ทดลองอ่าน อลเวงนัก รักของมาริสา : ตอนที่ 3

 

 

ตอนที่ 3

 

 

การทำงานห้างสรรพสินค้ามีข้อดีอยู่หลายอย่าง ถึงแม้พวกหล่อนจะไม่ได้เป็นพนักงานที่ต้องอยู่ในห้างฯ โดยตรง แต่ก็เป็นเลขาฯ ของผู้บริหาร เวลาอยากช็อปปิงก็ไม่ต้องไปไหนไกลหรือรอเสาร์อาทิตย์ แถมยังมีส่วนลดพิเศษอีกต่างหาก

แม้วันนี้จะเป็นวันธรรมดา ที่แผนกเสื้อผ้าก็ยังมีสาวๆ มากหน้าหลายตาเบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อแย่งชิงสินค้าลดล้างสต็อกถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าที่ค้างสต็อก แต่เป็นของดีทั้งนั้น ณ จุดนี้ มาริสาคิดว่าตัวเองชอบช็อปปิงและตื่นตาตื่นใจกับของสวยๆ งามๆ แล้ว แต่รุ่งหนักกว่า รายนั้นเห็นอะไรก็หยิบ เห็นอะไรก็จับ ตาโตร้องว้าวเหมือนเด็กถูกปล่อยให้เข้าไปเล่นในบ้านบอลก็ไม่ปาน เจ้าหล่อนเอาสินค้ามาเทียบแล้วเทียบอีก ดูนั่นนี่ละเอียดถี่ยิบ

แต่พอเอาเข้าจริง รุ่งก็ไม่ได้ซื้อไปมากชิ้น ผิดกับมาริสา ไม่ตะกุยตะกายคว้าทุกอย่างที่ขวางหน้าก็จริง แต่ถ้าจับชิ้นไหนแล้ว เป็นซื้อ ก็แหม...หล่อนมีบัตรทองในกระเป๋านี่ ถึงแม้จะไม่ใช่เจ้าของ แต่จะให้มันซังกะตายไม่ออกมาร่าเริงกับเครื่องรูดที่ห้างฯ นี้เลยหรือไง

“ตายแล้ว เสี่ยที่ไหนให้มายะ บัตรนี้น่ะ” รุ่งเห็นก็รีบจิกกัดขณะที่ทั้งคู่กำลังจ่ายเงิน หลังจากต่อสู้แย่งชิงกับสาวๆ หลายกุรุสมาได้

“เสี่ยอะไรยะ ตบปากฉีก” ไม่พูดเปล่า มาริสายกมือยกไม้ด้วย เรื่องนี้หล่อนไม่เคยบอกรุ่ง แม้จะสนิทกันแค่ไหนก็ตาม “ของฉันเองย่ะ”

“อย่างเธอเนี่ยอะนะ ธนาคารให้บัตรทองมา” รุ่งชี้แบบไม่เชื่อ เพราะมาริสานั้นไม่ใช่คนมีเครดิตมาแต่ไหนแต่ไร มีบัตรเครดิตของตัวเองแปดใบ วงเงินชนเพดานทั้งแปดใบ

“อย่าเซ้าซี้ได้ไหม” หล่อนปัดรำคาญ ยื่นบัตรให้พนักงานรูด บัตรนี้มีเจ้าของก็จริง แต่ไม่ใช่เสี่ยที่ไหน เป็นของพี่ชายหล่อนเอง และหล่อนก็ไม่ได้เอาไปใช้สุรุ่ยสุร่าย เสื้อผ้าพวกนี้ก็จำเป็นทั้งนั้น ทำงานเป็นเลขาฯ ผู้จัดการ ต้องแต่งตัวสวยไว้ก่อน ให้เจ้านายประทับใจ สาบานได้ว่าไม่ได้อ่อยเลย จริงๆ นะ บางทีก็ต้องติดสอยห้อยตามคุณมาวินสุดหล่อไปพบปะคนนั้นคนนี้ ต้องเข้าสังคมบ้างอะไรบ้าง อีกอย่างของพวกนี้ลดแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับหล่อนประหยัดไปตั้งโข ไม่เชื่อก็ดูบิล ได้ของเยอะแยะ ราคาไม่เท่าไรเอง

“ทั้งหมดแปดพันเก้าร้อยหกสิบบาท ช่วยเซ็นชื่อตรงนี้ด้วยนะคะ”

เห็นไหม ไม่เท่าไร ไม่แพงเลย เดี๋ยวนะ...ตาเถร!

หล่อนไม่ได้ซื้ออะไรเยอะแยะเลยนะ เสื้อโค้ตกับผ้าพันคอ ไว้ใส่ได้ทุกหน้าหนาว เสื้อใส่มาทำงานสามชุดกับกระโปรงที่เข้ากัน เสื้อเนี่ยก็ต้องซื้อให้ครบทุกแบบเพราะถ้าซื้อช่วงปกติราคาไม่ได้ขนาดนี้ แล้วซื้อเสื้อจะไม่ซื้อกระโปรงด้วยได้ยังไง ไม่ได้ แล้วก็ชุดเดรสสีม่วงอีกชุดเผื่อวันไหนเบื่อๆ อยากใส่เดรสมาทำงาน เป็นผู้หญิงต้องมีชุดเดรสติดตู้ไว้

แล้วทำไมราคามันแพงหูฉี่แบบนี้!

“นี่ลดแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วเหรอคะ” มาริสาอ้าปากค้าง

“เสื้อโค้ตกับผ้าพันคอไม่ได้ลดค่ะ เดรสตัวนี้ด้วย”

มาริสาหันไปอ่านป้ายภายในร้านซึ่งยังอยู่ในรัศมีสายตา ลดแปดสิบเปอร์เซ็นต์เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ หมายความว่าบางชิ้นในแผนกไม่ได้ร่วมรายการ พระเจ้า! ทำไมคำว่า ‘เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ’ เขียนไว้ตัวเล็กอย่างกับขี้ตามด แล้วพนักงานก็ดันรูดบัตรไปแล้ว

“ก่อนหยิบทำไมไม่ดูล่ะยายสา” รุ่งหันมาพูด เมื่อเห็นมาริสาทำหน้าเหมือนโดนชกกลางอากาศ

โอเค ที่หล่อนต้องทำคือสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตั้งสติ เงินก็ไม่ได้มากมายอะไรแปดพันกว่าบาท แปดพันนิดๆ อย่าไปคิดเศษเก้าร้อยหกสิบ ถ้ามันมาโผล่ในสเตตเมนต์ของไอ้พี่ยอชต์ หล่อนก็จะแต่งเรื่องว่าบัตรถูกขโมย มีคนเอาไปรูด ให้รีบโทร.อายัด แต่ถ้าพี่แกไม่สงสัยอะไรแล้วหลับหูหลับตาจ่ายยอดขั้นต่ำในแต่ละเดือนไป ซึ่งมักจะเป็นอย่างนั้นอยู่บ่อยๆ ดวงก็เป็นของหล่อน

“รีบเซ็นชื่อสิแก คนต่อแถวรอกันเยอะ”

มาริสาทำตามที่เพื่อนบอก

ไม่ยุติธรรม รุ่งรูดไปแค่ไม่กี่บาทกี่สตางค์ เหมือนจะได้ของเยอะกว่า แล้วทำไมรุ่งได้เสื้อคอติดระบายสีครีมตัวสวยมาด้วย มาริสาเดินดูตั้งนานซะทั่ว ไม่ยักเจอเสื้อตัวนี้ แล้วหล่อนก็นึกขึ้นได้ว่าเดินไม่ทั่ว เห็นอะไรสะดุดตาหล่อนก็ซื้อไว้ก่อน

“รีบกลับไปทำงานเถอะ กี่โมงแล้วเนี่ย”

แหม จ่ายเงินเสร็จก็จะกลับท่าเดียวนะยายรุ่ง

“ของเต็มมือ ขี้เกียจพลิกข้อมือดูนาฬิกา” มาริสาบอกลอยหน้าลอยตา รุ่งส่ายหน้า เรื่องแค่นี้ยังขี้เกียจ

เดี๋ยวนะ ตรงทางออกนั่น นั่นกางเกงทรงกระบอกเล็กสีชมพูกลีบบัวนี่ ไปร่วมงานสัมมนาเดือนก่อนมาริสาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่กับเสื้อสูทสีขาว ทำให้ดูไม่เคร่งขรึม ออกแนวพาสเทล คงดีถ้าหล่อนมีใส่บ้าง ไหนดูซิ...ให้ตายสิ ไซซ์หล่อนพอดี!

“นี่แกทำอะไรน่ะ” รุ่งพูดแทรกขึ้นมา “เสียไปเกือบเก้าพันแล้ว ยังไม่พออีกเหรอ จะซื้ออีก ได้ข่าวเงินเดือนแกก็ได้ไม่เท่าไรไม่ใช่รึไง แล้วใช้เงินวันหนึ่งเป็นหมื่น คืออะไร”

“แต่ตัวนี้มันร่วมรายการอยู่นะ ลดตั้งแปดสิบเปอร์เซ็นต์ แล้วแกก็พูดเกินไป ดูราคาแล้วถ้าซื้อเพิ่มอีกตัว ฉันก็ยังใช้เงินไม่ถึงหมื่นไม่ใช่เหรอ”

“วางเลยยายสา ฉันไปช็อปกับแกอาทิตย์ก่อน บัตรใบหนึ่งของแกวงเงินเต็ม แกเอาเงินไปเคลียร์ให้เขาหรือยัง”

มาริสาหน้ามุ่ย ตกลงหล่อนมีเพื่อนหรือมีแม่ จุ้นจริงๆ แต่รุ่งพูดถูก วงเงินในบัตรเครดิตของหล่อนใบนั้นเต็ม ส่วนใบอื่นๆ กำลังจะเต็มเร็วๆ นี้ ที่เทซื้อเสื้อผ้ามาขนาดนี้ ก็จิ๊กบัตรของคุณพี่ชายมารูด

มาริสาจึงกัดฟันวางกางเกงตัวนั้นลง ถ้ายอดขั้นต่ำรายเดือนในบัตรทองมันเฟ้อขึ้นมา หล่อนอาจถูกสอบสวนยกใหญ่ นึกอีกทีมุกบัตรถูกขโมยหล่อนใช้ไปแล้วปีก่อน ถ้าใช้ซ้ำมีหวังโป๊ะแตก

มาริสาเม้มปากขณะเดินออกมา ท่องเอาไว้ หล่อนไม่ได้อยากได้มันจริงๆ หล่อนมีกางเกงทรงกระบอกเล็กทั้งสีขาว ดำ และสีพื้นที่จำเป็นต้องใช้แล้ว ไม่ต้องการสีชมพูหรอก ซื้อมาเดี๋ยวก็ต้องเดือดร้อนไปหาสูทขาว จะได้ใส่เหมือนเขา

แต่ซื้อเก็บไว้ก็ไม่เสียหายนี่ ถ้าไปเจออีกครั้งราคาเต็มไม่ลดสักบาท หล่อนจะไม่เสียดายหรอกหรือ อีกอย่างสูทขาวรอได้ ซื้อวันไหนก็ได้

ไวเท่าความคิด มาริสาผละจากรุ่งพุ่งรี่กลับไปที่ราวแขวนผ้าราวนั้น ไม่สนว่ารุ่งจะอ้าปากหวอมองตาม หล่อนเอื้อมมือจะไปคว้ากางเกงตัวสวยที่หมายมั่น และเกือบจะคว้ามาได้แล้วถ้าไม่มีมือเรียวสวยที่ทำเล็บอะครีลิก โฉบตัดหน้าคว้าไปก่อนเพียงแค่เส้นยาแดงผ่าแปด

มาริสามองหน้าคนที่หยิบไป ซึ่งกำลังพิจารณากางเกงและป้ายราคา ไม่ใช่ใครที่ไหน เฟื่องฟ้า...เพื่อนสาวคนสนิทของวิชุดา ลูกสาวเจ้าของโรงแรมชื่อดังที่หล่อนเองไม่ค่อยถูกชะตาด้วยเท่าไร ไม่ชอบทั้งยายวิชุดาทั้งเฟื่องฟ้านั่นแหละ อีกฝ่ายยังไม่เห็นหล่อน จึงส่ายหน้าใส่กางเกง และจะวางมันลง แต่ก่อนจะวาง เฟื่องฟ้าสังเกตเห็นมาริสาพอดี

“อ้าว เธอ”

“สวัสดีค่ะ คุณเฟื่องฟ้า” มาริสาจำใจต้องทักตอบ แต่หล่อนคงไม่ปรานีปราศรัยถามสารทุกข์สุกดิบอะไร เพราะทุกครั้งที่เจอหน้า แม่นี่ชอบเชิดใส่หล่อน ไม่รู้ทำไม วางตัวว่าเหนือกว่าทั้งๆ ที่ตัวเองเรียนจบแล้วไม่ทำการทำงานสักอย่าง มีดีแค่พ่อรวย “พอดีดิฉันกำลังอยากได้กางเกงตัวนั้น ถ้าคุณไม่ว่าอะไร...”

แล้วสีหน้าของคนที่ถือกางเกงก็เปลี่ยนไป จากตอนแรกที่ส่ายหน้า ตอนนี้เริ่มจับกระชับเนื้อผ้าแน่น “ตายจริง ฉันก็อยากได้เหมือนกันน่ะสิ เห็นว่ามีตัวเดียวซะด้วย”

อะไรนะ เมื่อกี้เห็นอยู่ทนโท่ว่าจะวางอยู่แล้ว พอหล่อนบอกว่าจะเอา แม่นี่ก็จะเอาบ้าง หมายความว่ายังไง

“เสียใจด้วยนะ” พูดแล้วเฟื่องฟ้าก็เดินไปทางแคชเชียร์

ก็รู้อยู่ว่าต่างฝ่ายต่างไม่ชอบกันเท่าไร แต่จะแย่งซื้อกางเกงที่หล่อนชอบไป ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ชอบ เพียงเพื่อให้หล่อนไม่ได้ มันไม่มากไปหน่อยเหรอ

มีหรือที่เลขาฯ สาวจะยอม หล่อนตามไปจิกถึงที่

“แต่ฉันเห็นก่อนนะคะ คุณจะวางมันแล้ว คุณไม่ได้ชอบมันด้วยซ้ำ”

อีกฝ่ายหยุดกึก หันมามองหล่อน ยิ้มชวนตบใส่วาวๆ “รู้ได้ยังไงจ๊ะว่าฉันไม่ชอบ ไม่ชอบแล้วจะซื้อเหรอ”

มาริสาอยากทิ้งถุงช็อปปิงแล้วกระชากผมอีกฝ่ายให้หายแค้น แต่ที่ทำได้ก็แค่ยืนตัวสั่น แม่นี่จงใจแกล้งหล่อนชัดๆ ไม่รู้หล่อนไปทำอะไรให้ ก็แค่หล่อนสวยกว่า...หล่อนมั่นใจว่าอย่างนั้น แล้วก็แค่หล่อนจ้องจะจับมาวิน หนุ่มปิ๊งของเพื่อนแม่นี่ จะริษยาอะไรกันนักหนา

แล้วมาริสาก็ยิ่งโกรธเป็นสองเท่าเมื่อเห็นสีหน้ายิ้มเยาะของยายเฟื่องฟ้ากลีบเน่า!

จังหวะนั้นรุ่งเดินตามมาพอดี แล้วถามว่ามีอะไรหรือเปล่า แต่มาริสาไม่ตอบ นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ยัดถุงช็อปปิงพะรุงพะรังใส่มือเพื่อน จนร่างที่เล็กอยู่แล้วแทบจมหายไปในกองถุง แล้วมาริสาก็ควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมาปราดไปถ่ายรูปเฟื่องฟ้าดังแชะ ขณะที่เจ้าหล่อนกำลังวางสินค้าหน้าแคชเชียร์

“ทำอะไรของเธอน่ะ” ฝ่ายที่ถูกถ่ายรูปหันมาขมวดคิ้วใส่ พนักงานแคชเชียร์ถึงกับทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะสแกนบาร์โค้ดคิดเงินเลยดีไหม

“ก็ถ่ายรูปน่ะสิคะ” มาริสายียวนกลับ

“ฉันรู้ว่าถ่ายรูป แต่เธอจะเอาไปทำอะไร” เฟื่องฟ้าคว้ามือหล่อนจะฉวยเอามือถือไป แต่มาริสาไวกว่า หลบทัน

“ก็อยากรู้น่ะสิคะ ถ้าฉันเอาภาพนี้ไปให้นักข่าวคอลัมน์ซุบซิบลงว่าสาวสังคมไฮโซ ลูกสาวเจ้าของโรงแรมชื่อดังมาซื้อของโละทิ้ง ลดแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เขาจะว่ากันยังไง”

“นี่เธอ!”

มาริสายิ้มชวนตบกลับไปบ้าง เอาสิ ร้ายมาก็แรงไป ให้รู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร อันที่จริงมาริสาก็ไม่อยากลดตัวไปทะเลาะกับเพื่อนของวิชุดาหรอก แค่ลำพังวิชุดาคนเดียวก็ปวดหัวจะแย่แล้ว แต่นี่มันจำเป็นจริงๆ

เฟื่องฟ้ามองมาริสาราวกับจะกินหัวทีหนึ่ง ก่อนจะหันไปปัดกางเกงตกพื้นอย่างโมโห แล้วกระแทกเท้าออกไป เดินผ่านรุ่งที่โซเซเพราะของเต็มมือ

“ตกลงจะให้คิดเงินเลยไหมคะ” พนักงานแคชเชียร์พูดก่อนที่จะเดินอ้อมเคาน์เตอร์มาหยิบกางเกงที่ตกพื้น

“ไม่เอาแล้วค่ะ ไม่มีอารมณ์”

ใช่ หล่อนไม่มีอารมณ์จริงๆ ตอนแรกก็อยากได้อยู่หรอกนะ เนื้อผ้าก็ดี สีก็สวย แต่ตอนนี้อยากออกไปจากที่นี่มากกว่า อารมณ์เสียจริงๆ ที่เจอ นังตัวอิจฉานี่

“นี่ คุณมาริสาขา ถ้าไม่มีอะไรแล้วช่วยถือของของตัวเองด้วยนะคะ ดิฉันไม่ใช่คนรับใช้ค่ะ” รุ่งกระแนะกระแหน และยัดของคืนใส่มือเพื่อน

หากทว่าระหว่างที่มาริสากำลังรับของทั้งหลายคืน รุ่งเหลือบไปเห็นเวลาที่นาฬิกาข้อมือของมาริสา

“กรี๊ด!”

“โอ๊ย นี่แกจะกรี๊ดทำไม ฉันตกใจหมด” มาริสาเอ็ด คนรอบข้างหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน

“ฉันเลตไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว” รุ่งร้อง

“แล้วไง?”

“แล้วไงน่ะเหรอ คุณมาวินไม่ว่าอะไรแก แต่ท่านประธานจะฆ่าฉัน น่ะสิ ฝากของไว้ที่โต๊ะแกก่อน เย็นนี้ฉันมาเอา ไปละ”

ไม่รอให้มาริสาอุทธรณ์หรือใดๆ ทั้งสิ้น รุ่งโยนถุงช็อปปิงทั้งหมดใส่มาริสาเต็มๆ แล้วใส่เกียร์สุนัขวิ่งโกยอ้าวไปที่ลิฟต์พนักงานที่อยู่ไม่ห่าง

“ยายรุ่ง กลับมาก่อน!” มาริสาได้แต่ร้องเรียก นี่มันหนักนะ โยนมาได้ แล้วของเต็มขนาดนี้ หล่อนดูเหมือนอีบ้าหอบฟางยังไงไม่รู้ จริงๆ มาวินไม่อยู่ ออกไปธุระข้างนอกทั้งที หล่อนก็กะว่าจะไปนั่งสวยๆ จิบชาอ่านข่าวกอสซิปดาราอัปเดตที่ร้านโปรดอีกสักสิบยี่สิบนาทีเสียหน่อย ค่อยเข้างาน แต่เมื่อเป็นอย่างนี้คงต้องกลับออฟฟิศเลย เพราะไม่อยากขนของไปไหนมาไหน เซ็งจริงๆ

 

 

** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com