ทดลองอ่าน ซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ : เลื่อมลายพรายจันทร์ : ตอนที่ 3

 

 

ตอนที่ 3

 

 

‘งื้ด... งื้ด...’

เสียงครางอ้อนของบุญเลิศปลุกให้ดมิสาลืมตาตื่นตอนเช้าตรู่พร้อมเสียงนกร้องดังขับขานที่นอกหน้าต่าง หญิงสาวหาวหวอดบิดกายอย่างเกียจคร้าน ก่อนหันไปยิ้มให้วิญญาณสุนัขสีน้ำตาลที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงเดียวกัน

“อรุณสวัสดิ์ บุญเลิศ”

บุญเลิศแลบลิ้นเลียหน้าอย่างดีใจที่เธอตื่นแล้ว แม้จะรู้ว่ามันเป็นวิญญาณ ไม่ได้มีลิ้นหรือน้ำลายมาปาดหน้าเธอจริงๆ แต่ดมิสาก็อดหัวเราะพลางหลบพลางไม่ได้ เหลือบมองนาฬิกาเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกมากโขกว่าจะถึงเวลาอาบน้ำกินข้าวเช้า จึงนอนกลิ้งเล่นให้เวลากับบุญเลิศอีกพักใหญ่

บุญเลิศเป็นสุนัขพันธุ์ชิบะอินุ สีน้ำตาลขนฟูและอ้วนท้วนสมบูรณ์เพราะดมิสาดูแลอย่างดี เธอได้มันมาเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุสิบขวบ จากดีเลิศพี่ชายและบัวบุษบาที่ตอนนี้เป็นพี่สะใภ้ ลงขันซื้อมาให้ แน่นอนว่าเจิมจันทร์ไม่ชอบใจนัก แต่ก็ขัดหลานชายสุดรักไม่ได้

เพราะได้รับเจ้าหมาตัวนี้มาจากพี่ชาย ดมิสาจึงตั้งชื่อให้ว่าบุญเลิศตามชื่อดีเลิศเสียเลย แม้ดีเลิศจะเพลียใจ แต่ก็ยินยอมแต่โดยดี

ดมิสามีพลังจิตตั้งแต่จำความได้ เรื่องนี้เธอคุ้นชินกับมันดีและรู้ดีว่าต้องเก็บเป็นความลับ บอกใครไม่ได้ นอกเสียจากคนในครอบครัวที่นอกจากเจิมจันทร์แล้วก็ยังมีดีเลิศ และญาตาวีกับญานีนลูกสาวของน้าจิรัญญา น้องสาวของดาราวลี ซึ่งโตมาด้วยกันจึงไม่สามารถปิดบังกันได้

แต่เมื่อดมิสาอายุสิบสองปี เย็นวันนั้นที่กลับมาจากโรงเรียนก็พบว่าบุญเลิศหายตัวไป...

เธอกับพี่ชายออกตามหาเพียงลำพัง เพราะเจิมจันทร์ไม่สนใจสุนัขของหลานสาวอยู่แล้ว โดยเฉพาะหนึ่งในคนที่ให้มาคือบัวบุษบา...ลูกสาวคนข้างบ้านที่เจิมจันทร์แสนชัง! ดาราวลีเองก็จมกับความเศร้าที่เลิศฤทธิ์ทิ้งไปเหมือนอย่างทุกวัน

ดมิสาและดีเลิศออกตามหาบุญเลิศกันอยู่นานนับชั่วโมงจนเย็นย่ำ กระทั่งเด็กสาวได้ยินเสียงดังแว่ว...

‘ทางนี้’

ดมิสาในเวลานั้นมองไม่เห็นวิญญาณ เธอคิดว่าหูแว่วไปเสียด้วยซ้ำที่ได้ยินเสียงชายแก่พูดแบบนั้น แต่ด้วยสัญชาตญาณจึงวิ่งไปตามทางที่ได้ยินเสียงและพลัดหลงกับดีเลิศตรงราวป่าในซอยที่ตอนนั้นยังไม่มีสิ่งก่อสร้างพลุกพล่านนัก ที่นั่นเอง...ดมิสาเห็นคนงานต่างด้าวที่มาทำงานก่อสร้างตึก แถวหน้าปากซอยกำลังถลกหนังบุญเลิศ กลิ่นไหม้เหม็นคละคลุ้ง กองไฟที่ใช้ย่างบุญเลิศยังลุกโชน สุนัขที่เธอแสนรักและเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในบ้านที่จงรักภักดีตายลงแล้ว และอาจตายด้วยความทรมานโดยที่เธอช่วยอะไรไม่ได้เลย!

นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่คนใจเย็นอย่างดมิสาโกรธจนสติขาดผึง

เธอจำเหตุการณ์ต่อจากนั้นไม่ได้อีก จำได้เพียงความเคียดแค้นชิง ชังนั้นเผาไหม้หัวใจเธอราวกับไฟโลกันตร์! ดมิสามารู้หลังจากนั้นว่า ความโกรธของเธอสร้างลมและพายุฝน ชายคนหนึ่งถูกฟ้าผ่าเกือบตาย ส่วนอีกคนก็วิ่งหนีกระเจิดกระเจิงเข้ารกเข้าพงไป และกลับไปจับไข้ที่เพิงพักเพราะคิดว่าถูกผีหลอก

เจิมจันทร์นั้นมาจากไหนไม่รู้

มาทันเหตุการณ์ได้อย่างไร ดมิสาก็ไม่รู้...

แต่ยายก็มาจัดการทุกอย่างให้จบด้วยการตบหน้าดมิสาจนสลบ ลม พายุ และฟ้าแลบแปลบปลาบหายไป คนเจ็บถูกพาส่งโรงพยาบาลและได้รับค่าปิดปากจากเจิมจันทร์พร้อมคำขู่ให้กลับประเทศเพื่อนบ้านไป ห้ามกลับมาเหยียบแผ่นดินไทยอีก

ซึ่งดมิสาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ายายทำเพื่อเธอ...หรือเพื่อรักษาชื่อ เสียงหน้าตาของตนเองกันแน่

หลังจากนั้นยายได้มอบพวงกุญแจแก้วไหมทองให้ดมิสา ยายบอกว่าให้เก็บติดตัวไว้ตลอดเวลาเพราะเป็นเครื่องรางควบคุมความโกรธ และสั่งไม่ให้ดมิสาโกรธใครอีก เพราะคราวหน้าคนที่ถูกฟ้าผ่าอาจไม่ใช่คนงานต่างด้าว แต่อาจเป็นดาราวลีหรือดีเลิศ มารดาและพี่ชายที่เธอรัก

ดมิสาจำคำยาย และพยายามจะไม่โกรธใครอีก เพราะไม่อยากเป็นสาเหตุทำให้คนที่ตนรักต้องบาดเจ็บล้มตาย แม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม

ทว่าหลังจากนั้นสองสามวัน ดมิสาก็กลับเข้าห้องนอนมาเจอบุญเลิศมีร่างกายโปร่งใสมองทะลุอีกฝั่งได้รออยู่ข้างเตียงที่เดิมที่มันชอบนั่งรอเธอ

ความรู้สึกแรก เด็กสาวตกใจและดีใจที่ได้เห็นบุญเลิศนั่งกระดิกหางตรงนั้นอีกครั้ง แต่ความรู้สึกต่อมา เธอกลัว... นั่นผี...ผีบุญเลิศ! ไม่ใช่เจ้าหมาบุญเลิศที่เธอจับต้องได้อีกแล้ว แต่มันเป็นผี ผี เธอเห็นผี!

‘ถึงเป็นผี แต่ก็เป็นบุญเลิศที่หลานรัก ไม่ใช่หรือ’

สิ้นเสียงนั้น ก็ปรากฏร่างโปร่งใสของวิญญาณชายแก่ที่เธอจำได้ดีว่าคือหลวงปู่ดลฤทธิ์ บิดาของเลิศฤทธิ์และพระดิน แม้เป็นวิญญาณหลวงปู่ก็ยังครองจีวรสีกรักเหมือนในรูปถ่ายติดป้ายอนุสรณ์ของวัดป่าอิสราภรณ์ซึ่งท่านก่อตั้ง ดมิสากลัวจับใจ แต่ก็รู้สึกรักและเทิดทูนท่านอย่างหาคำบรรยายไม่ได้ด้วย...เธอมีบิดาก็เหมือนไม่มี ดมิสามีเพียงพระดินที่วัดป่าอิสราภรณ์เท่านั้นที่เอ็นดูเธอดั่งพ่อบังเกิดเกล้า และหลวงปู่ก็มีไออุ่นราวกับบิดาแผ่ออกมาจากร่างจนเธอน้ำตาซึม

หลวงปู่มรณภาพไปนานแล้ว ท่านไม่เคยมาเข้าฝันเธอหรือแสดงตัวเช่นนี้เลย แต่ดมิสาก็จำได้ว่าเสียงที่นำพาเธอไปเจอบุญเลิศคล้ายเสียงของท่านตอนนี้มาก เด็กสาวก้าวเดินไปทรุดตัวลงนั่งและก้มกราบแทบเท้าร่างโปร่งใสของท่านด้วยอาลัย เธอเสียดายเหลือเกินที่เกิดไม่ทันดูแลรับใช้ปรน นิบัติตอนท่านเจ็บป่วยให้สมกับที่หลานพึงกระทำ

‘หลวงปู่กับบุญเลิศจะอยู่กับมิ้งค์ใช่ไหมคะ ถ้าเป็นแบบนั้นมิ้งค์ขอให้เห็นหลวงปู่แบบนี้ตลอดไปได้ไหมคะ มิ้งค์...’ เด็กสาวสะอื้น ‘มิ้งค์เหงาค่ะ’

ผู้มีศักดิ์เป็นปู่ยิ้มอย่างมีเมตตา ยามท่านยิ้ม เค้าโครงหน้าของท่านคล้ายกับพระดินเหลือเกิน

‘พระดินอย่างไรเล่า ท่านจะดูแลหลานแทนปู่ วันนี้ปู่มาลา ดีใจเหลือ เกินที่หลานมองเห็นปู่เสียที’ ท่านยื่นมือมาใกล้ศีรษะเธอ แม้สัมผัสไม่ได้ แต่เด็กสาวก็รู้สึกอบอุ่นวูบวาบเพราะพลังวิญญาณ ‘อย่างไรเสียก็ระวังตัวนะลูก...บ้านนี้ไม่ปลอดภัย หากมีโอกาสย้าย ก็จงรีบย้ายออกไป ปู่ห่วงหนูมากกว่าเจ้าโต เพราะหนูมีสิ่งที่เจ้าโตไม่มี แต่สิ่งนี้...จะนำภัยมา’

ดมิสาไม่เข้าใจคำเตือนของท่าน และหลวงปู่ก็ดูเหมือนจะพูดอะไรไม่ได้มากกว่านั้น

‘ยังไม่ถึงเวลา...วันหนึ่ง หลานจะเข้าใจเอง’

ร่างโปร่งใสที่ถูกห่อหุ้มด้วยจีวรอยู่ภายใต้บวรพระพุทธศาสนาตรง หน้าดมิสา ค่อยๆ กลายเป็นละอองสีทองลอยล่องออกทางหน้าต่างไป เด็กสาววิ่งตามไปเกาะขอบหน้าต่าง ปัดผ้าม่านออกเห็นแสงนั้นลอยหายขึ้นฟ้า ปนไปกับแสงระยิบระยับจับตาของดวงตะวัน

บุญเลิศอยู่กับดมิสามานับแต่วันนั้นในรูปแบบวิญญาณ นี่ก็สิบกว่าปีแล้ว มันยังไม่มีท่าทีว่าจะจากไปเหมือนหลวงปู่ นอกจากวิญญาณบุญเลิศแล้วหญิงสาวก็เห็นวิญญาณอื่นบ้างประปราย แล้วแต่ว่ามีบุญกรรมวาสนาผูกพันกันมาหรือไม่ และ/หรือวิญญาณนั้นยอมปรากฏร่างให้เธอเห็นหรือไม่ หากดวงจิตซ่อนตัวแล้วไซร้ เธอก็จะมองไม่เห็นพวกเขาเลย

หญิงสาวเล่นกับบุญเลิศพอใจแล้วก็ลุกขึ้นอาบน้ำเตรียมออกไปทำงาน วันนี้เธอมีเข้าเวรที่โรงพยาบาลจตุรพิธพรตอนสิบโมงเช้า และตั้งใจว่าจะออกไปหาอาหารเช้ากินที่โรงพยาบาล เพราะไม่อยากนั่งอึดอัดกินข้าวกับเจิมจันทร์ที่มีออร่าความเกลียดหลานสาวแผ่ออกมาจากร่างแทบทุกวินาที

แต่เมื่อแต่งกายสุภาพ บอกลาบุญเลิศแล้วเดินออกมาจากห้องนอน กลับพบเจิมจันทร์นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาอาหาร ดมิสากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก่อนเดินไปนั่งลงที่ข้างตั่งยกพื้นสูงกลางบ้านที่เจิมจันทร์นั่งอยู่

หญิงสาวยกมือประนมไหว้นอบน้อมตามที่ถูกสั่งสอนมาอย่างอ่อนช้อยยิ่งแบบที่หาได้ยากในสมัยนี้ หากแต่ว่าลูกหลานของตระกูลเสน่ห์จันทน์สามารถทำกันได้ทุกคน

“มิ้งค์จะไปทำงานแล้ว สวัสดีค่ะยาย”

“อย่าเพิ่งไป”

เจิมจันทร์กล่าวเสียงเรียบ อย่างที่เห็นได้ยาก ดมิสาจึงเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงงสงสัยว่าวันนี้ยายจะมาไม้ไหน เจิมจันทร์ไม่เคยเลยจะไม่ตวาดเธอ ไม่เคยเลยจะพูดจากันดีๆ เช่นนี้

“เอานี่ไป ฉันได้แก้วไหมทองมาใหม่ เห็นว่าพวงกุญแจของแกแตก ไม่มีเครื่องรางควบคุมตัวเอง เดี๋ยวแกจะไปฆ่าใครนอกบ้านเข้า” เจิมจันทร์ยกสร้อยข้อมือลูกปัดร้อยแก้วไหมทองคล้ายของเดิม ต่างเพียงมีเส้นไหมสีดำคล้ายเส้นผมรวมอยู่ด้วย...

“ยื่นมือขวาแกมา ฉันจะใส่ให้”

ดมิสาไม่เข้าใจว่าทำไมเจิมจันทร์ถึงทำดีกับเธอถึงขั้นจะสวมสร้อยให้ ทั้งที่แค่ส่งให้ก็ได้ แต่หญิงสาวก็ไม่ขัด เธอยื่นมือออกไปให้ยายสวมสร้อย โดยไม่รู้เลยว่าที่เจิมจันทร์ทำปากขมุบขมิบนั้น ยายของเธอร่ายมนตร์คาถาให้สร้อยไม่สามารถถอดออกได้ ยกเว้นดมิสาจะตัดมือตัวเองทิ้งเท่านั้น!

ยายเป่าลมใส่มือเธอดังฟู่ ไอเย็นจากลมปากเจิมจันทร์ทำเอาดมิสาขนลุกเกรียวกราว และอุปาทานเหมือนเห็นวิญญาณสีดำนับร้อยรายล้อมอยู่รอบกาย! แต่เพียงชั่วพริบตาเธอก็ไม่เห็นอะไรอีก

หญิงสาวสะดุ้งหันมองโดยรอบ ก่อนหันมามองสบตาเจิมจันทร์ที่บีบมือเธอแน่นจนเจ็บ

“เป็นอะไรของแก ฉันให้พรแก ไม่ดีหรือไง!”

ดมิสาค่อยๆ ดึงมือกลับมาเมื่อเจิมจันทร์ยอมปล่อย หัวใจเธอเต้นแรงกระแทกอก แต่ก็พยายามปลอบตัวเองว่าตาฝาดไป ตั้งแต่เห็นผีได้เธอไม่เคยเห็นวิญญาณใดที่น่ากลัวและดูดุร้ายแบบเมื่อครู่นี้

“ขอบคุณค่ะยาย มิ้งค์ไปก่อนนะคะ”

เมื่อเจิมจันทร์พยักหน้าขุ่นๆ ดมิสาก็รีบลุกเดินลงจากบ้านไปทันที

แม้ก้าวเข้ามานั่งในรถแล้ว หญิงสาวก็ยังรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วผิวกายอย่างประหลาด เธอยกมือลูบหน้าลูบผมรวบรวมสติ จับหน้าผากจับแก้มดูแล้วรู้สึกได้ถึงความร้อนราวเป็นไข้

ดมิสาบิดกุญแจสตาร์ตรถ และคิดว่าหากไปถึงโรงพยาบาลเมื่อไหร่ เธอควรกินยาแก้ไข้หลังอาหารดักไว้ ก่อนจะล้มป่วยไปจริงๆ

 

 

** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com