“คุณหมอคะ ตรวจคนแรกเลยไหมคะ”
ดมิสาสะดุ้ง เมื่อกำลังนั่งใจลอยอยู่ในห้องตรวจแล้วจู่ๆ พยาบาลก็เปิดประตูเข้ามาถาม กุมารแพทย์สาวยิ้มรับก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตั้งสติ ลงมือทำงานที่รักตลอดทั้งวันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เธอพยายามปัดเรื่องของญานีนออกจากสมอง ในตอนนี้เธอยังคิดหาวิธีที่จะช่วยเหลือญาติผู้น้องไม่ได้เลยจริงๆ
ยิ่งญานีนไม่ให้ความร่วมมือด้วยแบบนี้ ก็ยิ่งช่วยยากเข้าไปใหญ่
กุมารแพทย์สาวทำงานจนถึงเวลาออกเวรก็ไปเยี่ยมอัคนีที่ยังต้องใส่เครื่องช่วยหายใจพยุงอาการ เธอพูดคุยถามไถ่พยาบาลพิเศษที่วิญญูจ้างมาครู่หนึ่งจึงเดินไปจับแขนอัคนีที่ยังหลับอยู่ และกระซิบบอกขอให้เขาหายดีในเร็ววัน
หากทว่ายังไม่ทันที่ดมิสาจะปิดประตูห้องพักคนไข้สนิทดี โทรศัพท์มือถือก็สั่น เมื่อหยิบขึ้นมาหญิงสาวก็ยิ้ม กดรับสาย จิณไตยโทร.มานัดกินข้าวเย็นด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่ปฏิเสธแต่อย่างใดแต่ต้องรออิสราภรณ์คลินิกปิดเสียก่อน รวมถึงรับนัดเขาไปทำบุญถวายสังฆทานในวันรุ่งขึ้นด้วย
----------
“สังฆทานของมิ้งค์ชุดใหญ่มาก”
จิณไตยแซวหลังจากที่เมื่อวานนี้ดมิสาอาสาจะจัดเครื่องสังฆทานให้เอง นอกจากอาหารการกินที่หญิงสาวลงครัวทำเองกับสายพิณแล้ว ยังมีผ้าไตรจีวรครบชุดเจ็ดชิ้น ดอกไม้ธูปเทียน และข้าวของเครื่องใช้จำเป็นอีกสองตะกร้าหวาย ชายหนุ่มเห็นแล้วอดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่าเขาถวายสังฆทานมาทั้งชีวิตรวมกันยังไม่เท่าที่เธอจัดมาวันนี้เลย!
“ก็มิ้งค์เห็นอะไรก็อยากซื้อไปทำบุญหมดเลย พี่จิณอย่าแซวสิคะ”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนเลี้ยวรถไปตามเส้นทางที่แม้ไม่คุ้นเคยนักแต่ก็พอจำได้จากการเดินทางมาถือศีลกับพนักงานบริษัทคราวก่อน
“แล้วนี่ครบปัจจัยสี่แล้วใช่ไหม”
ดมิสาหันมองหน้าเขา ไม่เข้าใจคำถาม จิณไตยจึงอธิบายให้ฟังขณะขับรถไปเรื่อยๆ
“สมัยที่พี่บวชเรียนตามประเพณี พระอุปัชฌาย์ท่านเคยสอนว่าหากสึกไปเป็นฆราวาสแล้วจะถวายสังฆทาน ให้ถวายให้ครบปัจจัยสี่ ก็มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค...อาหารเนี่ยเป็นหัวใจสำคัญของสังฆทานเลย ส่วนอย่างอื่นถึงจะแพงแค่ไหนก็นับเป็นของบริวาร อะ อย่างเครื่องนุ่งห่มพูดกันตามตรงผ้าไตรจีวรแบบที่มิ้งค์เตรียมมาก็ถูกต้องแล้ว แต่ถ้าไม่มี ก็ถวายอย่างอื่นที่เกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่มได้ เช่น ผงซักฟอก กะละมัง แปรงซักผ้า อ้อ! น้ำยาปรับผ้านุ่มก็สำคัญ ไม่ใช่ว่าพระสงฆ์ติดกลิ่นหอม แต่มันทำให้ผ้าสวมง่าย สบายตัว แล้วก็ที่พระขาดมากเลยคือไม้หนีบผ้า เรื่องนี้พุทธศาสนิกชนมักลืมคิดถึงกัน”
เขาบอกแล้วก็หัวเราะเบาๆ
“จากประสบการณ์ตรงของพี่เลย จีวรปลิวตกไปหลายผืนมากสมัยบวช”
เมื่อเห็นว่าดมิสาเงียบไป จิณไตยจึงหันมามองแล้วเห็นเธอกำลังใช้โทรศัพท์ถ่ายคลิปเขาอยู่ หญิงสาวกดหยุดถ่ายทันทีพอดีกับที่รถติดไฟแดง เธอรีบดึงโทรศัพท์หนีเพราะจิณไตยทำท่าจะยื้อแย่ง ไม่รีรอกดอัปโหลดขึ้นเฟซบุ๊กพร้อมกับแท็กเขาด้วย
“โธ่ มิ้งค์ อย่าแกล้งพี่สิ”
เขาหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาและพบว่ามีแจ้งเตือนเข้ามาเกี่ยวกับคลิปวีดิโอนั้นมากมาย ทั้งคนกดไลก์และคอมเมนต์ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่คอมเมนต์ว่าสาธุ
“แหม ก็มิ้งค์ประทับใจนี่คะ พี่จิณรอบรู้มากเลย นี่มิ้งค์ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ” เธอทำตาใสแป๋ว อมยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่แก้มขณะชมเขาและยื่นมือไปหยิกแก้มจิณไตยเบาๆ “เก่งมากเลยค่ะ คนดีของมิ้งค์”
โดยไม่ทันตั้งใจ มือนั้นถูกดึงจนเธอเสียหลักเอียงตัวไปทางเขา และโดยไม่ทันคิด จิณไตยก็โน้มลงมาประทับจูบหนักๆ ก่อนผละไป
“ในเมื่อพี่เก่ง พี่ก็ควรได้รางวัลนะ จริงไหม”
ดมิสาแก้มแดง เก็บโทรศัพท์มือถือตัวเองลงกระเป๋าถือแล้วยื่นมือไปเช็ดลิปสติกที่เลอะมุมปากเขาออกให้
“พี่จิณเล่าต่อสิคะ ยารักษาโรคมิ้งค์พอเข้าใจ แต่ที่อยู่อาศัยนี่คือถ้าเราไม่ถวายกุฏิ ศาลา หรือที่ดินให้วัดก็ไม่ใช่สังฆทานเหรอคะ”
“ก็เหมือนเครื่องนุ่งห่มนั่นละ” เขาอธิบายพลางขับรถไปด้วยเพราะสัญญาณไฟเขียวแล้ว “ที่อยู่อาศัยเราไม่ต้องถวายใหญ่ขนาดนั้นก็ได้ในกรณีที่พระท่านมีอยู่แล้ว จะเกินเหตุไป แต่เราอาจถวายหลอดไฟ เทียน ไม้กวาดสิ่งของต่างๆ ที่คอยให้แสงสว่างและดูแลรักษาที่พักสงฆ์ แบบนั้นก็ได้ครับ”
ดมิสาอดไม่ได้หันไปเช็กของที่วางอยู่ตรงเบาะหลัง เรียบร้อยก็หันกลับมาบอกจิณไตยด้วยรอยยิ้ม
“ที่เตรียมมา ปัจจัยสิบก็ครบค่ะ”
เขาหัวเราะร่วน “พี่ก็ว่างั้น”
หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กเฟซบุ๊กระหว่างที่ยังเดินทางไม่ถึงวัด ตอนนั้นเองที่มีแจ้งเตือนว่า ‘ญาตาวี เสน่ห์จันทน์’ กดไลก์โพสต์ล่าสุดของเธอ คนอย่างญาตาวีคงสักแต่ว่ากดไลก์ ไม่ได้กดดูแน่ว่าเธอลงคลิปอะไร อันที่จริงดมิสาก็ไม่อยากจะสนใจญาติสนิทคนนี้นักเพราะไม่กินเส้นกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แต่ญาตาวีเป็นพี่สาวแท้ๆ ของญานีน อาจเป็นหมากสำคัญที่จะช่วยพาญานีนออกจากบ้านเสน่ห์จันทน์ไปก็ได้
หญิงสาวกดโทร.หาญาตาวีทันที รอสายแค่ครู่เดียวปลายสายก็รับ
“มีอะไร”
ญาตาวีกรอกเสียงแข็งกลับมา ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ หากสองสาวพูดคุยกันแบบนุ่มนวลหรือแบบพี่น้องคุยกันสิ ถึงจะไม่ปกติสำหรับเธอและญาตาวี!
“นี่เธอรู้ไหมว่ายิหวากลับมาอยู่บ้านเสน่ห์จันทน์แล้ว”
ดมิสาไม่รู้หรอกว่า ปลายสายนั้นกำลังนั่งอยู่หน้ากระจกในห้องสวีตของโรงแรมห้าดาวชื่อดังบนเกาะภูเก็ต มือหนึ่งถือโทรศัพท์ อีกมือก็ถือแท่งลิปสติกที่เพิ่งทาเสร็จค้าง มิหนำซ้ำดาราสาวยังอ้าปากสีแดงสดค้างอยู่ด้วย
“หา” ญาตาวีร้องอุทานเสียงสูง “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ!”
ดมิสาถอนหายใจเฮือก จะบอกยังไงดีเล่าว่าตอนนี้บ้านเสน่ห์จันทน์ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว เรื่องไสยศาสตร์ เรื่องทายาท ต่อให้เห็นด้วยตาตัวเองดมิสายังไม่แน่ใจเลยว่าญาตาวีจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า คนแบบญาตาวี เสน่ห์จันทน์ หากเห็นผีเห็นสางเข้าอาจได้แอดมิตตัวเองเข้าโรงพยาบาลบ้าแล้วรีบปรึกษาจิตแพทย์เพื่อรักษาอาการก่อนใครเพื่อน เพราะคงคิดว่าตัวเองประสาทหลอนไปเองแน่ๆ
“ยาหยี เสร็จหรือยังจ๊ะที่รัก”
เสียงที่ลอดผ่านสายมานั้นทำให้ดมิสากดวางสายโดยไม่ล่ำลาเพราะไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะคุยกันต่ออีก เธอไม่ทันรู้เลยด้วยซ้ำว่าหลังจากที่วางสายไปแล้ว ญาตาวีก็ลดโทรศัพท์มือถือลงมองหน้าจออย่างไม่เข้าใจ คำพูดของดมิสาทำให้หล่อนอดห่วงญานีนขึ้นมาไม่ได้ ถึงดมิสาจะน่าหงุดหงิดสำหรับหล่อนแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะพูดจาอะไรลอยๆ โดยไม่มีเหตุผล
ขณะที่ดาราสาวกำลังสับสน ธนวัชร์...สามีของหล่อนเดินมาโอบกอดจากทางด้านหลังแล้วกระซิบคำหวาน เพียงแค่นั้นญาตาวีก็พร้อมที่จะวางมือถือและเรื่องสงสัยทุกอย่างลง เพื่อออกไปเที่ยวตามเกาะต่างๆ รอบภูเก็ตให้สนุกสุดเหวี่ยงด้วยกัน
“ที่บ้านมีเรื่องอีกแล้วเหรอ...” จิณไตยเอ่ยถามเมื่อเห็นแฟนสาวเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าแล้ว ก่อนยื่นมือไปกุมมือเธอเอาไว้
“เล่าให้พี่ฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น เผื่อจะช่วยกันแก้ไขได้”
ดมิสามองสบตาเขาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะสั่นศีรษะเบาๆ
“มิ้งค์ยังไม่พร้อมที่จะเล่าค่ะพี่จิณ”
ชายหนุ่มละมือจากมือเธอไปลูบศีรษะแล้วดึงให้หญิงสาวขยับมาซบไหล่ ปลอบโยนโดยไม่ใช่คำพูดจาใด กระทั่งรถเลี้ยวเข้ามาในซอยวัด ดมิสาจึงผละออกห่างจากชายหนุ่มเก็บของเตรียมลงไปทำบุญ รอยยิ้มของเธอหวนมาอีกครั้ง และจิณไตยอยากให้เธอยิ้มไปตลอดจัง
เขาไม่อยากเห็นเธอขมวดคิ้วมุ่นสีหน้าตึงเครียดแบบเมื่อครู่นี้เลย
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **