“โอ้มายก็อด! นี่แกทำบุญด้วยอะไรกันเนี่ย”
ไม่ใช่เสียงใครที่ไหน รุ่งนั่นเอง เที่ยงนี้มาริสานึกครึ้มอกครึ้มใจที่ตัวเองรอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ เลยพาเพื่อนมาเลี้ยงอาหารกลางวันที่ร้านอาหารฟิวชันในห้างฯ ซึ่งรุ่งกับเบญญาภาไม่เคยปฏิเสธ
“ฉันอยากเป็นเลขาฯ คุณมาวินบ้างจัง” เบญญาภาพูดบ้าง จากนั้นก็ใช้ส้อมจิ้มแซลมอนสีชมพูอมส้มชิ้นน้อยในจานสลัดกระจุ๋มกระจิ๋มเข้าปาก
“ไม่ได้จ้ะแยม คนนี้ฉันขอ”
“จ้ะ หมั่นไส้จริง” เบญญาภาก็รู้เหมือนกับรุ่ง ว่ามาริสานั้นคลั่งไคล้เจ้านายของตัวเองเหลือเกิน รู้ทั้งรู้ว่าลูกสาวท่านประธานจับจองแล้วก็ไม่เคยลดราวาศอก มโนมันได้ทุกวัน ก็หวังว่าสักวันเพื่อนของหล่อนจะเบื่อไปเอง แต่มาวินนี่แสนดีอะไรขนาดนั้น ว่าไปแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้เหมือนกัน
“ฉันอยากให้เธอลองมาเป็นเลขาฯ คุณวิชุดาจริงๆ จะได้รู้ว่านรกมีจริง”
ข้อนี้มาริสารู้ดี นางมารร้ายยังไงก็คือนางมารร้าย
“เชื่อไหมทุกวันนี้ชีวิตส่วนตัวฉันหายไปหมด” เบญญาภาบ่น เอ๊ย พูดต่อ “เนี่ยอย่างสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาวันหยุดฉันแท้ๆ กำลังจะดูหนังกับแฟน ซื้อตั๋วแล้ว จะเข้าไปในโรงอยู่แล้ว คุณเธอโทร.มาจ้ะ บอกว่านัดคุยกับเจ้าของแบรนด์ที่จะมาเช่าพื้นที่ห้างฯ ขายกระเป๋า ให้ฉันไปช่วยออบเซิร์ฟ คอยสรุปรายละเอียดการเจรจา ช่วยดูเรื่องสัญญาอะไรด้วย ฉันอยากจะบ้า”
“แล้วเธอทำไมไม่ปฏิเสธไปล่ะ” มาริสาถาม
“โอย ปฏิเสธได้ที่ไหน รายนี้ แม่วีน แม่เหวี่ยง แม่ไล่เบี้ยทันทีที่ฉันเข้าออฟฟิศในวันต่อมาน่ะสิ” รู้สึกคนพูดจะพูดอย่างเก็บกดเสียเต็มประดา “แล้วที่น่าแค้นใจคืออะไรรู้ไหม ไอ้เราก็คิดว่าเป็นงานด่วน งานสำคัญอะไร ที่ไหนได้ ไปๆ มาๆ นางนัดกินข้าวเมาท์มอยกันจ้ะ แล้วฉันก็ไปนั่งบื้อไม่ได้ทำอะไร แล้วสัญญานางบอกเดี๋ยวให้ทนายช่วยดู ฮัลโหล คืออะไร ทำไมต้องเรียกฉันไปในวันหยุด ฉันโดนแฟนงอนแล้วต้องมานั่งง้อมันใช่เรื่องไหม”
“เธอยังดี แม่แยม” รุ่งพูดบ้าง “คุณวิชุดายังเข้าออฟฟิศบ้าง ไม่เข้าบ้าง แต่ท่านประธานนี่สิจ๊ะ สิงสถิตอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน ไอ้เลขาฯ อย่างเราต้องมานั่งสแตนด์บายก่อนเขาเข้าออฟฟิศ เขาไม่กลับเราก็ไม่ได้กลับ อยู่รอเผื่อเขาเรียกใช้ เธอก็รู้ ท่านประธานเข้มงวดจะตาย หนำซ้ำท่านจะไปไหน เรื่องเล็กเรื่องใหญ่แค่ไหน ฉันก็ต้องตามติดต้อยๆ ตลอดจ้า ทุกวันนี้ฉันเลยไม่มีผู้ชายมาจีบสักคน เขาเข้าใจว่าฉันเป็นเมียท่านประธานไปหมดแล้ว”
“ขนาดนั้นเชียวเหรอ ทำไมไม่มีใครเข้าใจว่าฉันเป็นแฟนคุณมาวินบ้างนะ”
รุ่งเบะปากมองบนใส่มาริสาทันที ถ้าจะมาเบอร์นี้ ขอให้วันหนึ่งคุณเพื่อนกับเจ้านายรูปหล่อได้กันจริงๆ เสียทีเถอะ จะได้เลิกเพ้อสักที!
“ว่าแต่เธอได้เป็นเมียท่านประธานจริงก็ดีนะ” เบญญาภาว่า “เธอจะได้เป็นแม่เลี้ยงคุณวิชุดา แล้วจะได้กำราบนางบ้าง ว่าอย่าเยอะให้มันมากนัก”
“โอย ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย จะไปกำราบใครได้ยะ รู้ไหม ทุกวันนี้ฉันต้องไปคอยจัดการชีวิตให้ท่านประธาน ประกันบ้าน ประกันสุขภาพต้องต่อเมื่อไรก็ต้องช่วยจัดการ รถชนนี่ก็ต้องติดต่อประกัน ไปเคลมเงินให้อะไรให้ด้วยนะจ๊ะ อาหารการกินเวลาไปไหนมาไหนหรือเมื่อไรที่ท่านสั่งให้เราไปจัดการ ก็ต้องมาคอยนั่งสกรีน ว่ามีวัตถุดิบอะไรที่ท่านแพ้บ้างไหม ผื่นขึ้นลิ้นบวมขึ้นมาอีนี่ก็ซวยอีก ของใช้อุปกรณ์เวลาจะฝากซื้อก็เรื่องมาก ใช้แบรนด์นั้น ไม่เอาแบรนด์นี้ ช่วยแม้กระทั่งไปส่งชุดซักรีดให้ ขอโทษทีเถอะ ชีวิตข้าพเจ้าทุกวันนี้ยังไม่สามารถแมเนจเองได้เลยค่ะ ไม่รู้เป็นกรรมแต่ปางไหนทำไมต้องไปแมเนจให้ท่านขนาดนี้ด้วย”
“หัวอกเดียวกันแหละยายรุ่ง สากกะเบือยันเรือรบ ยายคุณวิชุดานางจิกหัวใช้หมด ส่งซ่อมแท็บเล็ตส่วนตัว เปลี่ยนแพ็กเกจมือถือ จองคิวทำเล็บ นี่ฉันยังไม่ได้เล่าให้เธอฟังเลยว่ายายคุณวิชุดาเนี่ย...”
“นี่” มาริสาโพล่งขึ้น “ฉันชวนพวกเธอมากินข้าว ไม่ได้ให้มาบ่นกันนะยะ”
“ก็มันอดไม่ได้นี่นา” เบญญาภาทำหน้ามุ่ย “ใครจะไปสบายเหมือนเธอ คุณมาวินเคยมาอะไรกับเธอเหมือนท่านประธานกับคุณวิชุดาไหมล่ะ”
“ก็ไม่หรอก...” มาริสาตอบเรียบๆ ก่อนจิบอิตาเลียนโซดาประดับ เลมอนชิ้นโต “แต่ฉันก็เหนื่อยไม่แพ้พวกเธอเลยนะ ฉันน่ะต้องคอยศึกษานิสัยใจคอคุณมาวิน ดูว่าเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร จนทุกวันนี้เนี่ย ฉันรู้ใจเขาทุกอย่างแล้ว”
รุ่งกับเบญญาภามองหน้ากัน มันเป็นภาระหนักหนาตรงไหน เป็นเลขาฯ ใครๆ เขาก็ต้องศึกษาใจคอเจ้านายกันทั้งนั้น ถึงไม่ศึกษา อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็รู้ไส้รู้พุงเจ้านายอยู่ดี
“แล้วที่สำคัญคุณมาวินเขาเป็นสุภาพบุรุษ เวลาไปงานที่ไหน มักจะมีพวกผู้หญิงหน้าคอนกรีตเสริมเหล็กเรียงรายกันเข้ามา ฉันในฐานะเลขาฯ ที่ดีก็ต้องคอยสกรีนคอนแท็กต์ให้เจ้านาย ถ้ามาหว่านเสน่ห์ไร้สาระ ฉันก็ต้องไล่บล็อก”
“ย่ะ” รุ่งกับเบญญาภาแทบจะประสานเสียงพร้อมกัน
มาริสาแอบพ่นลม รุ่งกับเบญญาภาหัวหมุน แล้วหล่อนจำเป็นต้องหัวหมุนแบบสองคนนี้ด้วยเหรอ ทำบุญมาไม่เหมือนกันก็รับผลบุญต่างกันไปตามระเบียบสิจ๊ะ
สองเพื่อนสาวต่างรู้ดีว่ามาริสากำลังอยู่ในภาวะเป็นสุขที่มาวินทำดีด้วย ไม่อยากพูดอะไรให้บรรยากาศกร่อยไปมากกว่านี้ อาหารที่มาริสาพามาเลี้ยงก็หน้าตารสชาติไม่ธรรมดา ถือว่ามาผ่อนคลาย พูดคุยสัพเพเหระไป
“ตายละ นี่จะหมดเวลาเบรกแล้วนี่” เบญญาภาพลิกดูนาฬิกาข้อมือหลังจากคุยเพลิน
“จริงด้วย ป่านนี้ท่านประธานถามหาฉันแล้วมั้ง รีบเช็กบิลเถอะสา”
ความจริงมาริสาอยากสั่งของหวานมาตบท้ายสักหน่อย แต่นี่ก็จะถึงเวลาเข้างานแล้วจริงๆ แล้วหล่อนก็ไม่อยากฟังสองคนนี้บ่นเรื่องเจ้านายให้รำคาญหูอีก เลยเรียกพนักงานมาเช็กบิล เปิดกระเป๋าส่งบัตรเครดิตไปให้ พนักงานสาวรับบัตรไปแล้วหายไปหลังเคาน์เตอร์
เพียงไม่นาน พนักงานก็เดินกลับมาพร้อมกับบัตรใบเดิมของมาริสา ทว่าไม่มีใบเสร็จมาด้วย
“ขอโทษนะคะ คุณลูกค้า ไม่ทราบว่ามีบัตรใบอื่นไหมคะ เผอิญว่าใบนี้วงเงินเต็มแล้วน่ะค่ะ”
มาริสาหน้าชา สองเพื่อนสาวหันมามองมาริสา รุ่งนั้นส่งกระแสจิตมาบอกชัดเจนผ่านสายตาว่า ‘สม’ วันก่อนทำมือเติบไปซื้อของลดราคาเสียเกลี้ยง
แต่ใบนี้ไม่ใช่บัตรของภุชิสสะ นี่ของมาริสาเอง หล่อนคิดว่านี่เป็นใบเดียวที่เพดานวงเงินยังไม่ต่ำมาก พอรูดได้ แต่ที่ไหนได้ ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ขายหน้าเพื่อนที่สุด!
“แยม รุ่ง” มาริสาหันมายิงฟันขาวให้เพื่อนทั้งสอง “มื้อนี้แชร์กันก่อนได้ปะ ค่าอาหารตั้งพันกว่าบาท เงินสดฉันมีติดตัวไม่ถึงพันอะ”
สงสารก็สงสาร หมั่นไส้ก็หมั่นไส้ รุ่งและเบญญาภาไม่รู้จะพูดยังไงดีกับเพื่อนคนนี้
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **