชีวิต สุนัขแต่ละตัวสำหรับเธอ ไม่มีใครแทนที่ใครได้ เธอจะรักพวกมันแบบที่มันเป็นตัวเอง

แต่เพราะตอนนี้บุญเลิศยังอยู่ อยู่แบบวิญญาณ วิญญาณที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไม่ได้เหมือนก่อน ดมิสาเลยไม่กล้าเอาสัตว์ตัวอื่นเข้าไปเลี้ยงในบ้าน เธอคิดแบบใจเขาใจเรา ถ้าเธอเป็นบุญเลิศเธอคงรู้สึกแย่ที่ไม่สามารถกอดเจ้านายได้ แต่สุนัขตัวใหม่ทำได้ และอีกอย่างเธอเลี้ยงอะไรไม่ได้อยู่แล้วละ เพราะเจิมจันทร์ผู้เป็นเจ้าของบ้านคงไม่ยอมแน่

“ลองอุ้มดูอีกทีไหม เดี๋ยวผมสอนเอง”

เพราะรับประทานอิ่มพอดีแล้ว และอยากกอดเจ้าตัวนิ่มอีกสักครั้ง ดมิสาจึงตอบตกลง สองหนุ่มสาวเดินเข้าไปในโซนกระต่าย มีเจ้าขนฟูมากมายกระโดดอยู่ภายในนั้น ตามกฎของร้านแล้วเธอไม่สามารถบังคับกระต่ายที่อยู่ในกรงมาอุ้มได้แม้ประตูกรงจะเปิดไว้ จึงต้องเลือกอุ้มเล่นแค่ตัวที่อยู่บนพื้น ซึ่งจิณไตยอุ้มขึ้นมาส่งให้

“ดูนี่สิครับ”

เขายื่นหญ้าอบแห้งหอมกรุ่นไปตรงปากของกระต่ายน้อยที่เธออุ้ม แล้วมันก็อ้าปากงับ เคี้ยวหญ้าทั้งเส้นเข้าไปหมดปากในเวลาไม่นาน ดมิสายิ้มก้มมอง แอบหอมตรงศีรษะกระต่ายน้อยอย่างเอ็นดู โดยที่ไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มกำลังจะทำแบบเดียวกัน

ปลายจมูกโด่งเป็นสันของเขาชนกันกับปลายจมูกเธอ

หญิงสาวสะดุ้ง ขณะที่เขารีบจับตัวเธอไว้ให้นิ่งก่อนกระต่ายจะตกใจ สองสายตาจึงสบประสานกัน เป็นดมิสาที่หลบตาวูบ แก้มแดง เนื้อตัวร้อนผ่าวราวกับจะจับไข้

ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของสุวรรณ...

และกุมารน้อยตัดสินใจว่าจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้คุณท่านฟัง เพราะเคยได้ยินเจิมจันทร์ก่นด่าญาตาวีเรื่องมากชู้หลายผัว สุวรรณไม่อยากให้ดมิสาต้องถูกด่าว่าแบบนั้น แถมผีร้ายบางตัวเคยพูดถึงตอนที่ดมิสาถูกจับมัดมือไว้กับเสาเพื่อเฆี่ยนตีลงโทษที่สมสู่กับชายที่ยังไม่ได้แต่งงานกันด้วย

สุวรรณไม่รู้หรอกว่าดมิสาทำจริงหรือเปล่า เพราะตลอดเวลาที่ติดตามเธอ ก็ไม่เคยเห็นว่าจะคบใครหรือมีท่าทีเขินอายชายคนไหนแบบนี้เลย

ผีร้ายเล่าต่อว่าวันนั้นเจิมจันทร์ลงหวายที่หลังของดมิสาได้แค่สามครั้ง หญิงสาวก็โกรธจนบ้านไหว เครื่องเรือนสั่นราวกับแผ่นดินกำลังจะแยก เจิมจันทร์ต้องหยุดตีทันที แล้วรีบตักน้ำมาสาดใส่ดมิสาเพื่อให้คืนสติ แล้วไม่กล้าตีอีก ได้แค่คาดโทษไว้ ผีตนนั้นเล่าพลางหัวเราะพลางอย่างสะใจ ก็อะไรเล่าจะบันเทิงได้เท่าการที่เจิมจันทร์หวาดกลัวหลานสาวตัวเอง!

 

 

** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com