เถลิงเกียรติสำลักเสียงกรนตัวเองจนตกใจตื่น หลังงีบหลับไปพักใหญ่ ชายหนุ่มลืมตางัวเงีย ก่อนแว่วเสียงผู้หญิงร้องไห้มาจากที่ไหนสักแห่ง เขาขยับลุกจากเปลญวน หันมองไปยังต้นเสียงด้วยอารมณ์ครึ่งหลับครึ่งตื่น และแล้วก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่ตรงตีนบันได
แรกเริ่มนั้นชายหนุ่มคิดว่าตัวเองอาจจะกำลังฝัน เพราะแสงจากดวงตะวันยามเย็นทอผ่านร่างผู้หญิงคนนั้นราวกับร่างกายของหล่อนโปร่งใส มิหนำซ้ำการแต่งตัวก็ยังกับจะไปงานปาร์ตี้วินเทจอะไรเทือกๆ นั้น หรือหล่อนจะเร่งรีบไปงานจนเดินตกกระได
แต่ก็ไม่น่าใช่ ถ้ามีใครตกบันไดเถลิงเกียรติต้องได้ยินเสียงตุบตับสิ
ชายหนุ่มเพ่งพินิจพิจารณา เห็นใบหน้ารูปไข่สวยสะดุดตาก้มต่ำ เรือนผมดำขลับเกล้าขึ้นเป็นหางม้าเรียบง่าย เดรสที่หล่อนสวมนั้นน่าจะเป็นสีชมพูอ่อนๆ มีลายดอกไม้อะไรสักอย่างเล็กๆ ที่เถลิงเกียรติก็มองไม่ชัดเท่าไร แต่โดยรวมเขาพูดได้คำเดียวว่าผู้หญิงคนนี้ดู แพ๊งแพง! โดยเฉพาะเครื่อง ประดับมุกที่ใส่นั่นดูสวยแวววาวราวกับมุกแท้ หรือจะเป็นหลานสาวคนอื่นของบ้านหลังนี้ แต่เห็นดมิสาเล่าว่าหลานสาวทุกคนย้ายออกไปหมดแล้วนี่
ขนาดพี่ดีเลิศสุดหล่อยังทนอยู่ไม่ได้ ต้องพาภรรยาย้ายออกไปจากบ้านเหมือนกัน
เถลิงเกียรติไม่เข้าใจก็แต่ดมิสานี่แหละว่าจะทนอยู่ต่อไปทำไม อ้อ! หล่อนเคยบอกไว้ว่าไม่อยากปิดคลินิกหน้าบ้าน เฮ้อ! แม่คนนี้สงสัยบั้นปลายชีวิตจะบวชชีแบบดาราวลีแน่ ขึ้นคานมาตั้งขนาดนี้แล้ว ฝักไฝ่ความดีมาตั้งขนาดนี้แล้ว คงไม่แคล้วอุทิศตนให้ศาสนา
กลับมาๆ...เถลิงเกียรติบอกตัวเองขณะเพ่งมองไปยังร่างนั้น เขาขยี้ตาหลายครั้งให้หายเมาขี้ตา ก็คนบ้าอะไรจะมีร่างกายโปร่งใสแบบนั้น ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วมันเป็นไปไม่ด๊าย!
ยังไม่ทันหาคำตอบให้ตัวเองได้ ร่างนั้นก็ราวกับจะรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้อง ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงที่ฉาบท้องฟ้าเป็นสีแดงดั่งเพลิง แบบที่คนเฒ่าคนแก่เรียกว่า แดดผีตากผ้าอ้อม สาวน้อยวัยราวยี่สิบกลางๆ หน้าตาสดสวย หันมองเถลิงเกียรติทั้งน้ำตา
เมื่อเถลิงเกียรติมองสบตากลับ แม้จะหยีตาด้วยความแสบตาจากแสงสีแดงจ้าของพระอาทิตย์ก็ตาม ผู้หญิงปริศนาก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มอย่างยินดีแม้น้ำตาจะยังไหลอาบสองแก้ม หากทว่า! ขณะนั้นเจิมจันทร์บนเรือนสัมผัสได้ว่าวิญญาณที่ถูกคุมขังกำลังจะหลุดออกมา
“อีขวัญฤดี มึงออกมาจากที่คุมขังของกูได้ยังไง!”
เจิมจันทร์ตวาดก้องบนห้องพระ แน่นอนว่าเถลิงเกียรติไม่ได้ยิน...หลังจากนั้นหญิงชราก็บริกรรมคาถากักขังดวงวิญญาณให้แน่นหนากว่าเดิมด้วยความโกรธแค้นชิงชัง ไอ้อีวิญญาณตัวไหนจะหลุดรอดจากเงื้อมมือนางไป เจิมจันทร์ไม่สนใจเท่าไร แต่สำหรับขวัญฤดี เจิมจันทร์จะขอสาปแช่งให้มันตกนรกหมกไหม้ในที่คุมขังไปชั่วนิรันดร์!
วิญญาณขวัญฤดียื่นมือออกไปทางเถลิงเกียรติ หมายใจจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ แต่มนตร์ดำของเจิมจันทร์มาถึงตัวก่อน ร่างบอบบางของหญิงสาวจึงค่อยๆ จางหายไปต่อหน้าต่อตา เหลือเพียงอากาศว่างเปล่าราวกับไม่เคยมีสิ่งใดปรากฏกายตรงนั้น
ชายหนุ่มกะพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เห็น แต่หลังจากครุ่นคิดว่ามีความเป็นไปได้อะไรบ้างในปรากฏการณ์นี้ ก็คิดออกได้แค่อย่างเดียว
“กรี๊ดดด” เถลิงเกียรติลุกขึ้นกรีดร้องดังลั่นบ้าน “ผี! ผี! ผี๊!”
“เงียบ!” เสียงทรงอำนาจจากบันไดขั้นบนสุดของเรือน ทำให้เถลิงเกียรติสะดุ้งเฮือก หุบปากเก็บลิ้นทันที ชายหนุ่มค่อยๆ เดินออกมาจากใต้ถุน โดยเลือกจะอ้อมไปอีกฝั่งของบันไดให้ห่างไกลจากจุดที่เห็นผีให้มากที่สุด
“สวัสดีค่ะยาย”
ชายหนุ่มยกมือไหว้ ร่างกายใหญ่โตยังสั่นเทาด้วยความตกใจกลัว ครู่หนึ่งดมิสาจึงวิ่งออกมาจากห้อง แต่หญิงสาวก็ต้องหยุดวิ่งที่ข้างกายยายเจิมจันทร์ซึ่งหันไปตวาดแหวใส่เธอทันที
“ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเอาไอ้อีผิดเพศเข้ามาเหยียบในบ้าน! บ้านฉันไม่ต้อนรับพวกวิปริต ไล่มันออกไปซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาน้ำเกลือมาราดไล่เสนียด!”
“ค่ะยาย” ดมิสารับคำ ก่อนก้มศีรษะลงต่ำขณะเดินผ่านเจิมจันทร์ลงมาหาเถลิงเกียรติที่ยังยืนตัวสั่นไม่หาย หญิงสาวจับมือเพื่อนชายให้เดินตามมาแล้วดันตัวเถลิงเกียรติเข้าไปในรถ จากนั้นก็ขับออกมาจอดข้างคลินิกใต้ต้นประดู่ที่ออกดอกสะพรั่งตามฤดูกาล
“แก แก” ดมิสาจับแขนแข็งแรงของเถลิงเกียรติ พยายามเรียกสติ “ไม่เป็นไรนะแก”
“มิ้งค์” เถลิงเกียรติหันมองมา น้ำหูน้ำตาไหลพราก “ฉันกลัว”
หญิงสาวดึงตัวเพื่อนสนิทมากอด ดันศีรษะให้ซบลงกับบ่าบอบบาง ลูบผมลูบหลังจนชายหนุ่มคลายความตกใจกลัว เถลิงเกียรติจึงดันตัวเองออก ก่อนเปิดเก๊ะรถดึงทิชชูออกมาเช็ดน้ำตาสั่งน้ำมูก
“ฉันว่าอยู่แล้ว” พอหายกลัวแล้วก็เริ่มเก่งเหมือนเดิม “บ้านเรือนไทยแบบนั้นจะไม่มีผีได้ยังไง เก่าแก่โบราณเสียขนาดนั้น ดีนะที่เวลามีกองถ่ายละครมาขอใช้บ้าน ยายแกไล่เปิงไปหมด ไม่งั้นคงได้โดนผีหลอกจับไข้หัวโกร๋นแน่ นี่ถ้าบอกว่ายายแกเลี้ยงผีไว้ฉันยังเชื่อเลย ยายแกน่ากลัวออกขนาดนั้น”
“คงไม่ขนาดนั้นหรอกแก” ดมิสาปลอบ “ขอโทษนะที่ยายด่าแกอีกแล้ว”
“โอ๊ย มิ้งค์! คนด่าฉันน่ะยาย ไม่ใช่แก เลิกตามขอโทษแทนยายแกได้แล้ว ฉันไม่ถือไม่สาคนแก่จิตใจวิปริตยิ่งกว่าคนผิดเพศแบบฉันหรอก อุ๊ย โทษที ลืมไปว่านั่นยายแก”
ดมิสายิ้มบางๆ ขำก็ขำ ขื่นขมก็ด้วย เธอโชคดีแค่ไหนแล้วที่เถลิงเกียรติไม่เคยทอดทิ้งหรือโกรธเธอเพราะเรื่องยายเหมือนเพื่อนคนอื่น ไม่ว่าเถลิงเกียรติจะโดนยายเจิมจันทร์ด่าว่าอย่างไร ก็เอาแต่ยิ้มรับยกมือไหว้สาธุพลางตอบว่าคนแก่ด่าก็เหมือนคนแก่ให้พร
เถลิงเกียรติทำให้ยายเอือมระอาจนเลือกมองชายหนุ่มเป็นอากาศธาตุไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นเวลาเจอหน้า เถลิงเกียรติก็ยังยกมือไหว้ยายตามมารยาท แม้ยายเจิมจันทร์ทำไม่สน แต่เถลิงเกียรติก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ของผู้น้อยเคารพผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้ว เขาก็มีสิทธิ์ที่จะสะบัดบ๊อบใส่ยายเหมือนกัน
“ช่างเหอะแก ว่าแต่แกจะทำงานไหวไหมเนี่ย กลับไปพักผ่อนดีกว่าไหม เดี๋ยววันนี้ฉันดูคลินิกเอง”
เถลิงเกียรติสั่งน้ำมูกดังฟืด ก่อนหันมาเอ่ยว่า
“นี่แกจะไม่ถามฉันหน่อยเหรอว่าฉันเจออะไร...หรือว่าแกก็เคยเจอผีผู้หญิงในบ้านนั้นเหมือนกัน”
ดมิสาเกือบหลุดปากถามเพื่อนว่าผีผู้หญิงไหน เพราะมีหลายตนที่เคยหลงเข้ามาในบ้าน อย่างเช่นผีตานีที่อยากได้สมคิดไปบำรุงบำเรอความใคร่ แต่หญิงสาวก็ได้สติหุบปากสนิท ก่อนยิ้มซื่อตาใส
เรื่องที่เธอเห็นผีได้ นอกจากพระดินที่ท่านทราบเองแล้ว ดมิสาก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง แม้แต่เถลิงเกียรติเองก็ตาม
“ไม่เคยเจอหรอก แต่ก็อย่างที่แกบอกแหละว่าบ้านนั้นเก่ามากแล้ว แกอาจเจอผีบรรพบุรุษของฉันก็ได้นะ”
เถลิงเกียรติตบเข่าดังฉาด
“ใช่มะ! ผีที่ฉันเห็นน่ะ สวยๆ ขาวๆ หมวยๆ แต่งตัวแบบอินเทรนด์เมื่อสักสี่ห้าสิบปีก่อนได้ น่าจะรุ่นเดียวกับยายแก แต่ชีดูเรียบร้อยนะ ดูสวย ดูเศร้า ดูน่าสงสาร บอกไม่ถูก”
ชายหนุ่มคิดย้อนกลับไปแล้วก็ทั้งกลัวทั้งเห็นใจ
“ไม่รู้ทำไมต้องนั่งร้องไห้อยู่ตรงตีนบันได หรือเคยมีใครตายตรงนั้นวะแก”
ดมิสานิ่งคิดเพียงครู่ก็สั่นศีรษะ
“ไม่เคยนะ เท่าที่รู้บ้านเสน่ห์จันทน์มีคนตายบนเรือนแค่สองคน คือคุณตา คุณตาน่ะป่วยตาย กับน้าจิรัญญา...น้องสาวของแม่ แกผูกคอตายในห้องนอนตัวเอง”
ดมิสาเกิดไม่ทันตอนคุณตาเดชสิทธิ์มีชีวิตอยู่ แต่เคยเห็นรูปถ่ายในห้องของเจิมจันทร์ เรียกได้ว่าดีเลิศพี่ชายของเธอถอดแบบหน้าตาของเดชสิทธิ์มาแทบไม่มีผิดเพี้ยน แม้แต่วิธีการยิ้ม แต่เธอสิ กลับไม่เหมือนใครในบ้านนี้เลย เธอหน้าเหมือนบิดา เลยหน้าละม้ายคล้ายพระดินด้วย...คล้ายเสียจนมีอุบาสกอุบาสิกาหลายคนเข้าใจไปว่าเธอเป็นลูกของพระดินก่อนท่านจะออกบวช
ทั้งที่แท้จริงแล้วพระอาจารย์ออกบวชตั้งแต่แปดขวบ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่ดลฤทธิ์สมัยเป็นฆราวาสนั้นมีปัญหาทะเลาะกับย่าอยู่เรื่อย ส่วนใหญ่ก็เป็นย่าเองที่เอาแต่ใจ เอาแต่เรียกร้องอยากได้ จนปู่เบื่อหน่ายจึงขอเลิก ท่านแบ่งสมบัติให้ย่าครึ่งหนึ่ง แบ่งลูกให้คนหนึ่งคือเลิศฤทธิ์แล้วท่านก็พาลูกชายคนโตคือพระดินเข้ามาอาศัยร่มกาสาวพัสตร์ด้วยกัน
แล้วสมบัติที่เหลือของท่านก็หมดไปกับการสร้างและทำนุบำรุงวัดป่าอิสราภรณ์
ก๊อกๆ
“ตาเถรตกใต้ถุน!” เถลิงเกียรติอุทานพลางยกมือขึ้นทาบอก เมื่อหันไปตามเสียงเคาะกระจกรถ จึงถอนหายใจพรืด
“โธ่! พี่บุ๋ม กั้งตกใจหมดเลยค่ะ”
ชายหนุ่มกดเลื่อนกระจกรถลง ทำให้เห็นใบหน้าหญิงสาววัยสามสิบกลางๆ ชัดขึ้น พี่บุ๋มหรือนภา เป็นพยาบาลที่อุทิศตนช่วยเหลือคนไข้โดยไม่รับค่าจ้างเช่นกัน ดมิสารู้จักกับหล่อนเมื่อคราวออกค่ายอาสา เมื่อหญิงสาวคิดจะทำคลินิกแบบเอื้ออาทรขึ้นมา นภาก็อาสามาช่วยงานทันที
“ทำไมไม่ลงจากรถกันล่ะคะ มีคนไข้มานั่งรอหน้าคลินิกแล้วนะ”
ดมิสาไม่ทันสังเกตเห็นคนไข้เพราะจอดรถไว้ค่อนข้างไกลจากประตูคลินิก หญิงสาวหันไปสบตาเถลิงเกียรติเป็นเชิงถามว่าจะทำงานหรือกลับไปพักผ่อน กุมารแพทย์หนุ่มจึงตบหน้าตัวเองเรียกสติ จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้ดมิสาสีหน้าขึงขังราวกับกำลังลงแข่งกีฬาชิงเหรียญทองให้ประเทศชาติ
“ไปค่ะ! ทำงานที่รักของเรากัน”
หญิงสาวถอนหายใจยิ้มๆ ก่อนพากันออกจากรถเดินไปยังหน้าคลินิกที่ตอนนี้มีชาวบ้านอุ้มลูกหลานมานั่งรอแล้วจริงๆ เมื่อเห็นว่าหมอมาแล้วก็ต่างยกมือไหว้ทั้งที่อายุมากกว่า แม้ดมิสากับเถลิงเกียรติเคยห้ามปรามแต่ตอนนี้ห้ามไม่ไหวแล้วจึงได้แต่ยกมือไหว้คืนทุกคน แล้วเปิดประตูคลินิกรับหลังจากปิดทำการไปหลายวัน
คืนนั้นคนไข้จึงเยอะเสียจนทั้งสองวุ่นวาย หมดเวลาคิดถึงวิญญาณสาวที่มีชื่อว่า...ขวัญฤดี...อีกเลย
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **